Live with Passion – เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี

หากนับนิ้วไล่รายชื่อนักแสดงชายลุคฮิปสเตอร์ในวงการบันเทิงบ้านเรา เชื่อเหลือเกินว่า ‘เบนจามิน โจเซฟ วาร์นี’ จะต้องเป็นหนึ่งในรายชื่ออันดับต้นๆ ของใครหลายคนแน่นอน ก่อนหน้านี้เบนผ่านมาแล้วกับการเป็นอดีตนักล่าฝันในรายการ Academy Fantasia ซีซั่นที่ 7 หรือการเป็นนักแสดงจากละครซีรีส์ พระเอกมิวสิกวิดีโอ-โฆษณาหลายชิ้น จนกระทั่งล่าสุดหนุ่มมาดกวนคนนี้ยังมารับบทบาทหนุ่มฮิปสเตอร์ที่มีชื่อว่า ‘ปรัช’ ในละครซีรีส์เรื่อง Hipster or Loser อีกด้วย


เล่าถึงความน่าสนใจของตัวละคร ‘ปรัช’ จากซีรีส์ Hipster or Loser ให้ฟังหน่อย

จริงๆ ตอนแรกผมมาเล่นเรื่อง ขวัญผวา (2558) แล้วก็ไปเจออีกเรื่องหนึ่ง เพราะพี่วุ้นที่เป็นครูสอนแอ็กติ้งชวนผมมาลองแคสติ้งดู แล้วบังเอิญได้มาเล่น ตอนเห็นบทตัวละคร ‘ปรัช’ ย่อมาจากปรัชญา เพราะเราก็ชอบอ่านปรัชญามาบ้าง แต่อาจจะไม่ได้เยอะนะครับ ผมก็รู้สึกชอบครับ คิดว่ามันน่าสนใจดี ปรัชจะเป็นคนที่มีเหตุผล ทุกอย่างของเขาก็จะมีเรื่องราว ถ้าอยากจะรู้เกี่ยวกับอะไรบางอย่าง ก็ต้องรู้ให้ลึกไม่ได้มองแค่เปลือกนอก ในเรื่องปรัชก็จะเป็นคนที่คอยเข้าไปคุยกับลูกค้าของคาเฟ่ มีคอมมูนิตี้ที่เขาอยากให้ทุกคนเข้ามาแบ่งปันไอเดีย แตกต่างจากตี๋ที่จะหนักไปทางเรื่องกาแฟ
และวันที่คอยดูแลธุรกิจของร้าน


‘ปรัช’ กับ ‘เบน’ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรบ้าง

พอไปเล่นก็รู้สึก ตัวละครกับตัวผมมีฐานที่คล้ายๆ กัน มีทั้งความเหมือนและแตกต่าง ด้วยความที่เป็นละครคอมเมดี้ในเรื่องก็จะมีบทที่ค่อนข้างโอเวอร์นิดนึง แต่หลักๆ เราจะมีมุมมองว่าทุกคนควรมีสิทธิในการคิดและการพูดอยู่เหมือนกัน ในชีวิตจริงของผมก็จะเป็นคนชอบเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เหมือนกัน ที่บ้านผมจะเป็นคนทำความสะอาดบ้านเอง ถ้าแก้วหรือจานมีเศษสิ่งสกปรกเล็กๆ นิดหน่อยก็ต้องล้างใหม่ บางเรื่องที่สะเพร่าก็มีเหมือนกันนะ แต่บางเรื่องก็ควรต้องอยู่ในที่ของมันนะ


มองว่าตัวเองเป็น ‘ฮิปสเตอร์’ ไหม 

ก่อนหน้านี้ผมก็ยังงงกับความหมายของคำว่าฮิปสเตอร์ เหมือนกันว่ามันคืออะไรวะ เลยลองไปเสิร์ชในอินเทอร์เน็ตดูเขาบอกว่าฮิปสเตอร์เป็นเหมือนวัฒนธรรมย่อย อย่างเช่นเพลงเมนสตรีม คนส่วนใหญ่ก็ชอบฟัง แต่พอเป็นฮิปสเตอร์ เขาก็จะมีความชอบที่แตกต่างและแยกย่อยลงมาอีก มันก็มีบางคนที่อยากจะฮิปสเตอร์ หรือถ้ามีคนชอบกันเยอะๆ แต่กูไม่ชอบก็มี

ให้คะแนนความเป็นฮิปสเตอร์ของตัวเองเท่าไร

น่าจะห้าหรือหก ผมจะฮิปสเตอร์กับบางเรื่อง บางเรื่องก็ไม่ฮิปสเตอร์ ส่วนมากจะเป็นเรื่องเพลง เพราะเรารู้สึกว่าบางทีเพลงที่เราฟัง พอคนอื่นฟังแล้วไม่เข้าใจก็มีเหมือนกัน 


ชอบฟังเพลงแนวไหน

ผมชอบฟังทุกแนว แต่บางทีพอเจอเพลงเมนสตรีมที่มีคนฟังเยอะแล้ว เราจะไม่รู้สึกสนใจ มันคงเป็นที่ความรู้สึกด้วยมั้งครับ อย่างคนอื่นอาจจะชอบป๊อปและฮิปฮอป เราเองก็ชอบฮิปฮอป แต่อาจจะไม่ได้อินกับมันมาก อย่างถ้าผมเกิดในยุค 60s ช่วงจิมมี่ เฮนดริกซ์ หรือ Santana ผมอาจจะเป็นเมนสตรีมก็ได้ ซึ่งผมมองว่าแต่ละคนก็ชอบอะไรแต่ละยุคไม่เหมือนกัน 


ข้อดีและข้อเสียของการเป็นฮิปสเตอร์คืออะไร

ข้อเสียอาจจะเป็นบางทีคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง จูนกันติดยาก เพราะมีเรื่องชอบไม่เหมือนกัน แต่ข้อดีก็คือการมีแนวทางเป็นของตัวเอง เราไม่เหมือนคนอื่น เราแตกต่าง ผมว่ามันจะมีเส้นบางๆ กั้นอยู่ ลึกๆ แล้วทุกคนก็เหมือนกันแหละ แค่เป็นเรื่องของรสนิยม


เคยมีคนบอกกับเราไหมว่าเราเป็นตัวของตัวเองสูงไป

ก็มีบ้าง อย่างแฟนจะชอบบอกว่าไม่ฟังเพลงนี้ได้ไหม ผมชอบฟังที่มีแค่ดนตรีแอมเบียนต์อย่างวง Tycho แล้วบางทีเขาจะไม่เก็ต เปลี่ยนเพลงบ้างได้ไหม ผมจะชอบฟังเพลงดนตรีแอมเบียนต์มาก เพราะบางทีพอมันมีเนื้อเพลงเข้ามาแล้ว มันเหมือนเป็นการสปอยล์บรรยากาศเพลงเบาๆ แต่ถ้ามีแค่แอมเบียนต์อะไรมันก็เป็นภาพเอ็มวีได้หมดเลย ภาพที่เราเห็นจะเข้ากับเพลงได้ง่ายมากกว่าเพลงที่มีเนื้อ 


นอกเหนือจากเรื่องเพลง คิดว่ามีอะไรที่สามารถแสดงความเป็นตัวตนของเราได้ดี

การแสดงครับ เราอาจจะเล่นเป็นคนอื่น แต่บทนั้นอาจจะเป็นบทที่แหวกออกไปจากภาพที่คนอื่นเห็น มันอาจจะเป็นมุกลึกๆ ที่เราดึงออกมา สมมติรับบทเป็น ‘โรคจิต’ มันก็เป็นอีกบทที่เราได้ทำความรู้จักกับตัวเองในอีกด้าน และดึงออกมา


ที่ผ่านมาชอบเล่นบทที่เป็นตัวเองหรือบทที่ต่างจากตัวเอง

ผมพยายามจะรับเล่นบทที่ไม่เป็นตัวเอง การเป็นนักแสดงที่เล่นบทเป็นตัวเอง อาจจะไม่ท้าทายเท่ากับการได้ไปเล่นเป็นคนอื่น แต่อย่างที่ผมบอกเรื่องการแสดง เราจะมีบางมุมที่เรายังไม่เข้าใจตัวเอง หรือดึงออกมาได้ ซึ่งหลายคนจะคิดว่าไอ้มุมนั้นมันยังไม่ใช่เขา แต่จริงๆ มันคือเขาแหละ แต่มันแค่เป็นเขาในอีกเวอร์ชั่นหนึ่ง อย่างจอห์นนี่ เดปป์ รับบทกัปตันแจ็ก สแปร์โรว์ ในเรื่อง Pirates of the Caribbean (2546) จริงๆ มันก็คือเขา แต่เป็นเขาในอีกส่วนผสมหนึ่งที่เลือกแสดงออกมาเฉยๆ ออกมาให้มันเนียนจนเป็นกัปตันแจ็ก สแปร์โรว์ แต่ผมว่ามันจะยากกว่าการเล่นเป็นตัวเองเลย เพราะเราต้องค้นหามุมต่างๆ ข้างใน ต้องใช้เวลา


พอได้รับบทมาแล้วต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับมันนานแค่ไหน

ขึ้นอยู่กับบทเลย ถ้าบทห่างจากการเป็นตัวเราเองหรือมีเหตุการณ์ที่เราไม่ค่อยสัมผัสมาก่อนเท่าไหร่ เราก็ต้องดูคนอื่น และลองค้นหาตัวเอง


ยังมีความท้าทายอะไรในด้านการแสดงที่อยากทำอีกบ้าง

มีเยอะเลยครับ มันจะมีเทคนิคการแสดงที่เรียกว่า Method Acting เป็นการเล่นที่เอาสถานการณ์ชีวิตจริงไปผูกกับตัวละครนั้นจริงๆ อย่างหนังเรื่อง The Pianist (2545) ที่เป็นชาวยิวเล่นเปียโน จะเป็นหนังที่เครียดมาก ซึ่งนักแสดงเขาก็ไม่เคยเครียดแบบนั้นมาก่อน เลยตัดสินใจบอกเลิกแฟน ขายรถและย้ายไปอยู่ยุโรป เพื่อความอิน แต่ผมก็ไม่ได้อยากจะทำถึงขั้นนั้น ก็เวอร์ไป แต่แค่อยากลองสัมผัสว่า Method Acting เป็นยังไง อย่างตัวผมจะมีปัญหาเรื่องความกลัว ตั้งแต่เกิดมาเราไม่ค่อยมีสิ่งที่กลัวมากๆ เราอาจจะไปกระโดดบันจี้จัมป์หรือทำไปสิ่งที่เราไม่กล้าทำ เพื่อไปจับความรู้สึกเหล่านั้นมา 


‘แพสชั่น’ สำคัญแค่ไหนกับชีวิตของคุณ

สำคัญมาก ผมว่าเกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่สำคัญที่สุดเทียบเท่ากับลมหายใจ ผมว่าคือแพสชั่นเลย แพสชั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรา Want to be หรือเจอในสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ ซึ่งปกติถ้าพูดถึงคำว่า Wanna be เวลาได้ยินคำนี้มันจะเป็นคำเชิงลบใช่ไหม แต่ผมว่ามันไม่ได้ลบหรอก มันทำให้ชีวิตเรามีค่าได้ขึ้นมาเลย ถ้าเกิดมาแล้วไม่มีแพสชั่นก็คงงงๆ อยู่เหมือนกัน ถ้าเรามีแพสชั่นกับอะไรบางอย่าง และเราตกหลุมรักกับมันไปแล้ว มันจะพาเราไปเอง ทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้รู้ว่าทำงานแล้วจะมีงาน แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจากการที่ผมมีแพสชั่นเรื่องการแสดง แล้วมันก็เกิดขึ้นของมันเอง 


ถ้าฝากถึงคนที่พยายามค้นหาตัวเองอยู่ จะบอกอะไรกับเขา

ไม่ต้องไปเร่งมันครับ เดี๋ยวถึงเวลาของมันก็จะพาเราไปเอง ยิ่งเราค้นหาตัวเองมากๆ จริงจังกับมัน ผมว่ามันจะยิ่งวนกลับมาที่เดิม หลักๆ สิ่งที่ต้องรู้ในมุมมองของผมนะ ผมว่าคือแพสชั่น และแพสชั่นไม่ต้องมีเพียงอย่างเดียวก็ได้ มีแพสชั่นอื่นด้วยก็ได้ แต่แค่ทำความเข้าใจกับมัน แล้วก็ทำความเข้าใจกับเรา มันก็จะทำให้เราค้นหาตัวเองได้มากขึ้น ทำตัวสบายๆ แล้วทุกอย่างจะโอเค 

ตอนเป็นวัยรุ่นผมก็เคยชอบเค้นตัวเองว่าอยากเป็นอะไร จะต้องแสดงยังไงเหมือนกัน หรือบางทีก็มีไอดอลเยอะมากๆ อยากเป็นแบบเขาเกินไป ซึมซับเขามาเยอะเกินจนไม่เป็นตัวเอง ถ้าไม่ไปซีเรียสอะไรกับมันเลย แต่แค่รักในสิ่งที่ทำ ผมว่ามันจะทำให้เราเจอตัวเองครับ มันยากเหมือนกันนะกับการบอกว่าเราเจอตัวเองแล้วหรือเปล่า หรือเรายังไม่เจอ เพราะคนเรามันเปลี่ยนแปลงไปเยอะ แต่ถ้าเราเจอสิ่งที่เรารักแล้ว ผมว่าเราก็เจอตัวเราแล้วล่ะ