Super Mom & The Three Musketeers – ปิ่น เก็จมณี

Written by  
06.08.18 1,944 views

เมื่อปีที่แล้ว ในวาระที่เพลง คนละชั้น ดังเป็นพลุแตก HAMBURGER ไม่พลาดโอกาสที่จะสัมภาษณ์เจ้านาย-จินเจษฎ์ วรรธนะสิน ถึงมูลเหตุความโด่งดังรวมไปถึงเรื่องราวสนุกๆ ภายในครอบครัว ซึ่งหนึ่งในคำตอบที่เราจำได้แม่นยำก็คือเจ้านายบอกว่าส่วนที่เขาเหมือนแม่ก็คือ “อยู่คนเดียวได้ ไม่มีมุมเหงา ทำอะไรของเราไปได้เรื่อยๆ เพราะแม่เป็นคนที่มีความสุขกับทุกที่ผมเป็นคนคิดบวกเหมือนแม่” และเมื่อเราได้นั่งสนทนากับปิ่น-เก็จมณี วรรธนะสิน คุณแม่ยังสาวที่คงความสดใสและดูอ่อนกว่าวัย ราวกับเป็นเพียงพี่สาวของหนุ่มๆ ทั้ง 3 เจ้า เราก็สัมผัสได้ทันทีถึงการมองโลกในมุมบวกและมีความสุขได้ง่ายๆ ณ ปัจจุบันขณะที่กำลังหายใจ ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ในตัวของแม่ปิ่นนี่เองที่ถ่ายทอดไปสู่ลูกๆ ไม่ว่าจะเป็นแนวทางในการใช้ชีวิตเพื่อตนเอง ครอบครัว และผู้อื่น


ถ้ายึดเอาวันแม่แห่งชาติเป็นหลัก คุณซาบซึ้งกับวันแม่แห่งชาติในฐานะแม่มากี่ปีแล้ว

ถ้านับตามอายุเจ้านายก็ 17 ปี แต่ปีแรกที่คลอดเจ้านาย ปิ่นยังอยู่ที่อเมริกา เลยยังไม่รู้สึกตื่นเต้นกับวันแม่เท่าไรนัก แต่อันที่จริง ความรู้สึกเป็นแม่ก็เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง ทั้งตื่นเต้นและตกใจมากเพราะไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน แล้วก็ไม่ได้ตั้งตัวกับการท้องทั้ง 3 ครั้งเลยค่ะ (หัวเราะ) เป็นความบังเอิญที่ได้รับของขวัญจากพระเจ้าที่ดีมาก ถามว่ามีความสุขไหมมีความสุขมาก แล้วปิ่นก็มีความสุขกับการเป็นแม่ อยากจะท้องตลอดเวลา (หัวเราะ)

 

นอกจากความสุข คุณเคยเหนื่อยหรือท้อบ้างไหม เพราะที่จริงในยุคนี้ก็มีคุณแม่หลายๆ คนบ่นเรื่องการเลี้ยงลูกให้เห็นตามโซเชียลฯ อยู่เสมอๆ

รู้สึกแค่บางช่วง เช่น เหนื่อยกับอาการแพ้ท้องบ้าง หรือเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกเองแบบไม่มีใครช่วย แต่ก็เป็นความตั้งใจของเราเองว่าจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเองทั้ง 3 คน อยากให้ลูกเป็นผลิตผลจากเรา ไม่ใช่ผลิตผลจากพี่เลี้ยง หรือคุณปู่คุณย่า
คุณตาคุณยาย เพราะเราอยากให้เขาเป็นไปอย่างที่เราคาดหวังไว้ ซึ่งก็ไม่ใช่ความคาดหวังหรอก เราแค่อยากจะปูแนวทาง
ให้เขาเป็นในแบบนี้ เพราะถ้าลูกถูกสปอยล์มากเกินไป เราจะมาเสียใจทีหลัง ปิ่นจึงทุ่มเทเต็มที่ ทำงานไปด้วย เลี้ยงลูกไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำงานหนัก เพราะอยากทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้ลูก แล้วผลก็ออกมาได้ดั่งใจมาก

 

ตั้งแต่ตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะต้องเลี้ยงลูกเอง เคยเกิดความ ลังเลในใจบ้างไหม

ไม่ลังเลเลยค่ะ ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าจะเป็นแม่คนก็ตั้งใจที่จะเปลี่ยนทุกอย่าง สิ่งที่ไม่ดีจะปรับให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้เกินความเป็นตัวของตัวเอง บางทีก็นำสิ่งที่แม่เลี้ยงเรามาปรับใช้กับลูก แต่บางอย่างที่เรารู้สึกว่าแบบนี้เราไม่ชอบ เราไม่อยากได้ไม่อยากเป็น เราก็จะไม่ทำกับลูก ฉะนั้นเราจึงปรับทั้งสิ่งที่คุณแม่เลี้ยงเรามา และสิ่งที่เราขาดไป มาชดเชยให้กับลูก

 

คุณแม่เลี้ยงคุณมาแบบไหน

ปิ่นโตมากับการที่คุณตาคุณยายเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ เพราะคุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกันตั้งแต่ปิ่นอายุ 2 ขวบ พี่ชายอยู่กับพ่อ ปิ่นอยู่กับแม่ ซึ่งแม่ก็จะแมนมาก เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง แม้จะดูแข็งๆ หน่อย แต่เราก็กอดกัน รักกัน พอแม่ออกไปทำงาน คุณตาคุณยายก็เป็นคนเลี้ยง ปิ่นเลยชอบอยู่กับผู้ใหญ่ และรับประทานอาหารเหมือนคนโบราณ 

 

ต้องเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้เลยไหม

ใช่ค่ะ คลานเข่าเลย กิริยามารยาทนี่ไม่ต้องห่วงเลย ตั้งแต่เล็กก็อยู่โรงเรียนราชินี แต่ด้วยความที่คุณแม่ไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่เด็กก็เลยเอา 2 อย่างมาผสมกัน แม่ก็จะเลี้ยงแบบเป็นเพื่อนกัน แต่ก็ต้องมีกิริยามารยาทเป็นคนไทย ต้องมีสัมมาคารวะ ต้องพูดจาไพเราะ สุภาพ 

 

ถือว่าคุณโตมาในกรอบเลยไหม หรือมีอิสระคิดเองทำเองได้

อยู่ในกรอบขนบธรรมเนียมประเพณีไทยมาก แต่ในแง่ของความคิดก็มีอิสระ คุณแม่ก็ไม่ได้ห้ามไปหมดทุกอย่าง เราเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กันและกันฟังตั้งแต่เล็กจนโต ทุกวันนี้ก็ยังคุยกันทุกเรื่องเหมือนเดิม

 

ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่คุณเอามาใช้กับลูก

ใช่ค่ะ

 

แล้วอะไรที่ไม่ชอบและไม่นำมาใช้กับลูกเรา

เช่น แม่จะไม่ค่อยหวาน แม่จะไม่เคยชมเราเลย ปิ่นเคยถามเขาเหมือนกันว่าทำไมเวลาเราทำดีถึงไม่ชม เขาก็บอกว่าไม่อยากให้เหลิง อยากให้ทำให้ดีกว่านี้ แค่นี้ยังไม่พอ ซึ่งบางทีเราก็โหยหาตรงนั้นเหมือนกัน เราจึงปรับนำมาใช้กับลูก ปิ่นชมลูกทุกครั้งที่เขาทำดี เพื่อให้เขากระตือรือร้นที่จะทำดีมากขึ้นไม่อย่างนั้นเด็กอาจจะรู้สึกว่าทำไปก็เท่านั้น ไม่มีอะไรดึงดูดใจให้ทำ แต่แม่เราจะมองอีกแบบนึง มองว่าอยากให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่ง ทำอะไรด้วยตัวเองได้ อย่างตอนปิ่นแพ้ยา ท้องเสีย และอาเจียนหนักมากตอนอายุ 14 ปี แม่ก็บอกว่าขับรถได้แล้วก็ขับรถไปหาหมอเองสิ โตแล้วก็ต้องช่วยเหลือตัวเองอีกหน่อยจะได้ไม่ต้องพึ่งใคร โหดมาก แต่ทุกวันนี้ก็ขอบคุณเขานะคะ เพราะทุกวันนี้เราก็ทำอะไรได้ด้วยตัวเองจริงๆ แต่พอเริ่มวัยรุ่นเราก็เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มันก็จะมีช่วงวัยรุ่นที่ลูกสาวกับแม่จะแจ๊ดๆ ใส่กัน จนมาทุกวันนี้พอเจอลูกแจ๊ดๆ ใส่ เราก็นึกถึงตัวเองตอนที่เถียงแม่ว่าแม่จะรู้สึกยังไง เพราะปิ่นเฮิร์ตมาก แอบจิกหมอนร้องไห้ก็มีบ้าง แต่ก็เข้าใจลูก เพราะตอนที่เราอายุเท่านี้ก็เป็นแบบนี้ แต่การที่เราจะไปพูดกับลูกว่าตอนแม่อายุเท่าลูก แม่ก็เป็นแบบนี้ก็ไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะได้ใจ 

 

การที่คุณพ่อคุณแม่แยกทางกันตั้งแต่คุณยังเด็ก ส่งผลอะไรต่อจิตใจบ้างไหม

น้อยมากค่ะ ด้วยความที่บ้านคุณตาคุณยายอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ มีทั้งคุณป้าคุณน้าคุณอา โดยเฉพาะคุณน้าซึ่งเหมือนเป็นแม่คนที่สองของเรา แล้วยังมีน้องสาวอีก 3 คน คนเยอะมากจนแทบไม่รู้สึกขาด มีดราม่าบ้างตอนปิ่นไปอยู่อเมริกาที่บ้านคุณป้า ซึ่งครอบครัวเขามีพ่อ แม่ และลูกสาว 2 คน จนมีวันนึงอยู่ดีๆ เราก็คิดขึ้นมาว่าบ้านที่เขามีพ่อมันเป็นอย่างนี้เองเหรอ อยากมีเหมือนกันนะ ก็มีแอบร้องไห้ครั้งเดียว แต่คุณพ่อกับคุณแม่ของปิ่นไม่ได้เกลียดกัน ช่วงซัมเมอร์ปิ่นก็จะไปอยู่บ้านคุณพ่อกับคุณปู่คุณย่า ก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย

 

เมื่อไรที่คุณรู้สึกว่าเราอยากสร้างครอบครัวของตัวเอง นี่เป็นการวางแผนร่วมกันกับเจ (เจตริน วรรธนะสิน) รึเปล่า

(ถอนหายใจเบาๆ) ไม่เลยค่ะ (หัวเราะ) ไม่ได้ตั้งใจค่ะ ก็คือเราเป็นแฟนกันมานานมาก เลิกกัน กลับมาดีกัน ไปเรียนเมืองนอก แยกกัน กลับมาเจอกันอีก เกิดปัญหาอะไรเยอะแยะระหว่างทาง จนกระทั่งเหมือนกับว่าก็คงต้องเป็นคู่กันแล้วล่ะ คงไม่ไปไหนแล้วมั้ง เลยคิดว่าน่าจะเป็นครอบครัวที่อยู่กันไปตลอด แล้วเราก็เป็นคริสต์ทั้งคู่ เราสัญญาสาบานกันต่อหน้าพระเจ้าแล้วว่าเราจะรักและดูแลกันตลอดชีวิต คิดว่าสิ่งนี้ทำให้เราอยู่ด้วยกัน แล้วเราก็สอนให้ลูกเห็นว่าผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกันย่อมต้องมีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง โดยพื้นฐานแล้วเราจึงต้องรู้จักเรียนรู้กันก่อนที่จะแต่งงาน ไม่ใช่ว่ารักกันแป๊บเดียวแล้วแต่งเลย หรืออยู่กันไปแบบไม่ต้องแต่ง แบบนั้นครอบครัวก็จะไม่สมบูรณ์ นี่เป็นหลักการในการสอนลูกเรื่องคู่ครอง หรือในการที่จะใช้ชีวิตคู่ให้ยาวนาน เราคุยกันเยอะในครอบครัว

 

คุณเพิ่งเริ่มสอนตอนพวกเขาเป็นวัยรุ่นแล้วเหรอ

สอนตั้งแต่เล็กๆ เลยค่ะ โดยเราทำเป็นตัวอย่างให้เห็น ยกตัวอย่างให้ดู สิ่งที่เราไม่ดีก็มี เช่น ใจร้อน ทะเลาะกันเสียงดัง เห็นไหมว่าผลลัพธ์เป็นยังไง 

 

ตอนตั้งท้องเจ้านาย แม้จะไม่ทันตั้งตัว แต่คุณก็พร้อมที่จะเป็นแม่แล้วใช่มั้ย

พร้อมตลอดเวลา ปิ่นเป็นคนรักเด็กมากมาแต่ไหนแต่ไร พอรู้ว่าท้องปุ๊บ โอ้ เราจะเป็นแม่แล้ว เพราะฉะนั้นก็จะต้องทำตัวให้พร้อม อ่านหนังสือเป็นหีบเลย ปรึกษาคุณแม่ ปรึกษาคุณหมอ เอาหลายๆ ตำรามาปรับ และดูแลเรื่องสุขภาพ เลิกอบายมุขทุกอย่าง จากที่เคยเป็นสาวเปรี้ยว อินดี้มาก ชนิดที่ไม่อยากคุยกับใครเวลาตื่นนอนก็ไม่ได้แล้ว เพราะเรารู้สึกว่าเราต้องคุยกับลูกในท้อง เราต้องสื่อสารกับเขา ถ้าเราอารมณ์เหวี่ยง เดี๋ยวลูกเราจะเลี้ยงยาก ปรับตัวเองทุกอย่างกระทั่งอาหารการกิน บางทีอยากจะตามใจปากมาก อยากกินซูชิ ซาชิมิสดๆ ส้มตำเผ็ดๆ แต่ก็ไม่กิน ผงชูรสก็ไม่ได้ น้ำอัดลมก็ไม่ได้ น้ำส้มสายชู ก็ไม่ได้ เรายอมเสียสละทุกอย่าง

 

โดยที่ไม่ฝืน

ไม่ฝืน ถ้าฝืนน่าจะเป็นตอนลูกคนที่ 2 เพราะตัวเองเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นแม่บ้านที่โดนจับขังอยู่แต่ในบ้าน ตอนนั้นอยู่เมืองไทยแล้ว เหงา เบื่อ เหมือนขาดสังคม ก็เครียดอยู่พักนึง (เจ้าขุนผละตัวจากการถ่ายรูปมาทักแม่ปิ่น) เนี่ยค่ะ คนนี้ที่ทำให้เครียดกว่าคนแรก ตอนนั้นเพิ่งรับงานละครได้อาทิตย์นึง แล้วเพิ่งรู้ตัวว่าท้อง ก็เลยต้องทำงานไปด้วยโดยที่ห้ามอ้วน เพราะละครต้องคอนทินิว แต่กางเกงเปลี่ยนไซส์ตั้งแต่ S ไป M จบด้วย L สุดท้ายกระดุมเปิด (หัวเราะ) แล้วก็ต้องเล่นบทร้าย จำได้ว่ามีฉากต้องเล่นวินด์เซิร์ฟและตกวินด์เซิร์ฟ ปรากฏว่าตกไปโดนแมงกะพรุนไฟพาดทั้งขาโดยไม่รู้ตัว ต้องส่งโรงพยาบาลด่วน เราก็กลัวมากว่าลูกเราจะพิการไหม พิษจะเข้าไปในกระแสเลือดรึเปล่า โชคดีที่ไม่โดนท้อง คุณหมอบอกถ้าพาดไปที่ท้องก็ไม่แน่ อาจจะพิการ ขุนเลยออกมาสุดๆ แบบนี้ค่ะ ฤทธิ์เดชดีดปึ๋งปั๋ง (หัวเราะ)

 

แล้วตำนานของเจ้าสมุทรล่ะ

ก็ไม่ได้ตั้งใจอีก พลาดทั้งหมด แล้วเราก็หวังว่าลูกคนที่ 2 จะเป็นผู้หญิงเนอะ เขาบอกว่าถ้าเรารักสวยรักงามลูกจะออกมาเป็นผู้หญิง ช่วงนั้นเราก็ชอบแต่งตัว เก็บดอกไม้มาทัดหู แต่คิดไปเอง เพราะพออัลตราซาวด์ตอน 5 เดือนก็รู้ว่าเป็นผู้ชายอีกแล้ว พอมาคนที่ 3 อัลตราซาวด์ออกมาไม่มีจู๋ ดีใจมาก โทรหาเจ ซึ่งกำลังตีกอล์ฟอยู่ ร้องเย้กันดังลั่น ช่วยกันคิดว่าจะชื่ออะไรดี ชื่อเจ้าขาดีไหม มีการถ่ายคลิปวิดีโอเจ้านายกับเจ้าขุนคุยกับน้องเจ้าขาที่อยู่ในท้องด้วยนะ พอเดือนที่ 5 หมอบอกว่าปิ่น…มีแหลมๆ อีกแล้ว กรี๊ดเลย แต่เป็นกรี๊ดแบบอยากร้องไห้ (หัวเราะ) แล้วก็ปรับอารมณ์ค่ะ ผู้ชายก็ผู้ชาย สนุกดี ก็เลยต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเจ้าสมุทร เพราะว่าตอนท้องคนนี้ปิ่นชอบว่ายน้ำและดำน้ำมาก พอคลอดออกมาเจ้าสมุทรก็ชอบว่ายน้ำ ว่ายน้ำได้ตั้งแต่อายุ 4 เดือน สามารถดำน้ำว่ายมาหาแม่ได้ แต่เจทำคลิปวิดีโอหายไปแล้ว เสียใจมาก 

 

พูดถึงประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกคนแรก คุณเลี้ยงเจ้านายแบบไหน

อาจจะประคบประหงมเยอะหน่อย เพราะเจ้านายเกิดก่อนกำหนดด้วย ก็เลยต้องดูแลห่วงใยเป็นพิเศษ พอคนที่ 2 ก็ค่อยๆ ปล่อย และเริ่มมีพี่เลี้ยงมาช่วยแล้ว ตอนเลี้ยงเจ้านาย 4 เดือนแรกไม่มีใครช่วยเลย ทำเอง 100% เพราะคลอดที่เมืองนอก แต่ก็มีคุณแม่กับน้องสาวบินจากอังกฤษมาอยู่ด้วย ก็โอเคหน่อย 

 

ในการเลี้ยงลูกต้องพูดคุยปรึกษากับสามีว่าอย่างไรบ้าง

ตั้งแต่ลูกยังเล็กก็จะให้ปิ่นเป็นหลัก แล้วยกให้เจดูแลเรื่องใหญ่ๆ อย่างเรื่องงาน เรื่องเงิน แต่ถ้าเป็นเรื่องในบ้าน เรื่องลูก ก็จะยกให้ปิ่น แต่พอลูกโตเป็นวัยรุ่นแล้วต้องช่วยกัน เพราะเป็นลูกชาย เราอาจจะต้องโยนไปให้พ่อเสียส่วนใหญ่ สำหรับเล่นกิจกรรมแมนๆ เรื่องแฟน เรื่องผู้หญิง เพราะเราเป็นแม่เขาอาจจะต่อต้านนิดหน่อย แต่กับพ่อเขาก็คุยกันแมนๆ 

 

เลี้ยงดูแบบธรรมดา แต่พวกเขาเกิดมีความเป็นสตาร์ด้วยตัวเองเหรอ

คือมันมาเองเลยนะ ไม่ได้แนะนำให้ทำ คงเพราะเขาเห็นเรามาตลอด ไปอยู่กองถ่ายแม่ ตามไปคอนเสิร์ตพ่อ เจ้านายร้องเพลงพ่อได้ตั้งแต่ 2 ขวบ เราหิ้วกันไปตลอด 

 

คุณเป็นแม่ที่ไม่เคยคิดพักจากโลกของการทำงานเลยเหรอ

มีพักเป็นบางช่วง แต่หลังจากคลอดเจ้านาย 4 เดือนก็กลับไปทำงานถ่ายละครตามปกติ พอท้องอีกก็ถ่ายละครไปด้วยตอนท้อง แล้วก็หยุดพัก พอเจ้าสมุทรก็เป็นพิธีกรรายการเด็ก ทำงานไปเรื่อยๆ ปิ่นรู้สึกว่าคนท้องไม่ใช่คนป่วย เราอยากทำตัวเองให้เป็นปกติ จะได้แข็งแรงด้วย ถ้าให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียวคงอกแตกตาย เบื่อมากแน่ๆ เลย ไม่ชอบเป็นคุณนาย 

 

แล้วในการเป็นโมเดิร์นมัมที่ดูแลตัวเองได้ดีมาตลอด คุณรักษาสมดุลยังไง

อย่างที่บอกว่าคนท้องไม่ใช่คนป่วย เป็นคุณแม่ก็ห้ามปล่อยตัว แล้วเราเป็นคนที่อารมณ์ดีก็เลยทำให้บาลานซ์หลายๆ อย่างได้ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราต้องจัดเวลาที่เราจะอยู่กับทุกคน แบ่งเวลาให้พ่อ แบ่งเวลาให้ลูก เพราะถ้าเราเลี้ยงลูกอย่างเดียว พ่อก็ทิ้งเราไปมีความสุขสบายที่อื่นเหมือนกัน งานหนักเหมือนกันค่ะ แต่ก็ต้องทำให้ได้

 

ดูเหมือนคุณจะทำได้อย่างเป็นธรรมชาติเสียด้วย

เราสนุก มันเป็นเหมือนเกมสักเกมที่เราต้องผ่านด่านไปให้ได้ วันนี้มาแบบนี้ก็ต้องแก้สถานการณ์แบบนี้ พอทำได้เราก็สนุก ภูมิใจ 

 

คิดเป็นวันๆ เหรอ 

ใช่ค่ะ ปิ่นเป็นคนทำอะไรแค่วันนี้ ปิ่นจะไม่คาดหวังอะไรมาก เป็นคนไม่มองการณ์ไกล คนที่มองไกลๆ คือเจ เราก็ต้องช่วยกัน เพราะบางทีปิ่นก็โลกสวยเกินไป เจก็ต้องบอกว่าแบบนี้ไม่ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น เดี๋ยวนี้ก็มีลูกคอยช่วยบอกว่าหม่ามี้มันไม่ใช่แบบนั้น ปิ่นมองว่าบางทีถ้าเราไปคิดอะไรร้ายไว้ก่อน โลกไม่สวย เราก็จะเครียด ไม่สบายใจ เราเลยมองแง่ดีไว้ก่อน ถ้าไม่ดีเดี๋ยวค่อยว่ากัน ค่อยแก้ไขปัญหาตอนนั้น

 

เวลาที่คนมองโลกสวยต้องเจอเรื่องร้ายๆ รู้สึกยังไง

ก็รู้สึกว่าอ๋อ อย่างนี้ก็มีด้วยเหรอ อย่างช่วงที่ปิ่นไม่สบายจนเดินไม่ได้ ปวดมาก เราก็คิดว่าอ๋อ จะเดินไม่ได้เหรอ เดินไม่ได้บนบก งั้นเราลองเดินในน้ำดูไหม ก็โอเคนะ มันก็ไม่เจ็บ ก็เลยทำให้เราไม่เครียดจนเกินไป แล้วสุดท้ายก็หาย อัศจรรย์ก็มีจริง เราก็ต้องเชื่อแบบนั้น

 

ซึ่งคุณสอนแนวคิดนี้ให้กับลูกๆ ด้วย

ปิ่นสอนลูกๆ ตลอดว่าเราไม่จำเป็นต้องเก่งเหมือนคนอื่น เราไม่ต้องรู้สึกว่าเราแปลก หรือบางทีเราอาจจะภูมิใจในความแปลกของเราก็ได้ เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส ทำไมเราต้องตัวขาวเหมือนคนอื่น เรามองว่าเราดำแล้วเท่ก็ได้นะ ใครๆ อาจจะอิจฉาผิวสีแทนของเรา ทุกคนไม่ต้องมีอะไรที่เหมือนกัน ไม่งั้นก็แย่งกันหมดสิ ถ้าชอบขนมเหมือนกันก็ต้องแย่งขนมอันเดียวกัน แล้วเราก็จะมีวิธีสอนลูกให้รักกันว่าห้ามแย่งขนม ห้ามแย่งของเล่น ห้ามแย่งผู้หญิง ถ้าแย่งกันเป็นหมา ทุกวันนี้ก็ยังให้ท่องอย่างนี้ พี่น้องต้องรักกัน ห้ามทะเลาะกัน ถ้าทะเลาะกันจะทำโทษเป็นหมู่ เขาเลยใช้วิธีพูดคุยตกลงกันเอง ถ้าไม่อยากโดนลงโทษ หรืออย่างวิธีของปิ่นที่เอามาจากแม่คือการคัดลายมือ ถ้าทำผิดจะให้คัดลายมือ 100 จบ หรือ 500 จบก็ว่าไป เช่น ผมจะไม่ทำรองเท้าหายแล้ว ก็ใช้ได้ผลนะ ฝึกให้อดทน ขนาดพ่อยังโดนเลยค่ะ จะไม่ซื้อลอตเตอรี่อีกแล้ว (หัวเราะ) เพราะผิดตลอด เหมือนที่ปิ่นบอกว่าปิ่นอยากเล่นเกมไง ก็ต้องให้เขาสนุกไปด้วย แต่ก็ต้องเข็ดหลาบด้วย

 

อะไรที่คุณเป็นห่วงเขามากที่สุดในวัยนี้

แต่ละคนก็แต่ละแบบนะคะ อย่างเรื่องความบ้าคลั่งของเจ้าขุน ส่วนเจ้าสมุทรไม่ค่อยห่วงเรื่องเรียน จะมีก็แต่เรื่องติดเกม ติดคอมพิวเตอร์ ติดโทรศัพท์ ส่วนเจ้านายก็สายชิลล์เกินไป อยากจะบังคับให้ทานอาหารเยอะๆ ดูแลสุขภาพหน่อย เขาเอาแต่ดีดกีตาร์ ไม่ค่อยออกกำลังกาย ก็กลัวว่าเขาจะไม่แข็งแรง ตอนนี้พวกเขาก็ไปเรียนเมืองนอกทั้ง 3 คน เรารอแค่ลูกกลับมาหาช่วงที่เขาปิดเทอม ช่วงที่ลูกไม่อยู่ต้องทำตัวยุ่งๆ เข้าไว้จะได้ไม่เหงา

 

มีความเหงาเกิดขึ้นใช่ไหม

(ตอบทันที) เหงามาก เวลาปิดเทอมทีจะมีความสุขมาก มีทั้งลูกตัวเอง เพื่อนลูก หลาน ลูกเพื่อนแน่นบ้านมาก พอถึงวันแรก
ที่เขาไปเรียนก็จะอาการหนักไป 2 วัน อย่างเจเขาจะโอเคเมื่อเขา
ได้รับโทรศัพท์จากลูกว่าถึงโรงเรียนแล้ว เข้าโรงเรียนแล้ว แต่ด้วยความที่ปิ่นดูแลลูกเยอะกว่ามั้งคะ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของข้าวปลาอาหาร จะตื่นนอนหรือเข้านอน ปิ่นอยู่กับลูกเยอะกว่า ก็เลยจะหงอยสัก 2-3 วัน ร้องไห้ 1 ที แล้วก็หาย 

 

อะไรคือความสุขอื่นๆ ที่เติมเต็มเราในวัยนี้ได้ นอกจากครอบครัวและงาน 

ไม่มีค่ะ มีแค่นี้ ลูก ครอบครัว สามี สัตว์เลี้ยง และงาน 

 

ทำไมคุณถึงรักอาชีพนักแสดง

มันทำให้เรามีความสุข เป็นงานที่อยากทำ เสียงวิจารณ์ทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองยังมีค่า ยังมีอะไรในชีวิตให้ได้ทำ ถ้าเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูก อยู่กับสัตว์เลี้ยงอย่างเดียวคงเฉา การที่เราได้เจอผู้คน ได้สวมบทโน้นบทนี้ก็ทำให้ได้บริหารจิตใจเราไปด้วย ส่วนเจเองก็บ้างานเหมือนกัน เป็นคนที่ทำอะไรแล้วต้องทำจริง ไม่มีใส่ไปแค่ 50 มีแต่ 100 กับเกิน 100 ซึ่งส่งผลไปถึงลูกด้วย จะสังเกตว่าเด็กๆ ทุกคนไม่เคยบ่น ไม่เคยเหนื่อย ให้ตื่นตี 5 ครึ่งก็ทำได้ อยู่ถึงเที่ยงคืน ตี 1 ก็ได้ อาจจะมีงอแงบ้าง แต่จะไม่บ่นให้ทีมงานได้ยิน บางทีเต้นจนเท้าพองก็ไม่บอก เวลาที่ทีมงานแอบมาชม เราก็บอกเขา เราคุยกันแบบผู้ใหญ่มาตั้งแต่เขายังเด็ก เพราะเชื่อว่าถ้าเราทรีตเขาเป็นผู้ใหญ่ เขาก็จะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ แต่ถ้าเราทำว่าเขาเป็นเด็ก เขาก็จะเป็นได้แค่เด็ก แล้วปิ่นเป็นคนที่มีอะไรก็เล่าให้ลูกฟังหมด ปรึกษาลูกว่าถ้าลูกเป็นแม่ ลูกจะทำยังไง เพราะฉะนั้นในทางกลับกัน เขามีอะไรก็ปรึกษาเรา หม่ามี้คิดยังไง ถ้าเกิดว่าเพื่อนเป็นแบบนี้ๆ 

 

เรื่องไหนบ้างที่คุณขอคำปรึกษาจากลูก

ทุกเรื่องค่ะ โดยเฉพาะเจ้านาย เขาเป็นเพื่อนคู่คิด ซึ่งเราก็ถามเขาแบบอยากได้ความคิดเห็นจริงๆ บางทีเรามองในมุมเดียวของเรา อาจจะไม่เข้าใจมุมของคนอื่น ด้วยความที่เจ้านายเขาแก่แดดตั้งแต่เด็กด้วยแหละ เขาเลยชอบแสดงความคิดเห็นในมุมของเขา ซึ่งบางทีก็ดีกว่าที่เราคิดเสียอีก 

 

คุณคิดว่ายุคสมัยมีผลต่อการดูแลลูกแค่ไหน แล้วเราจะตามเขายังไงให้ทัน

อยู่ที่ใจของเรา ปิ่นเปิดกว้างที่จะคุยกับลูก เวลาเขาเล่าอะไรมา เราอย่าไปดุเขา ฟังเยอะๆ อย่าไปทำตัวตื่นเต้นทั้งที่ตัวเองใจเต้นมาก เขาก็จะเล่าให้เราฟังว่าตอนนี้มันเป็นแบบนี้แล้วนะ มันไม่เหมือนสมัยหม่ามี้นะ เราก็ฟังแล้วเอามาปรับ แต่ก็ไม่ได้ปล่อยให้อิสระเกินไป เพราะยังไงเราก็เป็นคนไทยด้วย และเราอยู่ในแสงสว่าง ทำอะไรก็ต้องระวังนิดนึง

 

พวกเขารู้สึกว่าใช้ชีวิตยากไหม มีแฟนคลับ มีคนมารู้จักและติดตามมากมาย

ไม่นะคะ เราบอกให้เขาทำตัวเต็มที่ เป็นธรรมชาติ แต่ก็มีบางเรื่องที่เราก็ลืมคิดไปว่าคนอื่นเขาอาจมองอีกมุม ซึ่งมุมนั้นอาจจะไม่ถูกใจใคร ก็ต้องแคร์นิดนึง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเองขนาดนั้น ต้องสอนแบบซอฟต์ๆ หน่อย ไม่ใช่ไปบอกว่าเฮ้ย ไม่เห็นต้องไปแคร์เลยลูก ในเมื่อเราไม่ได้ทำอะไรผิด แบบนั้นจะยิ่งเหมือนให้ท้าย ทุกอย่างต้องเอามาปรับให้เหมาะสม ปิ่นค่อนข้างมองโลกในแง่ดี เลยทำให้อยู่ง่าย สมมติมีคนมาว่าลูกเราไปทำอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าเราไปตื่นเต้นตกใจโวยวาย ลูกเราก็ตกใจไปด้วย แต่ถ้าเรานิ่ง ค่อยๆ คิด ค่อยๆ มองว่าเราจะสอนลูกยังไงดีในการดีลกับสิ่งนี้ แล้วเขาก็สามารถดำเนินชีวิตแบบปกติได้ 

(ตลอดการสนทนา ทั้ง 3 เจ้ามักจะแวะเวียนแวะทักทายคุณแม่ เช่น อยู่ดีๆ เจ้าขุนก็แวะมาจุ๊บแก้ม แล้วบอกว่ารักแม่นะ) 

 

นี่คือการแสดงความรักต่อกันจริงๆ หรือแวะมาทักทายเล่นๆ

จริงๆ ค่ะ เราบอกรักกันทุกวัน กอด หอม จูบกันทั้งวัน จนเพื่อนฝรั่งของเจ้านายขำจะตาย อยู่ดีๆ นายก็มาจับมือแม่แล้วก็จูบ ซึ่งเขาหมายความตามนั้นจริงๆ พวกเขายังนอนหนุนตักแม่อยู่ เอาขามาพาด แล้วคิดดูขา
เจ้าขุนใหญ่ขนาดนี้ยังพาดอยู่เลย

 

กลัวไหมว่าจะถึงวันนึงที่เขาเขินและไม่มานัวเนียกับเราแล้ว 

ปิ่นบอกเขาว่าห้ามมีแก๊ปเลยนะ เพราะถ้าเราเริ่ม มันจะค่อยๆ ห่าง เราต้องทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ต่อให้ลูกมีภรรยาหรือมีลูกแล้ว ลูกก็ต้องทำอย่างนี้กับแม่ แล้วถ้าลูกของลูกเห็น เขาก็จะทำเหมือนกับลูกนี่แหละ เราต้องค่อยๆ เอาทุกอย่างมาสอนเขา เหมือนเราเองที่ยังไปเยี่ยมไปหาพ่อแม่ คุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายของเรา พอเขาเห็นแบบนี้ เขาก็จะซึมซับและปฏิบัติต่อเราแบบนี้ บางทีปิ่นไม่ว่างที่จะพาเด็กๆ ไป เดี๋ยวนี้โตแล้วก็ให้คนรถพาเขาไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าเอง ก็เป็นความชื่นใจ แล้วปิ่นเชื่อว่าคนที่มีความกตัญญู ยังไงก็จะเจริญ เพราะเขาจะมีจิตใจที่นึกถึงคนอื่น ไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเองเขาจะมีความเสียสละ ถึงจะไม่ว่างก็ต้องแบ่งเวลา จะทำแต่เรื่องของตัวเองก่อนไม่ได้ ปิ่นจะสอนให้ลูกนึกถึงคนอื่นก่อนเสมอ แล้วค่อยนึกถึงตัวเองที่เหลือสิ่งดีๆ ก็จะตามมาเอง