Before Sunrise – วุธ อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร

06.02.19 826 views

ถ้าจะนับละครที่เปิดทีเซอร์ด้วยประเด็นแรงๆ ซึ่งช็อกอารมณ์ผู้ชมได้เต็มๆ ก็คงหนีไม่พ้น ‘ก่อนอรุณจะรุ่ง’ ทางช่อง GMM 25 เพราะแค่การเผยเรื่องราวบางส่วนว่า ‘พ่อข่มขืนลูกสาวตัวเอง’ ก็ทำให้พวกศีลธรรมสูงขึ้นสมอง ต่างกรีดร้องเสียงสูงไปตามๆ กัน (และน่าจะจ้องสับละครเรื่องนี้ให้เละคามืออยู่แน่ๆ) แต่เราไม่อยากให้สังคมไทยตัดสินอะไรง่ายๆ แค่นี้ เรื่องนี้จะคุยกับใครก็คงไม่สนุกเท่ากับ ‘วุธ-อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร’ ผู้กำกับละครที่พร้อมจะเล่าที่มาที่ไปละคร และการร่วมงานครั้งแรกของบริษัท ดูมันดี กับช่อง GMM 25 ทำไมอัษฎาวุธถึงได้กล้าหยิบประเด็นนี้มาพูด ท่ามกลางข่าวเน่าๆ ในสังคมอย่างลูกวัย 30 ข่มขืนแม่วัย 60 หรือครูพละให้นักเรียน ม.2 อมนกเขา ฯลฯ นี่ต้องการจะสอนสังคม หรือตอกย้ำลงไปที่จุดเดิมกันแน่?


เป็นอย่างไรบ้างกับละครเรื่อง ‘ก่อนอรุณจะรุ่ง’

ก่อนจะรุ่งมันก็ต้องมืดก่อนเนอะ เป็นเรื่องธรรมดาของชีวิต ชีวิตมีทั้งสว่างแล้วก็มืดสลับกันไปตามเวลาของมัน ซึ่งถ้าเราพอจะเข้าใจลูปของมัน เราก็จะรู้ว่าอ๋อ โอเค ณ วันนี้ เราอาจจะทุกข์ใจ แต่อีกสักพักหนึ่งความสว่างอาจจะมาเร็วกว่าเดิม สุดท้ายแล้วมันก็จะเปลี่ยนไป


โปรเจ็กต์นี้มีความเป็นมาอย่างไรถึงได้มาร่วมงานกับทางช่อง GMM 25 

เรื่องมันย้าวยาว จริงๆ วันก่อนผมพูดบนเวทีตอนเปิดตัวละคร 15 เรื่อง ของช่อง GMM 25 ไว้ว่ามันเหมือนโชคชะตากำหนดนะครับ เพราะเราโตมาจากบทพี่แดง ศัลยา เจ้าของบทประพันธ์ เจ้าของบทโทรทัศน์ที่โด่งดังในละครกว่า 30 ปี ที่ผ่านมา แต่ว่าเรื่องนี้พี่แดงเขาประพันธ์เอง พล็อตเรื่องเองเป็นเรื่องแรก เนื่องจาก GMM 25 เขาอยากจะให้พี่แดงมาทำละครให้สักเรื่องหนึ่งในแบบของเขาเอง พี่แดงก็เลือกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ยังไม่ถูกใจสักที ก็เลยคิดว่าพล็อตเองดีกว่า เขาก็เลยหาคนที่น่าจะมากำกับละครของพี่แดงได้อย่างเข้าใจรู้ทางกัน ก็เลยมาลงตัวที่เรา ส่วนตัวเราเองก็รอจะทำงานกับพี่แดงอยู่คือเปิดบริษัทมา 10 ปี ทำละครมา 8 ปี ก็ทำละครเป็น 10 เรื่องนะ ยังไม่ได้มีโอกาสใช้บริการพี่แดงเขียนบท เพราะว่าต่อคิวนาน


คิวศัลยานี่ต้องรอเป็นปีเลยหรือ

ใช่ แต่งานเราบางทีรอไม่ได้ไง ก็ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวรอวันที่เราจะได้มาเจอกันด้วยโชคชะตานำพาก็คงจะมาถึง ซึ่งวันนั้นก็มาแบบรวดเร็วนะ คือคุยกันเมื่อปลายปีที่แล้ว จะออนมกราฯ นี้แล้ว รู้สึกว่ามันไม่ได้ทันตั้งตัว แล้วความฝันของเราก็เป็นจริง ตื่นเต้นที่จะได้ทำงานภายใต้บทโทรทัศน์ของพี่แดง มีความสุขดีครับ เหมือนได้กลับมาเจอคนที่สนิทกัน เพราะเราก็เล่นละครบทพี่แดงมาหลายเรื่องตอนเล่นช่อง 7


ก่อนที่จะเริ่มถ่ายทำได้คุยสตอรี่กับคุณแดง ศัลยา ก่อนหรือไม่ แรงไปมั้ยสำหรับประเด็นพ่อข่มขืนลูก

คุยอยู่เรื่อยๆ เพราะว่าจริงๆ มันมีเรื่องอื่นก่อนหน้านี้ แต่มันไม่ใช่ใน Timing นี้ พี่แดงก็คิดว่าอยากเขียนเรื่องนี้มากกว่า ส่วนที่ว่าแรงไปไหม มันแรงทางความรู้สึกนะสำหรับคนที่เจอเหตุการณ์แบบนี้ คงไม่มีใครอยากเจอเหตุการณ์แบบนี้ในชีวิต แต่เวลาเราอ่านข่าวก็แทบจะมีเกือบทุกวัน มีทั้งเปิดเผยและที่ยังไม่เปิดเผยอีกเท่าไร แล้วในอดีตคงมีเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อก่อนยังไม่มีโซเชียลฯ ที่มันรู้ไวขนาดนี้ คำถามต่อมาคือพอเราจะหยิบประเด็นนี้มาทำละคร เราก็อยากรู้เหมือนกันว่าเออ คนที่เราเคยเห็นตามข่าว พอจบเรื่องปุ๊บ เราไม่เคยรู้เลยว่าชีวิตเขาจะอยู่ต่อไปอย่างไร และไม่มีใครนำเสนอเรื่องราวเหล่านั้นให้เราได้รู้ด้วยว่าเด็กคนนั้นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร เติบโตมามีครอบครัวของตัวเองได้ไหม หรือว่าเขาล้มหายตายจากระหว่างทาง และไม่โตสักคน เราไม่เคยรู้เลย ซึ่งเราอยากรู้นะ แต่ว่าอาจจะด้วยเงื่อนไขของความเป็นส่วนตัว มีอีกหลายคนที่เราอยากจะไปสัมภาษณ์ อยากจะไปทำเบื้องหลัง แต่ติดที่มารยาททางสังคมว่า “จะมาขุดคุ้ยชีวิตฉันทำไม ฉันผ่านตรงนั้นมาได้แล้ว” มีบางคนที่ผ่านมาได้ ทำใจได้ ฉันก็อยากจะมีชีวิตที่ไม่มีใครรู้อดีตของฉัน หรือว่าบางคนที่ผ่านไปไม่ได้ก็อาจจะเป็นโรคซึมเศร้า เราก็ไม่รู้ ก็เลยอยากจะหยิบตรงนี้มาเล่า


แสดงว่าละครเรื่องนี้ก็กำลังสำรวจจิตใจของตัวละครผู้หญิงที่โดนกระทำเป็นหลัก

เป็นประเด็นเปิดเรื่องมากกว่า เรื่องการข่มขืนโดยบุพการีของตัวเอง เพื่อสร้างประเด็นให้คนเห็นว่ามันรุนแรงจริง ถ้าเป็นเรื่องอื่น เช่น ความล้มเหลวทางธุรกิจแล้วเป็นหนี้สี่พันล้าน บางคนเงินล้านฉันยังไม่เคยจับเลย บางทีคนอาจไม่ได้รู้สึกว่าการเป็นหนี้ขนาดนั้นเป็นอย่างไร แต่พอมาเล่าเรื่องพ่อข่มขืนลูก ทุกคนรู้สึกเหมือนกันว่ามันไม่ใช่ นี่คือคนให้กำเนิดนะ คนเรามีจารีตศีลธรรมมากกว่านั้น เปิดเรื่องแบบนี้เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพเดียวกันว่าเมื่อเราต้องเจออุบัติเหตุชีวิตที่มันหนักหนาสาหัส แต่ละคนมีวิธีการจัดการกับอุบัติเหตุที่ยิ่งใหญ่ในชีวิตของตัวเองอย่างไร แล้วตัวอรดีหรือแม่ของนางเอกในเรื่องนี้เขามีสติขนาดไหน เมื่อมีสติมันจะผ่านพ้นไอ้วิบากกรรมตรงนี้ไปได้อย่างไร ง่ายหรือยากกว่าการที่จะตระหนก พลุ่งพล่าน แล้วก็ตัดสินปัญหาตรงนั้นด้วยการขาดสติ


การผันตัวเองจากการเป็นนักแสดงมาสู่การเป็นผู้กำกับ มันเป็นวิถีของนักแสดงหรือไม่ ที่พอถึงเวลาอายุมากขึ้นก็ควรผันตัวเองไปทำอย่างอื่นเพื่อเปิดทางให้คนรุ่นใหม่

ก็ใช่ส่วนหนึ่ง แต่ว่านักแสดงทุกคนก็คงไม่ได้ชอบแบบเดียวกัน ตอนเล่นละคร ผมเป็นคนขี้สงสัย ตามสไตล์พวกเป็นครู ต้องมีเหตุและผลว่าตัวนี้มันทำอย่างนี้เพราะอะไร ถ้าผู้กำกับไม่เข้าใจ ตอบไม่ได้ ก็ต้องถามคนเขียนบท ถ้าคนเขียนบทตอบไม่ได้ ก็ถึงขั้นต้องไปถามคนที่คิดเรื่องนี้มา หรืออย่างคอสตูมทำไมต้องใส่เสื้อแบบนี้ล่ะ ในเมื่อคนเขียนบทเขียนมาว่าคาแร็กเตอร์เป็นคนเนี้ยบ แต่ตอนนี้เสื้อเรายับนะ เพราะฉะนั้นถ้าเราเป็นตัวละครเราจะไม่ใส่เสื้อยับออกจากบ้านเด็ดขาด กรุณารีดให้ด้วย แต่บางคนเขาอาจจะรู้สึกว่าเรื่องมากจัง มีให้ใส่ก็ใส่ไปสิ ซึ่งเราบอกว่าเราทำหน้าที่ของตัวละครที่ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองนะ เราพยายามรักษาคาแร็กเตอร์ที่เราได้ เพราะเรามีหน้าที่นั้น เราจึงต้องดำเนินไปตามที่คนเขียนบทเขียนมา เขาต้องการจะสื่ออันนี้เพื่อดำเนินมาถึงจุดแตกหักของมัน เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่คงคาแร็กเตอร์ตรงนั้นให้มันมั่นคงไปตามที่เขาเขียน มันจะดึงความรู้สึกคนดูไปสู่ฮุกสุดท้ายไม่ได้ไง เพราะฉะนั้นเราจึงรู้สึกว่ามันไม่ได้ เราต้องซื่อสัตย์กับคาแร็กเตอร์ของตัวละครนั้นๆ แต่ละคาแร็กเตอร์มันก็ไม่เหมือนกัน เรื่องที่แล้ว เอ๊ะ ทำไมพี่ให้หนูรีดเรียบกริบเลย แต่เรื่องนี้ทำไมพอหนูรีดมาแล้ว พี่ขยำมันให้ยับล่ะ เฮ้ย ไอ้นี่มันจนมาก ที่บ้านมันไม่มีเตารีด แล้วมันอยู่คนเดียวด้วย มันใส่แต่เสื้อยืดเพราะมันไม่ต้องรีด อะไรอย่างนี้ มันก็สนุกกับการคิดครีเอต ซึ่งในบทบางทีไม่ได้บอกดีเทลมา แต่เรารู้สึกว่าเราเรียนอาร์ต เราสนุกกับการที่จะคิด เวลาถ่ายซีนนี้ของคนอื่น ซึ่งยังไม่มีเราเข้าฉาก เราชอบไปนั่งหน้ามอนิเตอร์ ไปช่วยผู้กำกับดู มันเลยเหมือนฝึกงานผู้กำกับไปโดยอัตโนมัติ แล้วพอวันหนึ่งมาถึง ลิมิตของพระนาง พออายุเท่านี้ มันหมดอายุไป


ขยับขึ้นไปรับบทพ่อบทแม่แทน

ใช่ ซึ่งเรารู้สึกว่าเราอยากจะขยับมาเป็นอย่างอื่นมากกว่าที่เราชอบและเรารู้สึกสนุกกับมัน เพราะเวลาเราเล่นละครแล้วรู้สึกว่าทำไมไม่เล่าอีกแบบวะ ถ้าเป็นเรา เราจะเล่าเรื่องนี้อย่างไร สมมติถ้าคนอยากทำเรื่องข่มขืนเนี่ย ถ้าเป็นพี่แดงเขาอยากทำอย่างนี้ซึ่งมันตรงแล้ว แต่ถ้าเป็นคนอื่นก็อาจรู้สึกว่าฉันจะไม่เล่ามุมนี้ ฉันจะต้องเล่าอีกแบบ ช่วงนั้นเราก็มีความรู้สึกแบบนั้น แต่ว่ากว่าคุณแดง (สุรางค์ เปรมปรีดิ์) เขาจะอนุมัติให้เราทำก็หลายปีมาก เราไปคุยกับเขา “พี่แดงครับ ผมอยากลองทำละครครับ” เฮ้ย เธอยังเล่นได้อยู่ เอาละครไปเล่น เขาก็มีละครมาให้เล่นเป็นพระเอกอีก 2 เรื่อง พอสักพักปั๊บคุณแดงครับ “ผมมีละครเรื่องนี้มาเสนอ’” ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไปเล่นละคร ก็ได้ละครมาอีกเรื่อยๆ จนวันหนึ่งเขาบอกว่าเซ้าซี้จังเลย เอาเรื่องนี้ไปทำมาให้ดูซิ อยากได้อย่างนี้ แล้ววันรุ่งขึ้นเราก็ส่งพล็อตให้เลยเขาก็บอกว่าทำเลย แล้วไม่ถึงเดือนก็ได้ออนแอร์ จากนั้นก็ได้ทำมาเรื่อยๆ นับตั้งแต่วันนั้น สลับกับการเล่นบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเล่นละครของตัวเอง จนวันนี้เราก็ไม่ทันรู้ตัวว่าเออ เราทำมาหลายเรื่องนะ จุดเริ่มต้นมันมาแบบงงๆ เหมือนกัน 


ยังค้างใจเรื่องระบบโปรดักชั่นของช่อง 7 ที่แบบถ่ายไปออนแอร์ไป ทุกวันนี้ระบบการทำงานยังเป็นอย่างนั้นอยู่หรือไม่

ยุคนั้นมันต้องเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่เดี๋ยวนี้เกาหลีใต้ก็ใช้ระบบนี้นะ ถ่ายไปออนแอร์ไป ข้อดีคือเราไม่ต้องสต๊อกเรื่องไว้เยอะ เพราะไม่รู้ว่าคนจะชอบหรือไม่ชอบ ถ้าไม่ชอบก็สามารถหั่นออกแล้วจบได้เลย แต่ไม่ใช่ว่าถ่ายเก็บเอาไว้แล้ว 30 ตอน แล้วคนไม่ชอบ ก็ต้องมาซอยทิ้งเหลืออีก 24 ทิ้งไป 6 ตอน ซึ่ง 6 ตอน นี่ค่าโปรดักชั่นเท่าไหร่ ซึ่งเป็นเงินที่จ่ายไปแล้ว ระบบเก่าจะต้องดูสถานการณ์ว่าช่วงนี้เรื่องอะไรน่าจะมา คู่แข่งเป็นอะไร คู่แข่งเป็นอย่างนี้ เราต้องสร้างอย่างนี้ ช้าไม่ได้ เพราะฉะนั้น 3 อาทิตย์เปิดกล้องออนแอร์ได้เลยไหม ผู้จัดก็ต้องตอบว่าได้ครับ ได้ค่ะ นักแสดงก็เตรียมใจไว้เลยว่ามันมี 2 ชอยส์ คือเล่นแล้วก็ได้เท่าเดิม อีกชอยส์คือเล่นแล้วเรตติ้งดีก็เพิ่มตอน การเพิ่มตอนนี่มันคือเม็ดเงินนะ ผมเอง Maximum ที่สุดคือ 80 ตอน จาก 30 เพิ่มมาอีก 50 ตอน 


ตอนนั้นคือเรื่องอะไรที่เพิ่มมา 50 ตอน

เรื่อง ผู้พิทักษ์สี่แยก เป็นละครเย็นนะครับ ถ่ายๆๆๆ จนข้ามปี จนตอนนั้นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ สิ้นพระชนม์ เลยต้องงดงานรื่นเริง นี่ก็เลยต้องจบตรงนั้นไป เพราะมันเป็นละครคอเมดี้


แสดงว่าการถ่ายไปออนแอร์ไป ทุกคนต้องสแตนด์บาย ห้ามป่วย ห้ามตายโดยเด็ดขาด

ต้องเตรียมใจ แล้วตอนนั้นที่ยิ่งหนักกว่าคือเราถ่ายละคร 2 เรื่อง เรื่องหนึ่งถ่ายที่เมืองกาญน์ อีกเรื่องหนึ่งถ่ายที่กรุงเทพฯ ก็ต้องให้คิวกองถ่ายที่เมืองกาญจน์ เช้าไปถึงกอง 6 โมง พอค่ำปุ๊บสัก 6 โมงเย็นหรือ 1 ทุ่ม ต้องตีรถเข้ากรุงเทพฯ มาถ่ายต่อ เหมือนเรียนภาคค่ำ สตาร์ทที่นี่ประมาณ 1-2 ทุ่ม ถ่ายยันตี 5 ต้องปล่อยแล้วนะ เพราะเดี๋ยวต้องไปเมืองกาญจน์ต่อ ทำงาน 24 ชั่วโมง แต่ดีที่มีคนขับรถให้ไงครับ และครั้งแรกในชีวิตที่ถ่ายๆ ละครอยู่ ผู้กำกับบล็อกช็อต เราก็ยืนหลับ อ้าว 5 4 3 ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเล่น ไม่เคยเป็นอย่างนี้มาก่อน แต่ในวิกฤติตอนนั้น พอเราหันกลับไปมองมันกลายเป็นเรื่องตลก ตอนนี้เวลาที่ทีมงานนักแสดงที่เคยร่วมโปรดักชั่นกลับมาคุยกัน มันก็กลายเป็นความสุข ความทรงจำอย่างหนึ่ง


การกำเนิดของช่องดิจิทัลมีมากขึ้น มันเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ๆ ได้มีโอกาสมาทำงานอะไรตรงนี้มากน้อยแค่ไหน

มากเลยครับ เพราะเมื่อก่อนเรารู้สึกว่าเราก็มีไอเดีย แต่ทำไมเราไม่มีปัญญาที่จะไปซื้ออุปกรณ์มาใช้ แต่เดี๋ยวนี้มันมีอุปกรณ์ที่เป็นโฮมยูสเยอะ แต่ฟังก์ชันหรือว่าผลการทำงานของมัน ชิ้นงานออกมาคุณภาพพอๆ กับกล้องโปรฯ เลย ฉะนั้นเดี๋ยวนี้ถ้ามีไอเดียก็ลงมือทำได้เลย ไม่ต้องรอ และเดี๋ยวนี้ ทุกคนสามารถมีช่องของตัวเองได้หมด อยู่ที่ว่าคุณจะทำคอนเทนต์อะไรมากกว่า คนมีไอเดียมันสามารถทำได้ เอาไอเดียออกมาเป็นภาพได้ง่ายกว่าคนสมัยก่อน และผู้คนก็เปิดใจพร้อมที่จะดูไอเดียที่บางทีมันก็ห่วยแตกนะ แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นสำหรับหลายๆ คนให้รู้สึกว่าเออ ห่วยแตกอย่างน้อยก็ทำแล้วนะ มีก้าวแรก ก้าวที่สองมันต้องดีขึ้น ห่วยน้อยลง แล้วในที่สุดมันก็จะกลายเป็นผลงานชิ้นเอกมาสเตอร์พีซ อาจจะเป็นที่สุดของที่สุดในโลกก็ยังได้ ยังมีโอกาสขนาดนั้น อยู่ที่คุณลงมือทำ แล้วก็ซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองว่าคุณทำอะไร เป็นสิ่งที่เป็นตัวตนเราที่สุด ไม่ได้ไปก๊อบปี้ใครมา อาจจะเริ่มต้นด้วยการเลียนแบบ แต่วันหนึ่งมันต้องเป็นตัวเราเอง เหมือนศิลปินวาดรูป เริ่มจากการ Reproduct ก่อน ก๊อบปี้รูปศิลปินคนอื่นก่อน แต่พอวันหนึ่งมันเจอความเป็นตัวเอง แล้ววันนั้นคนเห็นงานเราปุ๊บเขาจะรู้ทันทีว่าเฮ้ย ชิ้นคนนี้วาด ละครนี้บริษัทนี้ทำ ซึ่งเราพยายามหาลายเซ็นตรงนั้นอยู่ 


ตั้งแต่กำกับละครมา มีงานประเภทไหนไหมที่อยากทำงาน แต่ยังไม่ได้ลองทำสักที

จริงๆ ชอบทุกแนวนะ ถ้าคุณจัดประเภทเป็นละครดราม่า ละครคอเมดี้ ละครบู๊ ละคร Thriller Suspense ชอบทำหมดเลย อย่างที่บอกไปว่าถ้าคนอื่นทำแบบนี้ เป็นเรา เราจะทำยังไงวะ สมมติเรื่ิอง ล่า ถ้าเราทำ ล่า ในแบบของเรา เราจะทำยังไงเรารู้สึกว่าสนุกกับการคิดนะ ถ้าได้โปรเจ็กต์นี้มา คนเคยรีเมกมาแล้ว แต่ถ้าเป็นของเรารีเมกล่ะ เราจะต้องไม่เหมือนคนอื่น นี่คือสิ่งที่คิดตลอด เราเลยรู้สึกว่าทุกงานเป็นงานที่เราแฮปปี้ที่จะทำมาก จะเป็นละครตลาดมาก แมสมาก ทำให้ชาวบ้านดู แต่เราอยากจะแทรกความเป็นเราเข้าไปในนั้น เพราะฉะนั้นมันไม่มีข้อจำกัด


ทุกวันนี้ยังทำงานศิลปะอยู่หรือเปล่า

งานละครก็คืองานศิลปะแบบหนึ่ง ที่เราทำทุกวันนี้มันอาจจะไม่ได้ลงมือวาดรูปบนเฟรมเป็นเรื่องเป็นราว แต่ว่าทุกวันนี้ทำทั้งงานศิลปะและทำทั้งความเป็นครูด้วย เรารู้สึกว่าถ้าชีวิตเราต้องเลือกไปยืนหน้ากระดาน แล้วสอนนักเรียนวันละ 50 คน เทอมละ 300 คน แล้วพอล็อตใหม่ปีหน้าก็มาใหม่อีก 300 คนให้เราสอน มันก็ได้แค่นั้น แต่ถ้าเราทำแบบฝึกหัด หรือเราสอนคนผ่านละคร คนดูละครเราทีหนึ่งเป็นล้านๆ เพราะฉะนั้นต่อ 1 ชั่วโมง เราสามารถสอนคนได้เป็นล้าน ปีหนึ่งเราสอนคนได้เท่าไร แต่ไม่ใช่ว่าเราเก่งนะ หมายถึงว่าการเป็นครูมันเป็นแค่ผู้แนะนำ แต่สุดท้ายคุณจะเอาสิ่งที่เราแนะนำไปปรับใช้ในชีวิตของคุณเองได้อย่างไร เรารู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่เราได้ทำ 2 อย่างคือความเป็นครูและคนทำงานศิลปะ เพราะว่าเราอยากทำละครให้มันดูสวยงาม ละครให้มันดูไม่เป็นพิษเป็นภัยกับสังคม ดูแต่มีความสนุก ไม่ใช่ตำราที่อ่านแล้วน่าเบื่อ เป็นตำราที่อ่านแล้วสนุก และคุณได้ประโยชน์จากการเสียเวลาอ่านมันด้วย


ทำไมตอนนั้นถึงเลือกเรียนครุฯ อาร์ตล่ะ 

คือใจอยากเป็นครู แต่เทรนด์ตอนนั้นเป็นสถาปัตย์ พวกซูโม่อะไรต่างๆ 3 อันดับแรกของเรา เป็นสถาปัตย์จุฬาฯ, สถาปัตย์ ศิลปากร, สถาปัตย์ ลาดกระบัง แล้วด้วยความเป็นครู เอ๊ะ มีคณะอะไรวะที่มันมีศิลปะอีก ก็คือครุฯ อาร์ต จุฬาฯ และอันดับสุดท้ายก็เลือกเป็นครุฯ ปฐมวัย คืออยากเป็นครูมาก เพราะว่าถ้าไม่ได้เป็นสถาปนิก อย่างน้อยก็ยังได้เรียนศิลปะและเป็นครู หรือถ้าไม่ได้เรียนศิลปะ เอาวะไปสอนเด็กอนุบาลฯ ก็ได้ เรารู้สึกว่าอนาคตของสังคมมันอยู่ที่จุดเริ่มต้น ติดกระดุมเม็ดแรกผิด กระดุมเม็ดต่อไปก็ผิด ฉะนั้นเยาวชน ถ้าสตาร์ทมาไม่ดีมันก็ผิดไปตลอด สังคมก็คงแย่ไปเรื่อยๆ เลยรู้สึกว่าถ้าได้เป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นของสังคมในฐานะครูอนุบาลฯ เราก็อยากทำ สุดท้ายเราไม่ติดสถาปัตย์ 3 อันดับแรก และไม่ติดปฐมวัย แต่มาติดครุฯ อาร์ตในอันดับ 4 เราก็เลยรู้สึกว่าลองเรียนๆ แต่พอเรียนมาแล้วรู้สึกว่าเฮ้ย โชคดีมากที่ได้เรียนคณะนี้ เพราะว่ามันได้เรียนหมด ไม่ได้เรียนแค่สถาปัตย์อย่างเดียว เรียนทั้งโปรดักต์ดีไซน์ คอสตูมดีไซน์ เรียนปั้น เรียนเพนติ้ง จิตรกรรม แบบจริงจัง เรารู้หมดทุกอย่าง แล้วมันเป็นคุณสมบัติที่ดีสำหรับการเป็นนักแสดง คือคุณต้องรู้ทุกอย่าง แล้วเอาสิ่งเหล่านั้นมาถ่ายทอด คือจริงๆ แล้วนักแสดงต้องเรียนเก่งนะ ในฐานะผู้กำกับบอกเลยว่าถ้าเด็กๆ ยุคนี้อยากจะไปเป็นนักแสดง อย่าทิ้งการเรียน เพราะอะไร เพราะนักแสดงต้องอ่านบท นักแสดงต้องทำความเข้าใจกับบท ถ้าคุณอ่านหนังสือไม่แตก คุณจะไม่มีทางเข้าใจบทและถ่ายทอดความเป็นตัวละครนั้นออกมาได้ดี มารอผู้กำกับพูดไม่ได้ คุณต้องอ่านเองด้วย


แต่เด็กสมัยนี้มั่น แล้วก็ไม่ค่อยใฝ่หาความรู้เท่าไร เวลาเราดีลงานกับเด็กรุ่นนี้ ต่างจากยุคที่คุณทำงานแรกๆ ไหม

เด็กรุ่นใหม่เองก็มีทั้งที่เป็นแบบนี้และไม่เป็นแบบนี้ มันถึงทำให้บางคนเกิดและอยู่ยาวนาน แต่บางคนเกิดและดับไป แป๊บเดียว เพราะอะไร เพราะเนื้อในที่มันไม่เท่ากัน ในฐานะคนทำงานในอาชีพที่ได้ค่าตอบแทนเท่ากัน ไม่มีเด็ก ไม่มีผู้ใหญ่  ทุกคนเท่ากัน คุณอย่ามาถือว่าเป็นดาราเด็ก แล้วคุณจะได้อภิสิทธิ์จากคนอื่นว่าคุณสามารถงอแงได้ คุณสามารถเกเรได้ หนูง่วง หนูจะไปนอน แล้วคนที่นั่งรออยู่ล่ะ เขาก็อยากกลับบ้านไปหาลูกเหมือนกัน หนูจะใช้ความเป็นเด็กมามีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่นไม่ได้ ผมว่าถ้าคุณมาเป็นนักแสดงคุณต้องใช้กติกาเดียวกัน แต่พอเลิกกอง คัต โอเคหนูเป็นเด็ก เข้าใจ หนูต้องการอะไร หนูต้องการขนม อ้าว หาขนมให้เขาเป็นพิเศษ แต่ในเวลาทำงาน คุณต้องทำ ต้องดีลแบบนั้น กองเราได้ชื่อว่าเป็นกองที่ดุ แต่คำว่าดุของเรา มันฟังง่ายและเข้าใจได้เลย เราไม่ได้บ้าบอว่าจะดุกับทุกคน แต่คุณต้องเข้าใจกรอบกติกา เหมือนตำรวจ ทำไมต้องมีตำรวจ เพราะมีไว้จัดการคนที่ผิดกฎหมายและกติกาสังคม ในกองถ่ายก็มีเหมือนกัน ในเมื่อคุณผิดกติกาและกฎของกองถ่าย ก็ต้องมีบทลงโทษ เพราะคุณทำให้คนอื่นเดือดร้อน คุณต้องรับผิดชอบ คุณจะเอาที่ชอบอย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องรับผิดด้วยถ้าคุณทำผิด ในสังคมเรา เราอะลุ่มอล่วยในบางอย่าง มันได้ แต่ว่าในบางอย่างที่มันมีกติกาที่ชัดเจน เราก็ต้องเคลียร์กันตรงนั้น แล้วจะทำให้เราเติบโตในแบบที่ทุกคนมีสิทธิ์ที่เท่าเทียมกัน 


คิดอย่างไรที่มีผู้บริโภคบางคนมักจะตีตราว่าละครช่องนี้ชาวบ้านมาก ตลาด คนเมืองเก๋ๆ ต้องชมช่องนี้

มีคนบอกว่าดูมันดี หรือตัวเราดูเหมือนภาพละครน้ำดี ซึ่งมันก็ไม่ใช่ ทุกคนมันมีมุมห่าม มุมเกรียนนะ เราพยายามตีความความห่ามของเราในละครว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น พอใส่เหตุและผลเข้าไปมันก็เลยรู้สึกว่ามันมีเหตุผลและที่มาที่ไปไง มันกลมนะ คนเลยรู้สึกว่ามันไม่ได้มาแบบไม่มีเหตุผล แล้วคนอาจจะตีความไปเองว่าอันนี้น้ำเน่า อันนี้เป็นละครตลาด อันนี้เป็นละครน้ำดี ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าน้ำดีคืออะไร ทำไมทุกเรื่องมันเป็นน้ำดีไม่ได้ หรือทำไมน้ำดีทุกเรื่องมันจะแซ่บไม่ได้วะ ถูกหรือเปล่า ละครแซ่บมันต้องไม่เป็นน้ำดีเหรอ หรือละครน้ำดีมันต้องไม่แซ่บเหรอ เราไม่เข้าใจ แต่เราต้องการสื่อสารให้ทุกคนเข้าใจ เราไม่เคยวาดรูปไว้ดูคนเดียว เราวาดรูปเพื่อให้คนเดินมาดูแล้วเข้าใจเลย เหมือนงานที่เราทำ ละครดึก ดูแล้วต้องเข้าใจ ไม่ใช่ว่าเธออยู่บ้านนี้เงินเดือน 8,000 ดูละครฉันไม่รู้เรื่องหรอก ต้อง 100,000 อัพ ถึงจะรู้เรื่อง ไม่ได้ เราทำสื่อการศึกษา อย่างที่บอกว่าคนในสื่อเราต้องทำให้ทุกคนเข้าใจมัน จะทำเฉพาะกลุ่มทำไม ละครเรื่องนี้ทำมาให้คนเฉพาะ 30,000 คนดูเท่านั้น ทำทำไม แล้วช่องจะลงทุนให้เราทำไม เราก็เลยรู้สึกว่าเฮ้ย เราต้องทำอย่างไรก็ได้ให้ทุกคนดูแล้วเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการสื่อสาร ไม่อย่างนั้นคุณสอบตกการสื่อสาร พูดจาก็ไม่รู้เรื่อง หรือเล่านิทานขึ้นมาเรื่องหนึ่ง แล้วเขาขอให้เล่าใหม่อีกรอบได้ไหม ฟังไม่เข้าใจ แสดงว่าคุณมีปัญหาแล้ว


รุ่นเราเป็นรุ่นที่โตมาตั้งแต่ยุคอนาล็อก จนถึงดิจิทัลในทุกวันนี้ เรามองการเปลี่ยนแปลงของสังคมอย่างไรบ้าง ในฐานะที่เป็นผู้ผลิตสื่อด้วย

มองแบบเข้าใจ แล้วก็เกิดคำถามและความในใจบางอย่าง ที่รู้สึกว่าอ๋อ เมื่อก่อนมันยากมากกว่านี้ตั้งร้อยเท่า ทำไมทุกวันนี้นัดแกยังมาผิดที่เลยวะ เข้าใจหรือเปล่า GPS มันก็มี แล้วเมื่อก่อนโทรศัพท์มือถือก็ไม่มี ต้องรอรับอยู่ที่บ้าน นัดเวลานะ เดี๋ยวกองถ่ายจะโทรมากี่โมงนะ ต้องอยู่บ้านรับสายนะ ถ้าไม่มีต้องแจ้งคนในครอบครัวเอาไว้นะ ถ้าไม่มีคนในครอบครัวอยู่บ้านตอนนั้นจะทำอย่างไรวะ จะสื่อสารอย่างไร ต้องรู้ว่าเราจะมุ่งไปที่ใคร อ้าว ไอ้คนนี้มันต้องรู้แน่เลย เพราะมันเข้าฉากกับเรา โทรไปถามว่าเขานัดที่ไหนกี่โมง แล้วไปตามนัด ขนาดนัดในป่ายังไปตรงเวลาเลย ไปถูกที่ด้วย มันเก่งมาก ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลมันอยู่ที่เรา วันนี้ถ้าเราตัดเทคโนโลยีหรืออินเทอร์เน็ตใดๆ ล่ม คุณอยู่ได้มั้ย คุณเอาชีวิตไปผูกไว้กับอะไรรอบตัวมากเกินไป คุณสามารถกลับมาที่จุดศูนย์ ที่มันไม่มีอะไรเลย ไม่มีไฟฟ้าได้ไหม ไม่มีเครื่องมือสื่อสารได้ไหม เราเคยเชื่อว่ามันอยู่ได้ เพราะเราเคยผ่านยุคนั้นมาแล้ว


แต่เด็กรุ่นนี้ไม่น่าจะได้นะ

ไม่ได้ เรามีแบบฝึกหัดเยอะกับการทำงานกับเด็กรุ่นนี้นะครับ ไม่ได้แกล้ง แต่เรารู้สึกว่าบางอย่างมันก็ต้องมีประสบการณ์ชีวิต คุณจะร้องไห้เพราะว่าเสียของรัก บางคนไม่เคยทุกข์เลย แต่ต้องเล่นซีนที่ถูกคนรักบอกเลิกแล้วก็ทุกข์มาก บอกเคยร้องไห้ไหม เขาตอบไม่เคยร้องไห้ครับ ส่วนใหญ่จะโมโหมากกว่า แกเป็นลูกคนรวยว่ะ ต้องการอะไรมันก็มาเสิร์ฟถึงข้างหน้าไง อย่างเรานี่โชคดีนอกจากเกิดในยุคอนาล็อกแล้ว แถมยังเป็นคนต่างจังหวัดด้วย เล่นน้ำคลอง เล่นน้ำโคลน ทำทุกอย่าง ของเล่นเราคืออะไร ลูกยางที่ตกมาจากต้นไม้แล้วก็เอามาเล่นกัน ไม่มีของสำเร็จรูปที่เดินไปในห้างแล้วก็ซื้อได้ เมื่อก่อนอยากได้ชุดไอ้มดแดงมากเลย ทำอย่างไรวะ ในไทยไม่มีขาย มีแต่ที่ญี่ปุ่น คุณมีปัญญาไหม เอากระดาษเทาๆ มาตัดแล้วก็เพนต์สีดำเป็นปลอกแขน ทำเป็นหน้ากาก เนี่ยมันฝึกการครีเอตมาตั้งแต่ตอนเด็ก มันอยู่ที่เรามีแพสชั่น เราจะทำมันให้สำเร็จด้วยวิธีไหน แต่ไม่ใช่ว่านั่ง อยากได้อันนี้แล้วก็มีมาเสิร์ฟ อยากได้อันนั้นมีมาเสิร์ฟ อยากรู้อันนี้จังเลยเสิร์ชใน Google แล้วก็ดู เมื่อก่อนนะถ้าอยากรู้เรื่องนี้เหรอ ต้องนั่งรถเมล์ไปโน่นหอสมุดแห่งชาติ ต้องไปทำบัตร ไม่มีซีร็อกซ์ ต้องนั่งจดทีละอัน พยายามมาก แต่ยุคนี้มันมี เราจะไปยึดติดกับสมัยเดิมไม่ได้ เหมือนการทำละคร เราเคยสำเร็จ เราเคยเป็นอันดับหนึ่ง เรตติ้งทะลุทะลวง จาก 30 ตอนเพิ่มเป็น 80 ตอน เราจะเอาความสำเร็จนั้นมาผูกกับตัวเราเองแล้วอยู่กับที่ไม่ได้ เริ่มใหม่ มันคือเริ่มใหม่ ปี 2019 คุณต้องเริ่มใหม่ คุณจะไปฝังใจกับปี 2018 ไม่ได้ ไม่ว่ามันจะเลวร้ายหรือดีแค่ไหน มันคืออดีต ปัจจุบันมันคือปัจจุบัน อนาคตเป็นสิ่งที่คุณคาดหวังแต่มันยังไม่มา พรุ่งนี้ไม่รู้จะหมดลมหายใจหรือเปล่า เพราะฉะนั้นต้องทำอดีตให้ดีที่สุด