Actor or Loser – เบสท์ ณัฐสิทธิ์ โกฏิมนัสวนิชย์

หลายๆ คนคงจะรู้จักกับ ‘เบสท์-ณัฐสิทธิ์ โกฏิมนัสวนิชย์’ ในฐานะพระเอกมิวสิกวิดีโอที่เคยได้รับตำแหน่ง ‘สามีแห่งชาติ’ เป็นคนแรกๆ แต่ก่อนหน้านี้น้อยคนจะรู้ว่าเขาเคยได้ตำแหน่งเหมือนกัน แต่เป็นนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมเจ้าของรางวัลสุพรรณหงส์ ปี 2556

จากเด็กมัธยมฯ คนหนึ่งที่ได้รับโอกาสและกลายมาเป็นนักแสดงที่เคยมีรางวัลการันตีฝีมือ ชื่อเสียงที่เคยผ่านเข้ามาในช่วงชีวิตตลอด 8 ปีของการอยู่ในวงการบันเทิงได้ทิ้งบทเรียนอะไรไว้ให้กับเขาบ้าง หาคำตอบได้จากบทสัมภาษณ์ในครั้งนี้

และส่งท้ายปีนี้ด้วยผลงานการแสดงล่าสุดของเขากับเรื่อง‘Hipster or Loser’ กับบท ‘ตี๋’ มาดูกันว่าการตีความคำว่าฮิปสเตอร์ของเขาจะออกมาเป็นอย่างไร และคำว่า Loser นั้นมีผลอย่างไรกับเรื่องราวนี้บ้าง ติดตามการพยายามหาคำตอบที่เต็มไปด้วยคำถามของการใช้ชีวิตของคนในเจเนเรชั่นนี้ได้บน LINE TV 


อยู่ในวงการมาซักพักแล้ว วงการบันเทิงให้บทเรียนอะไรกับเบสท์ ณัฐสิทธิ์

25 แล้วเนอะ (หัวเราะ) 8 ปีในวงการบันเทิง จุดเริ่มต้นของผมเริ่มจากตอนช่วง ม.5 มีโอกาสเล่นมิวสิกวิดีโอของวง Nologo ตอนนั้นผมก็ใหม่มากสำหรับวงการบันเทิง ไม่รู้ระบบการทำงานอะไรเลย วิธีออกกอง หน้าที่ ตำแหน่ง หลังจากนั้นก็มีงานหนังสั้น หนังอินดี้ โฆษณา เล็กๆ น้อยๆ เข้ามาบ้างประปราย มันก็สนุกดี ทำงานได้เงินใช้ไป การทำงานตอนนั้นคิดเรื่องเงินอย่างเดียวเลย ผมเชื่อว่าหลายคนไม่รู้เลยว่าผมเคยได้รางวัลสุพรรณหงส์ จากเรื่อง ‘ตั้งวง’ ซึ่งมันโคตรเฉพาะกลุ่มเลย อันนี้ไม่ได้ซีเรียสนะตอนนั้นหนังทำเงินได้ 2 ล้านกว่าบาท รายได้น้อยกว่ายอดวิวเพลง อ้าว อีก (หัวเราะ) แล้วคิดเอาค่าตั๋วหนัง 150 หารไปสิ

แต่จุดเปลี่ยนหรือจุดที่สอนบทเรียนผมจริงๆ มันอยู่ในช่วง 2 ปีที่คนรู้จักเราเยอะขึ้น เราได้เจอคนเยอะขึ้น มีคนเข้าหาเราเยอะขึ้น เจอบรรยากาศการทำงาน เรียนรู้ว่าอะไรควร ไม่ควร ผมก็เริ่ม Judge คน ผมเชื่อว่าคนเรามันก็ Judge กันอยู่แล้ว แต่ผมไม่ได้ตัดสินเพื่อไปทำลายใคร แต่เราตัดสินเพื่อที่จะกำหนดระยะความสนิทสนม คนนี้ควรแค่ทำงานด้วย คนนี้ไปปาร์ตี้ด้วยได้ คนนี้แค่สวัสดีกันก็พอ แต่ทั้งหมดผมก็ยืนยันว่าเราไม่ได้ตัดสินใครเพื่อให้ใครไปเกลียดใครนะ แล้วอีกเรื่องคือคำว่า ‘ยิ่งสูงยิ่งหนาว’ เนี่ยแม่งโคตรจริงเลย ผมไม่ได้อยากจะสูงอยู่ตลอด ผมเรียนรู้ที่จะทำงานให้อยู่ในมาตรฐานในทุกๆ งาน เพราะวงการทุกวันนี้มันมีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด ดูอย่างผมสิ อยู่ดีๆ เพลง อ้าว ก็ส่งผมขึ้นมาตรงนี้ซะอย่างนั้น ช่วงก่อนจะมาเล่นมิวสิกวิดีโอ อ้าว ผมเกือบถอดใจเรื่องการแสดงแล้วด้วยซ้ำ มันมีช่วงที่เราตั้งใจทำให้มันสุดไปเลย แต่ก็เหมือนยังไม่ถูกมองเห็นในวงกว้าง ยังไม่ได้หยิบไปใช้ในงานที่ผมว่าสามารถทำได้ดี 


ในช่วงนั้นคิดว่าตัวเองถูกมองข้ามหรือถูกดูแคลนรึเปล่า 

ถามว่าถูกมองข้ามไหม ผมว่าไม่นะ มันเป็นเรื่องของเวลาและโอกาสมากกว่า เพราะถ้าถูกมองข้ามจริงๆ ผมต้องไม่มีงานเลย ผมมีงานอยู่ ผมแค่อยู่ในจุดที่มองไม่เห็นมากกว่า 

แต่ถ้าถามว่ารู้สึกถูกดูแคลนหรือเปล่า ผมว่าทุกคนแม่งคิดแบบนี้กันหมด ไม่ใช่แค่ผมหรอก ทุกคนคิดว่าตัวเองมีของ มีความสามารถมากกว่าที่คนอื่นมองเห็น ถ้ายกตัวอย่างลูกจ้าง เขาก็จะคิดเหมือนกันว่างานแค่นี้ก็ทำได้เหมือนหัวหน้า แต่เพราะอะไรทำไมเขาถึงยังไม่ได้เป็นหัวหน้าซักทีล่ะ คนเราแม่งทำเต็มที่แล้วบางคนก็ไม่ประสบความสำเร็จก็มีเยอะ ผมไม่เชื่อว่า ‘ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น’ เสมอไป ผมถึงเชื่อเรื่องเวลาและโอกาสมากกว่า 


กลับมาเรื่องงานบ้าง จุดเริ่มต้นในการได้ร่วมงานกับซีรีส์ Hipster or Loser เป็นมาอย่างไร 

วันที่ทางทีมส่งบทมาให้ลองอ่าน ผมก็สนใจรับเล่นเลยนะ เหมือนเห็นภาพตัวเองตรงนั้นเลย แล้วมารู้ทีหลังจากพี่วิวที่เป็นผู้ตั้งต้นเรื่อง เขาบอกว่าชื่อแรกที่จะมารับบทตี๋ก็คือเบสท์คนแรกเลย ยังไงก็ต้องเป็นเบสท์ ในเรื่องผมรับบทเป็น ‘ตี๋’ คาแร็กเตอร์คือเป็นฮิปสเตอร์ ดื่มกาแฟ อยู่บ้านปูนเปลือย เป็นคนเท่ๆ ดูสงบเยือกเย็น แล้วความเรื่องมากของมันยังไม่หมดเท่านี้ ถ้าจะกินกาแฟก็จะต้องกินแบบไม่ผ่านเทคโนโลยีที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ จะต้องบดมือเท่านั้น เพราะการบดกาแฟในแต่ละเมล็ดมันก็จะมีรสชาติแตกต่างกันในแต่ละแก้ว ไม่ใช้เทคโนโลยีเลย แต่ใช้มือถือนะ งง (หัวเราะ) เออ แล้วตี๋มันเป็นวีแกน (กลุ่มบุคคลที่ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ทุกชนิด) ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ทำร้ายโลก เป็นวีแกนแบบระรานคนอื่นด้วย แล้วบอกตอนแรกว่ามันเป็นคนที่เงียบ แต่จริงๆ มันเป็นคนกวนตีน แต่มันต้องเงียบเอาไว้เพื่อคงความฮิปสเตอร์


แล้วจริงๆ เบสท์เป็นคนกวนตีนมั้ย

ในใจผมไม่ได้คิดอะไรเลย แต่ด้วยคำพูดเรามั้ง มันเลยทำให้คนแบบ เฮ้ย ทำไมมึงกวนตีนจังวะ กลายเป็นคนกวนตีนแบบนิ่งๆ ไป แต่เวลาปกติก็กวนตีนนะ แต่ก็กวนเฉพาะเพื่อน (เงียบไป) แต่ก็ไม่นะ ก็กวนตีนคนอื่นเหมือนกันนี่หว่า เออ เป็นคนกวนตีนครับ


เคยมีเหตุการณ์ไหนที่ทำให้รู้สึกว่าจริงๆ แล้วเราเป็นคนกวน 

ตอนเด็กๆ ไปเรียนการเป็นพิธีกร ครูที่สอนเราบอกว่าเมื่อเรามีชื่อเสียงแล้ว เราสามารถเป็นกระบอกเสียงได้ เราต้องเริ่มทำดีกับคนรอบข้างก่อน ตอนนั้นเราก็ถามเลย แล้วคำว่า ‘ดี’ ของครูคืออะไรครับ เหมือนตอนนั้นเราก็แบบต่อต้านคำว่า ‘ทำดี’ เพราะเราสงสัยว่าความดีคืออะไร พอมองย้อนกลับไป เฮ้ย ตอนนั้นเรารู้สึกอะไรอยู่ ถามแบบนั้นทำไมวะ มันเป็นอะไรที่ดูเด็กมากเลย ดูเป็นคนที่วอนโดนกระทืบมาก (หัวเราะ) 


แล้วตอนนี้ความดีของเบสท์คืออะไร ถ้าจะต้องนิยามให้คำนั้น

ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าคำว่า ดี กับ ไม่ดี นี่คืออะไรจริงๆ แต่แน่นอนว่ามันต่างกันด้วยนิยามของแต่ละคนอยู่แล้ว บางทีสิ่งที่เราได้รับอาจจะดีสำหรับเรา แต่ไม่ดีสำหรับคนอื่น นิยามคำว่า ดี ไม่ดี มันเลยไม่รู้ว่าคืออะไร มันอยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละคน ประสบการณ์การใช้ชีวิตของแต่ละคนจะเป็นตัวตัดสินว่าสิ่งที่ได้รับมาหรือโดนกระทำมันดีหรือไม่ดี แต่สุดท้ายถ้าทำอะไรแล้วสบายใจ ไม่รบกวนคนอื่น มันก็น่าจะพอนิยามคำว่าดีได้ในส่วนหนึ่งแล้วนะ…รึเปล่า (หัวเราะ)


คิดว่าฟังก์ชั่นของการเป็นฮิปสเตอร์จำเป็นในสังคมนี้มั้ย 

ผมไม่รู้สึกว่ามันจำเป็นกับสังคมสักเท่าไหร่นะ แต่มันจำเป็นกับตัวเราเองมากกว่า หมายความว่าถ้าคุณชอบในไลฟ์สไตล์การเป็นฮิปสเตอร์ คุณคิดว่ามันดีกับตัวคุณจริงๆ และมันไม่เดือดร้อนใคร มันก็ไม่จำเป็นกับสังคมหรอก แต่มันจำเป็นสำหรับปัจเจกบุคคลมากกว่า 


ในฐานะนักแสดงที่อยู่หน้ากล้อง การทำบางอย่างให้แมส กับการทำบางสิ่งให้ฮิปสเตอร์ อันไหนยากกว่ากัน 

ยากทั้งหมด เพราะว่ามันไม่มีใครรู้ว่าสิ่งที่เราทำจะมีคนชื่นชอบรึเปล่า มันคือการทดลองทั้งหมด อย่างเพลง อ้าว ตอนนั้นแค่อยากเล่นมิวสิกวิดีโอ มีคนติดต่อมาผมก็เล่นเลย ไม่ได้คิดอะไร ไม่คิดว่าตัวเองจะกลายเป็นแมสหรือจะฮิปขึ้นมาตรงไหน พอเป็นเรื่องของการพรีเซ็นต์ ไม่ว่าในเรื่องไหนมันยากหมด


รู้สึกอย่างไรบ้างกับคำว่า Loser

ผมว่ามันเป็นคำที่น่ารักดีนะ เป็นคำที่มีความหมายได้ทั้งแง่บวกและแง่ลบ มันอยู่ที่สถานการณ์ บริบทในตอนนั้น ตัวอย่างเช่นเราจีบหญิงไม่ติด คำว่า Loser สำหรับผมมันจะดูเป็นคำพูดปลอบใจนะ อุ้ย! มึงแพ้ มึงจีบคนไม่ติด เอ็นดู (หัวเราะ) แต่ยังไม่ค่อยใช้ในเชิงลบเลยอะ สำหรับผมส่วนใหญ่จะแบบใช้ในเชิงแซว แซวตัวเองอะ กูแม่งโคตร Loser เลยว่ะ ทำไมกูทำอันนี้ไม่ได้วะ Loser ชิบเป๋งเลย หรือว่าเพื่อนไปจีบหญิงมาไม่ติดยังงี้ ว้าย Loser ไปผับคืนนี้ไม่ได้หญิง ว้าย Loser (หัวเราะ) เออ อะไรอย่างนี้ ไม่น่าเป็นเชิงลบซักเท่าไหร่สำหรับผม


แล้วคำว่า Loser นี้มันเกี่ยวข้องอะไรในซีรีส์เรื่องนี้

มันเป็นการตั้งคำถามว่าจริงๆ แล้วคุณเป็น Hipster or Loser? การดำเนินชีวิตของคุณทุกวันนี้ คุณเป็นตัวเองอย่างแท้จริงรึเปล่า มันน่าจะเป็นคำถามที่อินได้กับทุกคน เพราะคำว่า Loser มันให้ตัวเองตั้งคำถามว่าสิ่งที่คุณทำมันมาถูกทาง หรือเป็นสิ่งที่เราต้องการที่แท้จริงแล้วหรือยัง หรือเราทุกคนก็เป็น Loser เหมือนกันหมด มันน่าจะเป็นคำถามที่คนดูต้องกลับไปลองคิด


แล้วเบสท์ล่ะ Actor or Loser 

ยังเป็น Loser อยู่ จะมีคนชอบบอกว่าเล่นดี เล่นเก่งอยู่บ่อยๆ แต่ผมก็รู้สึกว่ามันยังไม่พอ ยังไม่ถึงจุดที่ถูกพูดถึงว่าเล่นดีชิบหาย มันยังไม่มีคำว่าท้าทายที่สุด หรือเพราะผมยังไม่เจออะไรที่มันเปลี่ยนความเป็นเราได้ทั้งตัว หรือท้าทายชุดความคิดของเราได้อย่างพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ผมก็ยังเป็น Loser อยู่ในปัจจุบัน 


ได้ตั้งเป้าความสำเร็จของตัวเองในแต่ละปีไว้บ้างไหม 

มีเงินผ่อนรถแล้วกัน อันนี้ตอบจริง ตั้งเป้าไว้ว่าเราสามารถดูแลตัวเองได้ในแต่ละวัน แต่ละเดือน ให้มันผ่านไปได้ด้วยดีแบบนี้ดีกว่า สิ่งที่เรียกว่าความสำเร็จ มันไม่เคยพอหรอก อย่างคุณเป็นนักเขียน สักวันหนึ่งคุณจะอยากเป็น บก. วันหนึ่งคุณอยากจะเป็นเจ้าของบริษัท พอคุณอยากเป็นเจ้าของบริษัท คุณก็อยากทำอะไรเพิ่มอีกสักอย่างหนึ่งอยู่ดี ดังนั้นเนี่ย เป้าหมายมันถูกตั้งเอาไว้ และเปลี่ยนไปเรื่อยๆ อยู่แล้วเมื่อเป้าหมายแรกประสบความสำเร็จ คนเราไม่เคยพอ มันต้องไปต่อ


แปลว่าเป็นคนกระหายความสำเร็จ หรือมีความกระตือรือร้น

ใช่ครับ รู้สึกว่ามันไม่พอหรอก กระหายหรือกระตือรือร้นเหรอ มันคาบเกี่ยวกัน ใกล้เคียงกันมากๆ ผมว่าผมกระตือรือร้นเพราะผมกระหายความสำเร็จ ถ้ามีแต่ความกระหายมันก็จะเป็นพวกหิว รับหมด มีอะไรมาทำได้หมด แต่ถ้ามีแค่ความกระตือรือร้นมันก็เป็นพวกทำงานสุ่มๆ อะไรมาก็ทำหมด ไม่มีเป้าหมาย เหมือนคนไฮเปอร์ ทั้ง 2 อย่างนี้มันต้องไปด้วยกัน และไปในเส้นทางเดียวกันมันถึงจะประสบความสำเร็จ 


คิดว่าการเติบโตของช่องทางบันเทิงที่มีให้เลือกมากกว่าแต่ก่อน เช่น Line TV ทำให้เกิดอะไรขึ้นในวงการอุตสาหกรรมบันเทิงไทย

มันมีแพลตฟอร์มที่มากขึ้น ผมว่ามันก็เป็นเรื่องดี อย่างน้อยคนที่ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงก็มีโอกาสได้ทำงานกันมากขึ้น แล้วคนที่ได้ประโยชน์ก็เป็นผู้บริโภค มันก็มีอาหารให้เราได้เลือกเยอะมากขึ้น มันมีความหลากหลาย ดังนั้นผมมองว่ามันเป็นเรื่องที่ดีนะ แต่มันจะเกิดสิ่งที่ดีได้ก็ต่อเมื่อคอนเทนต์มันดี แต่มันไม่มีอะไรง่ายบนโลกนี้ บางทีคอนเทนต์อาจจะไม่ดี แต่แม่งยิงโดน บางอันคอนเทนต์โคตรดีเลย มันยิงไม่โดนอะ มันทำอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นตอนนี้มันเป็นการทดลองทั้งหมด เป็นการทดลองระบบใหม่ที่มันเกิดขึ้น มันอาจจะยังไม่มีอะไรที่ออกมาแล้วตู้ม! โห ประสบความสำเร็จทันที แต่ก็ภาวนาอยากให้มีเหมือนกัน อยากให้มีแพลตฟอร์มแข็งแรงเยอะๆ จริงๆ มันก็ประสบความสำเร็จอยู่นะสำหรับแพลตฟอร์ม Line TV


ในฐานะนักแสดงรู้สึกเปลืองตัวรึเปล่าที่กำลังเป็นตัวทดลองของกระบวนการบางสิ่งบางอย่าง

ไม่นะ ไม่รู้สึกเปลืองตัวเลย เพราะว่าเป็นคนง่ายๆ ด้วยล่ะ (หัวเราะ)


เคยดังเปรี้ยงปร้างมาแล้วรอบนึง ตอนนี้มองกลับไปจุดนั้นเห็นอะไรบ้าง

มันเร็วมากนะ เป็นช่วงเวลาที่ไม่ถึง 6 เดือนด้วยซ้ำ มองมันเป็นสัจธรรม มีขึ้นก็ต้องมีลง ถามว่าดีใจมั้ย ก็ดีใจ แต่มันรู้สึกจั๊กจี้กับคำว่า ‘สามีแห่งชาติ’ เดินไปไหนมาไหน ออกรายการไหนก็ถูกถามว่า “ทำไมหล่อจังเลย” ซึ่งเรารู้สึกว่าเฮ้ย มันไม่ใช่อะ ไม่เอา แต่ทั้งหมดมันก็ดีใจแหละ มันก็ดีใจอยู่แล้ว 

อีกอย่างผมไม่เชื่อเรื่องความยั่งยืนของการมีชื่อเสียงหรือว่าเงินทอง เพราะว่าคนที่รวยเป็นพันล้านก็ยังตกอับได้ แล้วเราเป็นใคร คนที่มีชื่อเสียงมากๆ วันหนึ่งเขาต้องตาย ถ้าไม่ตายเขาก็ถูกลืมไป เราจะต้องแคร์ทำไม มาคิดเรื่องงานดีกว่า ทำงานเราให้ออกมาดีก็พอ 


ตอนที่ได้รับฉายา ‘สามีแห่งชาติ’ รู้สึกว่าคำนี้เป็นคำที่คุกคามทางเพศรึเปล่า

ถ้าเป็นในแง่ของคำพูด ไม่ได้รู้สึกว่าคำนี้ Sexual Harassment นะ แต่ถ้าเป็นพฤติกรรมก็มีบ้างหน่อยๆ (หัวเราะ) ลองมาคิดแบบนี้ดู ถ้ามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ดีๆ ถูกตั้งว่า ‘ภรรยาแห่งชาติ’ และถ้าคำนี้มันถูกตั้งขึ้นมาโดยเหล่าชายกำยำทั้งหลาย แล้วเข้าไปกระหน่ำคอมเมนต์แบบตู้มๆๆๆ แล้วคนเหล่านี้เขาจะโดนด่าหรือเปล่า แต่มองกลับกัน ในเคสผมก็ได้ผู้หญิงมาแบบคอมเมนต์ในเชิง Sexual Harassment กับเราอะ เขาไม่โดนด่า แล้วบางคนก็บันทึกรูปไปเผยแพร่เป็นเชิงสนุกด้วยซ้ำไป “เฮ้ย อีนี่ตลกจัง” ซึ่งมันประหลาดนะ ประหลาดมาก แต่ส่วนตัวผม ผมไม่ได้คิดอะไรจริงๆ แค่ลองถามให้คิดกันเล่นๆ เฉยๆ