คุยกับ 3 หนุ่มจากวง The Mousse ถึงอัลบั้มใหม่ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงในชีวิต

ปี 2558 เป็นปีที่มาแรงสุดๆ ของวง The Mousses หลายคนรู้จักพวกเขาจากเพลง เจ็บที่ต้องรู้ ในขณะเดียวกันก็จัดว่า เป็นปีแห่ง ‘การเปลี่ยนแปลง’ ครั้งใหญ่ของพวกเขาเช่นกัน เมื่อสมาชิกของวงสองคนตัดสินใจแยกตัวออกไป กระทั่งวันเวลาผ่านไป The Mousses กำลังกลับมาพร้อมกับอัลบั้มที่ 2 ที่มีชื่อว่า Change ที่สะท้อนให้เห็นว่าแม้วงจะต้องผ่านการเปลี่ยนแปลงสักแค่ไหน แต่พวกเขาก็ยังยืนยันหนักแน่นว่าจะขอเล่นดนตรีต่อไป

กลับมาครั้งนี้ตั้งชื่ออัลบั้มที่ 2 ของวงว่า ‘Change’

แอร์: อัลบั้มนี้ใช้เวลาเดินทางน่าจะสัก 4-5 ปีได้ ส่วนที่มาของชื่อ Change เพราะที่ผ่านมาเราเจอการเปลี่ยนแปลงมาเยอะมากตั้งแต่อัลบั้มแรกจนมาถึงอัลบั้มนี้ ทั้งเรื่องทัศนคติ ความคิด รวมถึงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวง หรือแม้แต่ช่วงที่วงเริ่มพีก แล้วเงียบไป มีงานน้อย พวกเรามีขึ้นและมีลงอยู่ตลอดเวลา ‘การเปลี่ยนแปลง’ เลยเป็นชื่อที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ช่วงอัลบั้มพวกเราจะซิ่งมาก เป็นช่วงอายุ 25-26 ปีที่กำลังคะนองอยู่เหมือนกัน แต่เราก็ได้เรียนรู้หลายอย่าง และนำมาปรับใช้กับอัลบั้มที่ 2 สิ่งไหนดีก็ต้องเก็บไว้ ส่วนสิ่งไหนไม่ดีก็ต้องพัฒนาต่อ 

ช่วงที่เกิดการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวงเป็นอย่างไรบ้าง

แอร์: ตอนแรกเราก็ไม่ทันตั้งตัวว่าทำไปสักเพลงสองเพลง แล้วจะมีเพื่อนขอแยกตัวออกไป เป๋เลย 

ต๋า: เราก็ไม่คาดคิด เพราะตอนนั้นงานก็เยอะ วงเพิ่งปล่อยเพลง เจ็บที่ต้องรู้ ออกมาประมาณ 3-4 เดือน กำลังเริ่มดังเลย และกำลังเตรียมปล่อยเพลงต่อไป วันนั้นพวกเรากำลังซ้อมกันอยู่ พี่บาส (กษิภัท ยิ่งเจริญ) กับพี่ริน (อริญชย์ ภาณุเวศย์) ก็เข้ามาบอกว่าจะออกจากวง พวกเราก็ชะงักไปนิดนึง 

แอร์: หลังจากนั้นเราเลยต้องมองหาคนที่จะมาแทน ซึ่งการทำงานร่วมกับคนอื่นผมว่ามันยากมาก เพราะเขาต้องใช้ชีวิตทัวร์ไปกับเราด้วย ไม่ใช่แค่เล่นดนตรีอย่างเดียว แต่ต้องใช้ชีวิตด้วยกัน 

พอเกิดการเปลี่ยนแปลงจนถึงขั้นเซไปขนาดนี้ คิดจะเลิกทำวงเลยไหม

แอร์: ไม่หยุดแน่นอนครับ แต่เราก็ต้องมองว่าจะเดินอย่างไรต่อ เราเหลือแค่ 3 คน เราต้องทำงานเยอะขึ้น เมื่อก่อนอาจจะมีพาร์ตที่บาสกับรินต้องทำ อย่างรินทำซาวด์ดนตรีสังเคราะห์จากคอมพิวเตอร์ พอเขาออกไปส่วนนี้ก็จะเริ่มเบาลง ซึ่งสังเกตได้เลยว่าหลังจากเพลง เจ็บที่ต้องรู้ เพลงจะค่อนข้างจืดกว่าเดิมพอสมควรเลย เพราะหัวหลักของเรื่องนี้เขาหายไป 

จ๊ะ: เราเฝ้ามองดูวงของพี่ๆ เพื่อนๆ มาตลอด พวกเขาก็มีการเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวง แค่ไม่คิดว่าจะเกิดกับตัวเอง ช่วงที่เพื่อน 2 คนออกไป พวกเขาก็อยู่รอจนกว่าเราจะได้สมาชิกที่ลงตัวอยู่สักพัก แม้สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นเรื่องช็อกพอสมควร แต่อย่างที่บอกพวกเราไม่คิดที่จะเลิกทำอยู่แล้ว แต่แค่ต้องการเวลาประกอบร่างใหม่ ผมว่าเราเป็นเหมือนเครื่องบินที่มีบางชิ้นส่วนขาดหายไป แต่เราก็ต้องซ่อมเพื่อโบยบินต่อไปให้ได้ 

มีเกณฑ์เลือกสมาชิกใหม่ที่จะเข้ามาอยู่ในวงอย่างไร

จ๊ะ: เราไม่ได้มองหาคนที่มีความสามารถอย่างเดียว แต่เราเลือกที่หัวใจ เพราะท้ายที่สุดไม่ว่าคุณเก่งมาก แต่เราเข้ากันไม่ได้ เราก็ลำบากใจกันไปเปล่าๆ สุดท้ายความสามารถก็สำคัญ แต่การเลือกคนที่จะมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน คุยกันรู้เรื่อง หรือคลิกกันก็สำคัญเหมือนกัน 

แล้วในพาร์ตของดนตรี มีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง

แอร์: จริงๆ เรามีจุดเปลี่ยนอีกอย่างหนึ่งคือตอนที่เราทำเพลงผ่านไปครึ่งอัลบั้มแล้ว เราชวนแม็ก (อาสนัย อาตม์สกุล) ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกมือกลองคนแรกของวง มาช่วยพวกเราทำเพลง และเติมสิ่งที่เราขาดหายไป ตั้งแต่เพลง อย่าเพิ่งใจร้าย ที่เราฟีเจอริ่งกับ UrboyTJ เพลง กองไว้ และเพลงในอัลบั้มที่เหลืออีกหลายเพลง เขาเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของวงเราเลย พวกเราอยากได้สีใหม่ อยากให้เขามาช่วยดึงด้านแข็งๆ ให้ออกมาเป็นเพลงที่ฟังง่ายขึ้นถ้าฟังเพลงในอัลบั้มครึ่งแรกกับครึ่งหลังจะรู้เลยว่าแตกต่างกัน ในอัลบั้มเดียวพวกเราเปลี่ยนแปลงกันตลอดเวลา 

จ๊ะ: เหมือนวงกำลังหาบางอย่างอยู่ หาสิ่งที่เป็นทางของเราจริงๆ ตรงไหนที่น่าจะเหมาะสมกับพวกเรา ตอนนี้ถ้าให้มอง The Mousses มาจาก 3 สีที่ไม่เหมือนกัน แต่มาผสมกัน แต่ละคนมีความชอบที่ไม่เหมือนกัน อาจจะเป็นป๊อปร็อกหรือป๊อปอินดี้ เราทั้ง 3 คนไม่เหมือนกัน แต่จะมีแม็กที่เข้ามาช่วยดู และคอยตบให้พวกเราอยู่ตรงกลางมากที่สุด  

บางคนก็กลัว ‘การเปลี่ยนแปลง’ 

จ๊ะ: อย่ากลัวที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครับ คนที่อยู่ใน Safe Zone อย่างเดียวเราจะไม่พัฒนาไปไหน เหมือนปลาหางนกยูงในบ่อ มันก็วนอยู่แค่นั้น รอจนกว่าจะมียุงมาไข่เป็นอาหาร แล้วตายไป แต่การที่ไม่กลัวการเปลี่ยนแปลง ผมว่ามันเป็นเหมือนนกที่บินไปทั่วโลก ได้เห็นอะไรมากมายและโลกกว้าง เช่นเดียวกับ The Mousses อย่ากลัวที่จะลองทำสิ่งใหม่ๆ อย่ากลัวที่จะดูว่าโลกไปถึงไหนกันแล้ว ไม่ใช่ว่าอยู่กับที่เดิม แต่ก็ไม่ใช่ตามโลกไปเสียหมดซะทุกอย่าง 

ตอนไหนที่จัดว่าเป็นช่วง Safe Zone ของวง 

ต๋า: น่าจะเป็นช่วงหลังจากปล่อยเพลง เจ็บที่ต้องรู้ แน่เลย พอเพลงประสบความสำเร็จ เราเลยตกไปอยู่ในโจทย์ที่ว่ามันสำเร็จแล้ว แล้วพยายามเลียนแบบโจทย์นี้ให้ได้ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง มันเลยกลายเป็นกรอบที่เราต้องกลับมาทำให้ได้แบบนี้นะมันถึงจะดัง คนถึงจะฟัง 

จ๊ะ: ผมว่ามันอยู่ที่จังหวะและช่วงเวลา ไม่ใช่ว่าทำเหมือนเดิมแล้วจะเพลงจะดัง 

พวกคุณก้าวข้ามผ่านช่วงนั้นไปได้อย่างไร

จ๊ะ: เราเปิดรับสิ่งใหม่ๆ กลับมาคุยกันมากขึ้นว่าจะวางทิศทางของวงไปทางไหน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะได้เห็นในอัลบั้มถัดไปของพวกเรา ที่จะได้เห็นเราเป็นหลักเป็นแหล่งมากขึ้น เรามองเลยว่าคนฟังจะได้อะไรจากเรา ที่ผ่านมาเราอาจจะใส่ใจตรงนี้น้อยไปหน่อย อย่างที่บอกอะไรที่ดีเราเก็บไว้ อะไรที่ไม่ดีเราก็นำกลับไปปรับปรุงและพัฒนาต่อ เราต้องใช้เหตุผลแล้วนะ ไม่ใช่เหมือนตอนเด็กที่อยากจะเอาแบบนี้ก็ต้องได้ 

ในอัลบั้มใหม่กลิ่นอายของเพลงยังเป็นเรื่องราวความรักในมุมอกหักเหมือนเดิมไหม

จ๊ะ: ตอนนี้พวกเราเหลืออีก 3 เพลง อย่างเพลง ฉันไม่ดีหรือเธอ.. เป็นเพลงที่ต้องการสื่อว่าที่ผ่านมาเราทำทุกอย่างดีหมด คุณสมบัติของแฟนที่ดี ฉันมีพร้อมแล้ว ใส่ใจดูแลไม่เคยทำให้เหนื่อย แต่ทำไมเขายังไม่พร้อมอยู่กับเรา สรุปว่าฉันไม่ดีหรือเธอไม่พร้อมกันแน่ อีกเพลงคือ ผิดที่ฉันเอง ที่เหมือนรักเธอมากไป ไม่ใช่คนที่เธอรัก ซึ่งเป็นเพลงที่ผมเขียนไว้นานแล้ว ตั้งแต่ก่อนเพลง เจ็บที่ต้องรู้ แต่ไม่ได้ถูกนำไปใช้อัลบั้ม ส่วนเพลงสุดท้ายเป็นเพลงชื่อเดียวกันกับวงคือเพลง The Mousses ซึ่งผมคิดว่านี่น่าจะเป็นเพลงที่เล่าเรื่องราวของวงได้ดีที่สุดแล้ว 

อะไรคือเหตุผลสำคัญที่พวกคุณจะไม่เลิกทำวง 

จ๊ะ: คนที่รอฟังเพลงของพวกเราครับ คนที่ซื้อบัตร คนที่ใช้เวลาในชีวิตของตัวเองมารอดู The Mousses เล่นคอนเสิร์ต คอยติดตามพวกเรามาตั้งแต่อัลบั้มถึงอัลบั้มที่ 2 ผ่านมา ทั้งที่ผ่านมา 7-8 ปีแล้ว ต้องยอมรับว่าวงพวกเราปล่อยเพลงช้าในบางปี งานน้อยในบางปี แต่คนเหล่านี้แหละครับคือคนที่ผลักดันพวกเรา ตอนที่อยู่บนเวทีแล้วมองลงมา เรามีความสุขที่สุดแล้ว อัลบั้ม Change มันเป็นการเปลี่ยนแปลง และเดินทางมากว่า 5 ปีของพวกเรา ซึ่งช่วงเวลา 5 ปีในชีวิตของมนุษย์มันเปลี่ยนแปลงเยอะนะครับ อัลบั้มนี้จึงเป็นอัลบั้มแห่งความทรงจำของพวกเรา

“ เราเหมือนเครื่องบินที่มีบางชิ้นส่วนขาดหายไป แต่ก็ต้องซ่อมเพื่อโบยบินต่อไปให้ได้ ”
— วง The Mousses