Every Ending is a New Beginning – เจมส์ ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ

เมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา กระแส Androgynous  –ความสวยงามที่ไม่ระบุเพศ ถูกกระพือขึ้นมาอย่างไม่มีสาเหตุ โดยเฉพาะเมื่อ Ezra Miller ขึ้นปกนิตยสาร GQ ในเสื้อซีทรูคอเต่าทับด้วยแจ็กเก็ตลายเสือ ไหนจะเสื้อคร็อปท็อปเอวลอยจับคู่กับกางเกงผ้ากำมะหยี่เอวสูง ตามมาด้วยปกนิตยสาร Playboy ในชุดจัมป์สูทสีชมพูพาสเทล หูกระต่าย พร้อมลิปสติกที่ริมฝีปากสีแดงฉาน นอกจากนี้ยังมี David Beckham นักฟุตบอลชาวอังกฤษเจ้าของฟรีคิกในตำนานที่แม่นยิ่งกับจับวาง ในลุคฟาดตาด้วยอายแชโดว์สีเขียว พร้อมไลเนอร์เส้นบางๆ ขึ้นปกนิตยสาร LOVE ยังไม่รวมถึงแฟชั่นการแต่งตัว ไลฟ์สไตล์ต่างๆ ของผู้คนทั่วโลกที่ทำให้เห็นว่ากระแสของการพยายามเบลอเส้นของการระบุเพศนั้นกำลังมาแรงมาก  

ช่างประจวบเหมาะกับที่ HAMBURGER มีโอกาสได้พูดคุยกับ ‘เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ’ ในปีที่แล้ว กับการเปิดเผยความชื่นชอบในการแต่งหน้า การใช้เครื่อง-สำอาง และการดูแลความหล่อความสวยของเขา ที่ทำให้เกิดประเด็นการถกเถียงอย่างมากมายบนสังคมออนไลน์ว่าจริงๆ แล้วผู้ชายนั้นสามารถหยิบจับใช้สอยเครื่องสำอาง ไปจนถึงแต่งหน้าได้หรือไม่


 

เมื่อมีโอกาสกลับมานั่งคุยกับเจมส์อีกครั้งใน HAMBURGER ฉบับนี้ ซึ่งเราหมายมั่นปั้นมือจะพาเจมส์ ธีรดนย์ ไปให้สุดในนิยามของคำว่า Androgynous กับการถ่ายแฟชั่นครั้งแรกที่สร้างสไตล์ให้เจมส์ในลุคที่ไม่สามารถระบุเพศได้ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งหน้า แจ็กเก็ตผ้าทวีด เสื้อลูกไม้ กางเกงปักเลื่อม ไปจนถึงชุดสูทสีชมพูแสบตาประดับดอกไม้ที่คอ บอกเลยว่า
 

เจมส์เอาอยู่ทุกลุค นั่นคือในด้านของภาพถ่าย และในด้านการพูดคุยเราก็ไม่พลาดที่จะลงให้ลึกถึงมุมมองต่อคำว่า Androgynous ของเขา เพราะอะไรที่ทำให้เขาดูไม่เคอะเขินที่จะหยิบจับเครื่องสำอางหรือสกินแคร์ขึ้นมาเล่นสนุก สร้างลุคให้กับตัวเอง จนกลายเป็นคาแร็กเตอร์ที่หลายๆ คนชื่นชอบ และอีกส่วนหนึ่งก็เคลือบแคลงใจในเพศสภาพของเขา พร้อมการเล่าถึงบทบาทล่าสุดในซีรีส์ ‘Great Men Academy’ ซึ่งต้องเล่นเป็น ‘ผู้หญิง’ (ในร่างชาย) ที่เขาเคยบอกว่าเขาอยากเล่นบทแบบนี้มานานมากแล้ว และแน่นอนว่า…ทั้ง HAMBURGER ฉบับนี้ และซีรีส์ Great Men Academy มันจะกลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เขาต้องตอบคำถามเกี่ยวกับเพศสภาพ บุคลิก คาแร็กเตอร์ซ้ำๆ เดิมอีกครั้ง แต่เจมส์ก็พร้อมที่จะนั่งคุยกับเราในขณะที่ในมือถือแปรงแต่งหน้า ไม่ว่าเทรนด์ในปีหน้าและปีต่อๆ ไปจะเปลี่ยนไปอย่างไร มันคงไม่สำคัญแล้วสำหรับ ‘เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ’


เราเจอกันครั้งนี้เป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วนะ 

3 ไม่สิ 4 แล้ว ที่ได้สัมภาษณ์กับ HAMBURGER 

 

จะมีอีกไหม 

มีสิๆ ต้องมีอีก รอบที่ 5 6 7 แน่นอน

 

จากสัมภาษณ์ครั้งที่แล้วที่เจมส์พูดเรื่องแต่งหน้าและแสดงเป็นผู้หญิง ได้กลับไปดูไหม

ดูๆ ผมกลับไปย้อนดูว่าผมพูดอะไรไปบ้าง สารภาพเลย วันนั้นผมง่วงนอนมาก ถ้าจำไม่ผิดเรานั่งสัมภาษณ์กันตอน 8 โมงเช้า แล้วผมง่วงเพราะช่วงนั้นก็ซ้อม 9×9 ด้วย หนังเรื่อง Homestay ด้วย แต่กลายเป็นว่าพอเวลาผมง่วงก็จะพูดอะไรที่อยู่ในใจออกไป กลายเป็นเรียลไปซะอย่างนั้น  

 

แล้วได้อ่านคอมเมนต์บ้างหรือเปล่า  

อ่านครับ ก็ย้อนอ่านเกือบหมด ทั้งในเฟซบุ๊ก ยูทูบ ผมชอบให้คนมาแสดงความคิดเห็นแล้วมานั่งถกเถียงกัน มันเหมือนการแลกเปลี่ยนข้อมูล แลกเปลี่ยนทัศนคติที่จะทำให้แต่ละฝั่งเห็นมุมมองของกันและกัน มันคือการเปิดโลกอย่างนึงนะ 

แต่มันก็จะมีคอมเมนต์ด้านลบอยู่ ก็อ่านเหมือนกัน แต่ก็พยายามไม่อารมณ์เสียกับมัน ส่วนใหญ่ก็เรื่องเดิมๆ ผมก็โดนเรื่องเป็นเกย์มาตลอด คนก็สงสัยผมมาตลอด 5 ปีกว่าแล้วว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่า แต่ผมก็ชินแล้ว

 

กลัวคนติดภาพพวกนี้ไหม 

ไม่ครับ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย เราเป็นของเราแบบนี้ ไม่สิ เรามีนิสัยมีคาแร็กเตอร์แบบนี้ หลังกล้องไปผมก็ยังเป็นแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเจอกล้องแล้วเราต้องคีพคูล ทำตัวเท่ ดูสุขุม อย่างนั้นมันฝืนไป มันดูปลอม ไม่ใช่ตัวผม ไม่ได้หมายความว่าคนที่คีพคูลเขาปลอมนะ แต่ถ้าให้ผมทำตัวคูลๆ ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเอง มันไม่ใช่ตัวตนของผมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว 

 

จุดเริ่มต้นของการใช้สกินแคร์และแต่งหน้า ของเจมส์ ธีรดนย์ คือตั้งแต่เมื่อไหร่

ประมาณมัธยมศึกษาปีที่ 5 ครับ ตอนนั้นก็เข้าวงการแล้วล่ะ แล้วต้องไปงานงานหนึ่ง ช่างแต่งหน้าก็หยิบตลับกลมๆ มีสัญลักษณ์ C ไขว้ เปิดออกมาแล้วกลิ่นหอมมาก เราก็เอ๊ะ มันคืออะไรนะ ก็เริ่มถาม เริ่มดูก็ตกเป็นเหยื่อไปเป็นที่เรียบร้อย 

ก่อนหน้านี้ผมก็ใช้พวกสกินแคร์บำรุงอยู่แล้ว มันก็เลยไม่รู้สึกแปลกอะไร เหมือนเสริมเข้ามาให้เราดูดียิ่งขึ้นไปอีก แล้วผมทำงานในวงการด้วย ร่างกาย ใบหน้า มันถูกใช้งานหนัก ไฟ แสง บางทีถ่ายกันข้ามวัน ต่อให้พื้นเดิมเป็นคนผิวดีไม่มีปัญหาผิวขนาดไหน มันก็พังได้ง่ายๆ อยู่แล้ว การใช้สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนการกินวิตามิน เราก็ต้องหาตัวช่วยกันบ้าง 

และอีกอย่างคือผมอยู่ในวงการ มันก็เลยทำให้ผมรู้สึกเฟรนด์ลี่กับเรื่องพวกนี้เพราะการมาถ่ายนิตยสาร ถ่ายหนัง หรือแม้แต่ขึ้นเวที มันก็ต้องแต่งหน้ากันอยู่แล้ว 9X9 ทุกคนก็แต่งหน้ากันหมด มันคงทำให้ผมมีมายด์เซ็ตกับเรื่องพวกนี้แบบไม่มีอคติด้วยล่ะมั้ง 

 

รู้สึกอย่างไรเมื่อถูกแบรนดิ้งไปในมุมนั้น 

สนุกดีครับ สนุกมาก ก่อนหน้านี้มันก็มีวิดีโอที่ผมพูดเรื่องเครื่องสำอางอยู่บ้าง แต่พอเป็นวิดีโอที่มานั่งคุยกันแบบจริงจัง พูดถึงทัศนคติของผมกับเรื่องพวกนี้ มันยิ่งตอกย้ำ งานเข้ามาเต็มเลย ตกใจ แต่ก็ดีใจนะ 

 

ส่วนตัวเจมส์คิดว่ารูปลักษณ์ภายนอกสำคัญไหม

สำคัญ (ตอบทันที) ไม่ปฏิเสธนะว่าทุกวันนี้คนเราก็มองกันที่ภายนอก ผมทำงานอยู่ในวงการบันเทิง ผมใช้หน้าตา ใช้รูปลักษณ์ในการทำงานเหมือนกัน และมันก็ไม่ใช่แค่หน้าตา มันรวมไปถึงร่างกายด้วย เราถูกกล้องโคลสอัพตลอดเวลา เช่น ผมต้องเล่นบทเด็ก ม.ปลาย จะให้ผมปล่อยให้หน้าช้ำๆ มันก็ไม่ใช่ ทุกวันนี้ถ้าต้องกลับไปเล่นบทเด็ก ม.ปลาย หน้าผมจะไม่รอดแล้วนะ

แต่สุดท้ายแล้ว ของแบบนี้มันก็ต้องออกมาจากข้างในอยู่ดี ถ้าข้างในคุณดี มันก็ส่งออกสิ่งดีๆ ให้กับตัวเองและคนรอบข้าง…ทำไมตอบดูดาราจัง 

 

เคยคิดจะทำศัลยกรรมบ้างไหม 

ไม่ครับ…(เงียบไปซักพัก) เคย อยากทำจมูก แต่ก็ไม่ได้ทำ ผมรู้สึกว่าคนดูคงจะชินกับหน้าผมอย่างนี้มากกว่า ไม่ทำดีกว่าเดี๋ยวจำหน้าตัวเองไม่ได้ 

แต่อีก 5-10 ปีนี่ผมก็อยากทำพวกดึงหน้ายกกระชับหน้านะ ล่าสุดผมเห็นตัวเองในมอนิเตอร์จากซีรีส์เรื่องล่าสุดแล้วแบบ เฮ้ย! หน้าเรามาไกลแล้วเหมือนกันว่ะ มันเริ่มๆ แล้วนะ (หัวเราะ) ยิ่งช่วงนี้ใครทักว่าหน้าโทรมคือ สะเทือนเลย ใช่ครับ เหนื่อยจริง 

 

จะมีซีรีส์เรื่องใหม่ใช่มั้ย เป็นยังไงบ้าง 

ใช่ครับ เรื่อง Great Men Academy ผมขอเล่าเฉพาะบทของผมแล้วกัน มันเป็นเรื่องของเด็กผู้หญิงคนนึงได้รับพรให้กลายเป็นผู้ชายได้ แล้วก็ปลอมตัวมาเป็นผู้ชายอยู่ในโรงเรียนชื่อว่า Great Men Academy นั่นแหละ  ก็เลยต้องทำตัวกลมกลืนกับคนอื่น เรื่องราวต่างๆ ก็ตามมา 

มันจะมีความซับซ้อนของมันอยู่ คือในฐานะตัวละคร เป็นผู้หญิงที่อยู่ในร่างผู้ชายที่ต้องทำตัวให้แมน แต่ในฐานะคนแสดงคือผู้หญิงที่อยู่ในร่างผู้ชาย แล้วต้องทำตัวให้เป็นผู้ชาย แต่อินเนอร์ต้องถูกส่งออกมาจากความเป็นผู้หญิง ผมเชื่อว่าทุกคนงง (หัวเราะ) 

 

ย้อนความไปเมื่อครั้งที่แล้วอีกที ที่บอกว่า อยากแสดงบทผู้หญิง ครั้งนี้ก็ได้ทำอย่างที่ตั้งใจไว้แล้วสิ

ใช่ๆ คือเรื่องนี้ผมได้เกริ่นๆ ไปกับหลายทาง HAMBURGER เอง ทางทีมงานเอง จนวันนึงที่ผมมีโอกาสได้เข้าไปคุยกับทางทีมเขียนบท และพี่วรรณ ผู้กำกับ มันก็มีบทนี้อยู่ ผมก็นึกในใจ “มาซักทีสินะ” ในฐานะนักแสดงมันก็เป็นความท้าทายว่าเราจะสามารถแสดงบทบาทของผู้หญิงได้ไหม

คือบทนี้มันไม่ใช่การแสดงเป็นผู้หญิงที่จะออกมาเป็นตุ๊ด คือผมไม่ได้ว่าตุ๊ดนะ เพราะส่วนใหญ่คนจะเข้าใจว่าถ้าต้องเล่นเป็นผู้หญิงจะต้องตุ้งติ้ง นิ้วกระดก เล่นผ้า มีจริตเยอะๆ แต่บทนี้มันคือการใส่อินเนอร์ของผู้หญิงลงไปเลย เหมือนกับว่าถ้ามีผู้หญิงคนนึงต้องเจอสถานการณ์แบบนี้ ด้วยมายด์เซ็ตของผู้หญิงคนนั้นเขาจะทำอะไรต่อ  

 

ยากไหมกับบทนี้

สำหรับผม ผมว่าไม่นะ เพราะผมคุ้นชินกับผู้หญิงอยู่แล้ว อะไรหลายๆ อย่างมันก็เลยค่อนข้างไหลลื่น ตอนเด็กๆ ผมเรียนที่โรงเรียนราชินี ตรงปากคลองฯ ห้องนึง 40 คน มีผู้ชายอยู่ 2 คน และผมก็มีพี่สาว 2 คน ชีวิตผมถูกรายล้อมไปด้วยผู้หญิงตลอดเวลา ช่วงเด็กๆ ก็อยากจะมีเพื่อนผู้ชายบ้างจัง พอต้องย้ายโรงเรียนตอน ม.ต้น ทีนี้ล่ะสมใจอยากเลย เพื่อนผู้ชายเพียบ หัวเกรียนเหม็นเขียว ขมคอไปหมด แต่ตัวเองก็หัวเกรียนนะ (หัวเราะ)

 

ทำการบ้านยังไงกับคาแร็กเตอร์นี้

คงคิดว่าผมดูหนังอย่าง ‘The Danish Girl’ อะไรพวกนี้แน่ๆ แต่จริงๆ แล้วประเภทของเขาไม่ได้ตรงกับบทบาทของผมนะ คือตัวเอก ลิลี่ิ เอลเบ เขาเป็นผู้ชายที่อยากจะเป็นผู้หญิง เพราะฉะนั้นมันเลยมีความพยายามที่อยากจะเป็นผู้หญิง แต่เขาไม่ได้ส่งอินเนอร์ของความเป็นผู้หญิงออกมา มันเลยไม่ตรงกัน แต่เรื่องที่ดูแล้วรู้สึกว่าน่าจะนำมาปรับใช้ได้ก็คือ ‘Not All Right, But It’s Alright’ เป็นซีรีส์สั้นๆ ตอนละ 10 นาที นางเอกก็ตัดหน้าม้าไว้ผมบ๊อบ ท่าทางโก๊ะๆ ลักษณะแอ็กติ้งเป็นโรแมนติกคอเมดี้ อยากได้คาแร็กเตอร์ที่มีความคอเมดี้อยู่ มันอาจจะต้องมีเรื่องจังหวะการแสดง ในขณะเดียวกันเราก็ต้องก๊อบปี้น้องคนนี้ ก๊อบปี้ท่าทาง ก๊อบปี้ลักษณะ แล้วก็หาจุดที่เราเริ่มมามิกซ์ให้มันกลายเป็นคาแร็กเตอร์ตัวนี้นะ เลิฟเลย

 

มันต้องคิดเยอะขนาดนั้นเลยเหรอ แค่ติดหนวด พูดลงท้ายด้วย ‘ฮะ’ มันไม่พอเหรอ 

คำถามชวนพาดพิงเลยนะ (หัวเราะ) ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจเรื่องสื่อก่อน คอนเทนต์จะสื่อสารกับคนดูให้ได้ผลมันต้องดูเป้าหมายเป็นหลัก คอนเทนต์ที่ผมทำอยู่คือซีรีส์ที่สามารถดูบนมือถือได้ ดูออนไลน์ได้ คนที่จะเข้ามาดูเขาต้องเลือกแล้วที่จะเสียเวลากับคอนเทนต์ของเรา เพราะฉะนั้นเขาจะตั้งใจดู ตั้งใจอินไปกับเนื้อเรื่อง บทบาทของตัวละคร เพราะฉะนั้นในทางของผมก็ต้องมีความละเอียด ต้องคิดเยอะนิดนึงเพื่อตอบแทนคนดูที่เสียเวลามาดู 

แต่บางคอนเทนต์เขาตั้งใจผลิตมาเพื่อให้เป็นเพื่อนไม่เหงาหู เปิดทิ้งเอาไว้ ดูบ้างไม่ได้ดูบ้าง เขาอาจจะต้องเล่นให้ชัดขึ้น คนจะได้เข้าใจอะไรง่ายขึ้นโดยที่ไม่ต้องตั้งใจดูขนาดนั้น กลับกันถ้าเอาซีรีส์ Great Men Academy กับบทที่ผมเล่นไปใส่ในละคร เชื่อว่าคนดูส่วนใหญ่ไม่เข้าใจนะ อ้าว ผู้หญิง ทำไมมาเป็นผู้ชาย แล้วทำไมเขิน มันจะผิดที่ผิดทางมาก ผมว่ามันเป็นเรื่องของการทำคอนเทนต์ให้ถูกกลุ่มเป้าหมายมากกว่าครับ 

 

ความท้าทายทางการแสดงครั้งต่อไปของเจมส์ ธีรดนย์ จะไปถึงซีรีส์วายไหม

เวลาผมเลือกบทหรือมองหาบทที่น่าสนใจ ผมจะมองเส้นเรื่องเป็นหลักก่อน คือผมไม่ได้เรื่องมากนะ แต่การทำงานในวงการ เราทำงานไปชิ้นนึง ผลงานถูกเผยแพร่ แน่นอนว่ามันอยู่ไปตลอด แล้วยิ่งสมัยนี้อยู่บนออนไลน์ กลับมาดูกี่รอบก็ได้ ถ้างานชิ้นนั้นมันมีแผล หรืองานไม่ดีพอ ผมก็ต้องรับผิดชอบผลงานชิ้นนั้นไปตลอด ผมเลยมองหาบทที่ดี และอีกมุมคือผมก็ต้องพัฒนาตัวเองให้เหมาะสมกับบทนั้นเหมือนกัน ถ้าถามว่าอยากเล่นบทวายไหม ถ้าบทดี ผมพร้อมลงไปเล่นอยู่แล้ว 

ผมยังสับสนอยู่นะว่าคำว่า ‘วาย’ มันมีขอบเขตครอบคลุมไปถึงขนาดไหน ภาพที่ออกมามันจะเป็นผู้ชายกับผู้ชาย หรือ เกย์กับเกย์อันนี้ผมยังไม่ค่อยเข้าใจ

อย่าง Great Men Academy ด้วยความที่ตัวละครมันมีผู้ชาย 7 คน แล้ว 7 คนนี้ก็มาจาก 9×9 ด้วยความสนิทสนมกัน การเล่นกันมันก็อาจจะมีฉากวายให้ชวนจิ้นได้บ้าง (หัวเราะ) รอดูสิพอซีรีส์ฉายไปต้องมีคนมาบอกว่าผมเป็นอีกแน่ๆ เลย

 

เบื่อไหมกับข่าวพวกนี้ 

ไม่เบื่อนะ เดี๋ยวก็ต้องมีนักข่าวมาสัมภาษณ์ อย่างคลิปผมหอมแก้มเจเจ ผ่านไป 2-3ปีแล้วยังเอามาแชร์กันในอินสตาแกรมอยู่เลย 

 

เรื่องหอมแก้มกับเจเจนี่อยู่ในลิสต์คำถามพอดีเลย

เรื่องนั้นก็ 2-3 ปีแล้ว แต่รู้หรือเปล่าว่าสมาชิก 9×9 เราสามารถหอมแก้มและจูบกันเป็นเรื่องปกตินะ 

อย่างตอนผมเรียน ม.ปลาย ผมเรียนชายล้วน มันก็จะมีการเล่นจับจู๋กัน ซึ่งมันเป็นเรื่องทั่วไปมากๆ ในโรงเรียนชายล้วน ลองไปถามทุกคนที่เรียนชายล้วนได้เลย มันเหมือนเป็นการทักทายกันอย่างหนึ่ง แบบทำให้ตกใจเล่นๆ ซึ่งการจุ๊บกันของผมกับเจเจ หรือกับสมาชิกใน 9×9 ที่เล่นกัน มันก็คือเด็กผู้ชายเล่นกันนี่แหละ

 

วง 9X9 มีผลงานอะไรให้ติดตามบ้าง

9X9 เราปล่อยเพลงมาเยอะแล้วนะครับ ฝากติดตามด้วยกับมินิอัลบั้ม En Route แล้วเดือนมีนาคม เราก็จะมีโปรเจ็กต์จบแล้ว ในวันที่ 9 มีนาคม จะเป็นโชว์ The Final Concert ของพวกเรา แล้วเราทั้ง 9 คน ก็จะแยกย้ายไปมีเส้นทางเป็นของตัวเอง 

เราอยู่ด้วยกัน 9 คน แต่ละคนมันมีเป้าหมายและเส้นทางเป็นของตัวเอง การทำงานด้วยกัน 9 คน มันอาจจะไม่ได้เหมาะสำหรับทุกคนขนาดนั้น เขาอาจจะไม่ได้ทำสิ่งที่เขารักแบบ 100% แต่เขาก็รักแหละ 

มันผ่านไปไวมากครับ 2 ปีที่อยู่ด้วยกัน ฝึกด้วยกัน ผ่านอะไรด้วยกันมาเยอะ เหนื่อย ท้อ ร้องไห้มีปัญหาอะไรหลายๆ อย่าง ความคิดที่ไม่ตรงกัน มีความรู้สึกอยากออกจาก 9X9 อยากออกจากวงการไปเลยจะได้จบๆ แต่พอเจออีก 8 คนที่ยังสู้อยู่ มันก็เป็นสิ่งที่ทำให้พาเรามาถึงจุดนี้ได้ เราผูกพันกันมาก มันไม่ใช่แค่เพื่อนร่วมงาน มันยิ่งกว่าเพื่อน มันเป็นพี่น้องไปแล้ว เราเจอกันบ่อยยิ่งกว่าครอบครัวอีก

 

คุ้มค่าไหมกับการทุ่มเทให้กับวง 9X9 

สำหรับผมคุ้มมาก มันเหนื่อยแบบฉิบหายวายวอดเลยนะ ทั้งสุขภาพจิต สุขภาพกาย พังสุดๆ ปีที่ผ่านมาเลยทำให้ผมโตขึ้นเยอะมาก การทำงานร่วมกันกับอีก 8 คน มันต้องมีเรื่องไม่ถูกใจกันบ้างอยู่แล้ว แต่สุดท้ายวันนึงคุณก็ต้องกลับมาเข้าใจกัน มันสอนให้ผมโตขึ้น จัดการตัวเอง จัดการปัญหาในแบบผู้ใหญ่ และมันก่อร่างสร้างขึ้นมาให้เจมี่เจมส์เป็นเจมี่เจมส์ในแบบทุกวันนี้ครับ

 

จะมีโอกาสกลับมารวมตัวกันอีกครั้งหรือเปล่า

ผมคงตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยาก ผมเชื่อว่าพวกเรา 9 คนรัก 9×9 แต่แค่เป้าหมายที่แต่ละคนอยากไปต่อมันไม่เหมือนกัน ด้วยความสามารถที่แต่ละคนมี ถ้าแยกกันไป มันอาจจะได้ใช้ความสามารถนั้นมากกว่านี้ การอยู่ด้วยกัน ใช่ มันแข็งแรงแหละ แต่ความแข็งแรงนี้ก็เหมือนว่าเราก็กำลังถ่วงกันอยู่นั่นด้วย

มันคงเป็น Ending of a New Beginning จุดจบที่เป็นจุดเริ่มต้นของพวกเราทั้ง 9 คนอีกครั้งหนึ่งครับ