WHEN LOVE FAIL, MUSIC SPEAKS – อะตอม ชนกันต์

Written by  
23.02.18 714 views

        หลายคนรู้จักชื่อของ ‘อะตอม’ กันมามากมายแล้ว ทั้งในฐานะของศิลปิน และความพยายามจนพบความสำเร็จในเส้นทางดนตรีของเขา 

  ความสำเร็จในอาชีพนักร้อง กอปรกับความสำเร็จของทุกบทเพลงจากปลายปากกาของอะตอมได้แสดงให้ทุกคนเห็นอยู่แล้วว่า บางครั้งความเรียบง่ายแต่จริงใจที่สุดต่างหากที่ช่วยประคับประคองจิตใจมนุษย์ได้ดีกว่าการประดิษฐ์สร้างจนสวยหรู เพราะบางครั้งสิ่งที่เราต้องการมากที่สุดในวันที่สูญเสียความรัก อาจไม่ใช่รักครั้งใหม่ หากแต่เป็นใครสักคนที่เข้าใจความรู้สึกเศร้าที่แท้จริงของเรามากที่สุดมาอยู่ใกล้ๆ เรา และเพลงของอะตอมได้ทำหน้าที่นั้นอยู่ในหลายบริบทความรักของใครหลายคน


‘PLEASE’ เพลงที่ทำให้ใครรู้จัก อะตอม

“ตอนนั้นน่าจะช่วง 19-20 มั้ง ช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ชีวิตเราอยู่ไกลครอบครัว มีแต่เพื่อน แฟน หรือไม่ก็ทำกิจกรรมต่างๆ วันที่เราอกหักมันเศร้ามาก รอบตัวมีแต่คนอายุไล่เลี่ยกัน กลายเป็นเราจมอยู่กับความเศร้า อะไรนิดหน่อยก็หวั่นไหว ความจริงช่วงเวลาที่ดีๆ ก็มี แต่เรากลับอธิบายความเหงา ความเศร้าออกมาได้ดีกว่า มันเฮิร์ทหนักเพราะเสียดายความทรงจำดีๆ ที่ต่อไปนี้จะไม่มีแล้ว 

  Please คือเพลงที่ผมแต่งเร็วมากที่สุดเพลงหนึ่ง ทุกอย่างเสร็จตั้งแต่วันแรกที่แต่งในหอพัก ผมเอาไปร้องตามร้านนั่งดื่มระแวกมหาวิทยาลัย ที่เราไปเป็นนักดนตรีประจำให้เขาด้วย กลายเป็นว่าคนชอบ เราร้องบ่อยเข้า ก็เริ่มร้องตามได้ เหมือนกลายเป็นเพลงที่พูดกันปากต่อปากในกลุ่มนักศึกษากันเอง 

  คงเป็นเพราะเนื้อหาที่เข้าถึงคนได้ง่าย เชื่อว่าหลายคนคงมีประสบการณ์ตรงแบบนี้เหมือนกัน พูดง่ายๆ ว่ามันโดนใจคนล่ะมั้งครับ พอย้อนมาตอนนี้เหตุการณ์ที่เศร้าแทบเป็นแทบตายกลายเป็นเรื่องตลกสำหรับเราไปเลย” 

เนื้อหาของเพลงส่วนใหญ่มาจากชีวิตตัวเอง

  “(ยิ้ม) ครับ แต่ว่าช่วงแรกที่ให้สัมภาษณ์ ผมเฉไฉไม่บอก ไม่เล่า กลัวงานเข้า อาจจะลำบากเพราะความสัมพันธ์ จนวันที่ผมโตขึ้น เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันกับคนรักเก่าๆ ได้ เราก็ไม่รู้ว่าจะปิดทำไม ใช่ครับ เพลงส่วนใหญ่มาจากตัวผม มาจากเรื่องจริงเกือบทั้งหมด มีบางส่วนที่เราจินตนาการเพิ่มเติมลงไปไม่เกิน 20 เปอร์เซนต์” 

คิดอย่างไรกับประโยคที่ว่า ‘ศิลปินมักสร้างงานจากความเศร้า’

“ผมคิดว่าคงจะจริงนะ ผมว่าคนเรามีวิธีระบายความเศร้าแตกต่างกัน อย่างผมก็ระบายด้วยการเขียนและทำเพลง ล่าสุด มีประโยคหนึ่งของพี่ ‘ตุล อาร์ตเมนต์คุณป้า’ (ตุล ไวฑูรเกียรติ) เขาให้สัมภาษณ์ว่า ช่วงที่เขียนเพลงที่ดีที่สุด คือช่วงที่เราอ่อนแอ ตอนเรากำลังอ่อนไหวกับเรื่องราวบางอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เราจะเขียนถึงสิ่งนั้นออกมาได้ดี สำหรับผมแล้ว ความเศร้าคงเป็นแรงผลักดัน ผมว่าไม่ใช่แค่นักแต่งเพลงหรอก ศิลปะหลายๆ แขนงก็เกิดจากปมอะไรสักอย่างที่มีพลังมากพอ จนเหมือนมีวิญญาณผลักดันให้เกิดเป็นความสร้างสรรค์แทน

พูดราวกับว่าอะตอมกำลังเสพติดความเศร้า

“เสพติดหรือ?… เพลงHappy เราก็เขียนเก็บไว้นะ ตอนเด็กๆ เพลงจีบสาว ง้อสาวเราก็มีเหมือนทุกคนที่หัดแต่งเพลง (หัวเราะ) แต่เราค่อนข้างตามหัวใจตัวเองและอารมณ์บางอย่างหนักมากไปเท่านั้น ซึ่งผมดันไปตกอยู่กับอารมณ์นั้นเสียเยอะ เพราะฉะนั้นงานที่ออกมาก็เลยกลายเป็นทางเศร้า ถ้ามีคนทำให้ชีวิตผมมีความสุขก็อาจจะได้ฟังเพลงที่ Happy กัน”

ตอนนี้มีคนที่ว่าหรือยัง

  “ก็มีคนผ่านเข้ามาบ้าง แต่ช่วงนี้ผมทำงานเยอะมาก ยังไม่มีเวลาจะไปจริงจังกับใครเท่าไรนัก”

ความรักจบไปทิ้งไว้เพียง ‘แผลเป็น’

  “เราเปรียบเทียบรักที่จบ ความรู้สึกที่เจ็บ ก็เหมือนตอนเด็กๆ ที่เราซุ่มช่าม มีดบาดบ้าง หกล้มบ้าง เอามาเทียบกับแผลทางจิตใจ อารมณ์เดียวกับวันที่เราต้องแยกทางกับใครคนหนึ่ง มันเกิดบาดแผลในใจเรา เวลาผ่านไป เลือดหยุดแล้ว แต่เหลือรอยแผลเป็นอยู่ ขึ้นอยู่กับการรักษาว่าดีแค่ไหน รอยแผลเป็นก็จะเป็นไปตามการรักษา จางบ้าง ปูดนูนบ้าง ทุกครั้งที่เรามอง ก็ทำให้เรานึกถึงเหตุหารณ์ที่ทำให้เกิดแผลเหล่านั้น ความรักก็เหมือนกัน พอเรามองเห็นแผลเป็น เรื่องในอดีตก็ถาโถมเข้ามา 

ไม่เคยคิดจะเขียนเพลงโดยชีวิตจริงของคนอื่นบ้างหรือ

  “ผมเคยเขียนเพลงให้คนอื่นร้องอยู่บ้างนะ อย่างเพลง ‘ปล่อย’  ที่พี่ป๊อบ ปองกูลร้อง แต่จะว่าไปก็เป็นเพลงที่มาจากชีวิตผม แค่ตอนนั้นคนที่เหมาะจะร้องเพลงนี้ที่สุดคือพี่ป๊อบ หรืออย่างเพลง ‘รักเอย’ ของพี่ดา เอ็นโดรฟินผมก็มีส่วนช่วยเขียน แต่ก็ยังไม่ใช่ทั้งหมด

  เพลงที่เขียนให้คนอื่นโดยไม่มีเรื่องของผมเลย น่าจะเริ่มจากเพลงของพี่บุรินทร์ Groove Rider ในอัลบั้มใหม่นะ ที่ยังไม่ออกมาเสียที (หัวเราะ) แล้วก็มีเพลง ‘ พบเธอก่อน’ ของมิ้นท์-ภัทรศยา ก็เป็นอีกความสนุก ที่ได้นั่งฟังเรื่องราวของคนอื่น แล้วค่อยๆ เขียนและเรียบเรียงจนออกมาเป็นเพลง และผมก็พอใจกับเพลงเหล่านั้น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ผมก็ยังรักเพลงที่มาจากชีวิตของผมมากที่สุดครับ” 

[โปรย]

อย่าให้ฉันรั้ง เธอไว้เลย จากตรงนี้ยังอีกไกล ยังมีฝันที่เธอต้องไขว่ ต้องคว้า อย่าจมอยู่กับฉันเลย 

ต้นเหตุ ‘ทางของฝุ่น’

“เมื่อมองย้อนกลับไปที่มาของเพลงมันไร้สาระมากครับ ผมตีโพยตีพายไปเอง เป็นอารมณ์ชั่ววูบในที่จอดรถของสตูดิโอแห่งหนึ่ง ตอนนั้นคนที่ผมคบอยู่เขาเริ่มมีงานในวงการบันเทิง ผมไปนั่งรอเขาถ่ายงานทั้งวันตั้งแต่เช้าจนดึก นั่งมองเขา ไปเรื่อยๆ จนเริ่มมีความรู้สึกทะแม่งๆ ว่าถ้าเขาดัง ถ้าได้เป็นดาราคงต้องทิ้งกูไปแน่ๆ เลย กลัวเขาไปนะ แต่อีกใจก็ยินดีด้วย ถ้าเขาไปแล้วได้ดี มันก็ออกมาตามเพลงทางของฝุ่น แต่ว่าตอนแต่งผมไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟายหนักหนาแบบในเนื้อเพลงนะครับ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นเรื่องราวแบบในเพลงหรอกคครับ เราแค่ระแวงไปเอง”

หวาดกลัวเรื่องความสัมพันธ์ขนาดนั้นเลยหรือ?

“เวลาอยู่ในความสัมพันธ์แบบคนรักกันผมเป็นคนไม่ค่อยมั่นใจในตัวเองเอามากๆ อาจจะเป็นเพราะว่าความรักในช่วงหัดรัก ช่วงที่เพิ่งรู้จักว่าการรักกันแบบคนรักมันเป็นอย่างไร แต่ผมก็โดนทิ้งตั้งแต่ครั้งแรกเลย ด้วยสาเหตุว่าเขาไปมีคนอื่น การนอกใจคือคดีร้ายแรงที่สุดในความสัมพันธ์เลยนะ เลยกลายเป็นความฝังใจ ผสมความกลัว ระแวง มีปัญหาเกี่ยวกับการเชื่อใจคนไปเลย และขาดความมั่นใจในความรักความสัมพันธ์มาก” 


‘อ้าว’ บทเพลงของผู้ที่จะไม่กลายเป็นคนแพ้อีกต่อไป 

“ตอนที่แต่งเพลงนี้ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับเพื่อนๆ ใกล้ตัวมากกว่า ฟังเรื่องราวทำนองนี้มากๆ เข้า ผมเริ่มหมั่นไส้คนที่ทิ้งใครอีกคนไป ด้วยข้ออ้างต่างๆ มากมาย ยิ่งยุคที่ผมยังเรียนมหาวิทยาลัยน่ะครับ ชีวิตนักศึกษามันก็วนเวียนกันอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัยอยู่ดี ทิ้งเราไปแล้ว ไปมีชีวิตใหม่แล้ว ทำไมไม่ให้โอกาสเราใช้ชีวิตใหม่บ้าง ให้เราได้ค้นหาคนดีๆ ด้วยสิ จะวนกลับมาใหม่ทำไม หรือว่าเมา หรือว่านิ้วลั่นเลยทักเรามา ชวนเราคุยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งเรายังไม่หายเจ็บ และมันไม่แฟร์กับอีกฝ่ายเลย อ้าว… แล้วก่อนหน้านี้ล่ะ! ทำแบบนี้ไม่ดีเลย เริ่มหมั่นไส้ขึ้นมา ผมเองก็เคยเจอเรื่องแบบนี้ และให้พูดกันตามตรง มันก็ใจอ่อน แต่เราต้องเข้มแข็งให้ได้ คิดทบทวนดูสิว่าก่อนหน้านี่พูดหรือทำอะไรไว้  แล้วตอนนี้จะกลับมาทำไม?! ทีก่อนจะไปบอกลาเรา พยายามอธิบายดิบดี 

สักพักเราก็อุทานคำว่า ‘อ้าว’ แล้วก็แล่นเข้ามาเป็นเพลง ผมว่าคำนี้เวลาเราพูดมันดูสะใจดี และดูแปลกไม่เหมือนเพลงอื่นๆ ดี เพราะผมยังไม่เห็นใครเอามาใช้ในเพลงมาก่อน ตามมาด้วยเหตุการณ์ที่ตามมาคู่กัน คือ ‘ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หน่า’ ตอนนั้นที่คิดได้แค่ประโยคนี้ ผมว่ามันกวนประสาทมากเลยนะ แล้ววันหนึ่งพอคนอื่นๆ ได้ฟังเพลงนี้ ฟีดแบ็กก็ดีมาก ยิ่งพิสูจน์ว่ารูปแบบความรักของคนเราจะเจออะไรเหมือนๆ กันอยู่”

MV ช่วยผลักดันให้เพลงดังมากเพียงใด

  “เรื่องนี้ต้องให้เครดิตทุกคนในทีมของค่ายเราเลยครับการตีความ การเล่าเรื่อง การเลือกนักแสดง อย่างน้องเบสท์-ณัฐสิทธิ์ โกฎิมนัสวนิชย์ ที่กลายเป็นสามีแห่งชาติเพราะ MV อ้าว จนเรายังแซวกันอยู่เลยว่าทุกวันนี้เบสท์เอารูปผมขึ้นหิ้งแล้ว (หัวเราะ) ผมว่าทีมงานเลือกคาร์แรกเตอร์นักแสดงทุกคนได้ดี เคมีของทั้งพระเอกและนางเอกมิวสิกลงตัวมาก เขาตีโจทย์ซึ่งก็คือเพลงออกมาได้ดี คนก็ยิ่งเข้าถึงได้ง่าย เพลงก็ยิ่งเป็นที่จดจำ”

ติดตามเรตติ้งตัวเองบ้างไหม

  “เมื่อก่อนเราก็ดูนะ ผมดีใจมาตลอดที่มีคนชอบงานของเรา คนชอบเพลง หรือแม้กระทั่ง MV มันมาถึงจุดที่รู้สึกว่าไม่ต้องชอบตัวผมก็ได้ ชอบงานที่ผมทำก็พอแล้ว  แต่ทุกวันนี้คนตรวจยอดวิวกลายเป็นคุณพ่อเสียเอง (ยิ้ม)”

คุณพ่อสนับสนุนให้เดินเส้นทางดนตรีตั้งแต่แรกเลยหรือ

  “ไม่หรอกครับ, ตอนแรกทั้งคุณพ่อคุณแม่ห่วงมาก ยิ่งตอนเรียนนิติศาสตร์ ที่ธรรมศาสตร์ พวกท่านจะพูดตลอดเลยว่า อยากทำอะไรก็ได้ พ่อแม่ไม่ว่า แต่อย่าทิ้งเรื่องการเรียน ผมเข้าใจสิ่งที่พวกท่านกำลังพยายามบอกนะ มันไม่ใช่แค่อย่าทิ้งเรื่องเรียน เพราะการเรียนจบแล้วทำงานทางด้านนี้โดยตรง มันคือความมั่นคง เป็นพนักงานอฟฟิศที่มีรายได้แน่นอนทุกเดือน เหมือนอย่างที่บ้านผมเป็น คือที่บ้านผมเป็นสายยนักกฎหมายครับ รุ่นปู่ย่าตายายก็เป็นข้าราชการ ไม่แปลกหรอกที่พวกท่านจะห่วงผม เพราะวงการนี้คู่แข่งก็เยอะ มันฉาบฉวย ไม่มีความแน่นอนในงาน ไม่มีความแน่นอนเรื่องรายได้ และคงกลัวเราผิดหวัง เพราะผมก็ทุ่มเทให้ด้านนี้หนักมากจริงๆ”

แต่ทุกวันนี้ก็ยึดอาชีพศิลปิน

  “ก็เรียกได้ว่านี่คืออาชีพจริงจังของเรานะ เราหาเงินได้จำนวนมากเลยแหละ ถือว่าดีมากๆ ในวงการบันเทิง”

นั่นก็เพราะอะตอมดังแล้วหรือเปล่า

  “ผมไม่ได้อยู่ๆ ก็ดัง ผมว่าในทุกความสำเร็จของใครก็ตาม มันไม่มีความสำเร็จโดยไม่ใช้ความพยายามหรอก คุณอาจะเก่ง แต่ถ้าขี้เกียจ เก่งแล้วไม่ทำอะไรเลย มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีงาน ถ้าทุกคนที่ปรารถนาจะเข้ามาทำงานบันเทิง โดยมองว่าชีวิตดีจัง อยู่กับเรื่องสนุก อยู่กับแสงสี รายได้ดี ผมว่าต้องกลับไปคิดที่จุดเริ่มต้นก่อน เพราะจุดเริ่มต้นคือความเสี่ยงที่สุดแล้ว ความเสี่ยงว่าเราอาจจะไม่ประสบความสำเร็จนะ งานอาจจะไม่เยอะ รายได้อาจจะไม่ดีเหมือนที่คิด 

  สำหรับผมมันผ่านช่วงเหล่านั้นมาแล้ว ช่วงที่เล่นดนตรีในร้านเหล้า ช่วงที่เอาเดโม่เพลงที่อัดส่งให้ค่ายเพลงต่างๆ จนได้เซ็นสัญญากับค่ายเพลง  ช่วงที่เราคิดแต่เพียงว่า ขอให้ได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ผมแค่อยากอยู่กับดนตรี อยากทำเพลง อยากเขียนเพลง และอยากให้คนรู้จักเพลงของผม ซึ่งก็ต้องอาศัยเวลาถึง 4-5 ปี กว่างานของตัวเองจะออกมาอย่างที่เห็น”

ช่วงที่ยังไม่มีตัวตน อะตอมมีรายได้เลี้ยงตัวเองมาจากไหน 

  “ระหว่างที่ทำเพลงกับทางค่ายไปด้วย เป็นช่วงที่เรียนจบใหม่ๆ ผมโชคดีที่ได้ร่วมเป็นนักร้องคอรัสให้กับพี่บุรินทร์ บุญวิสุทธิ์ (Groove Rider) ในนาม Burin & The Old School All Star เงินเลี้ยงชีพมาจากตรงนั้นเลย กินข้างบ้าน กินข้าวในวงบ้าง มันไม่ได้ลำบากอะไร ซึ่งตอนนั้นมันเหมือนเป็นช่วงค้นหาตัวเองของเด็กจบใหม่ อาจจะดูเคว้งบ้างบางครั้ง แต่ก็ไม่ถึงกับแย่ เป็นอย่างนั้นอยู่ปีกว่าๆ คือใจของผมรู้สึกแค่ว่าได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก มีเงินเลี้ยงชีพได้ก็พอ

  ถามว่ามีแผนสำรองไหม ก็มีนะ เพราะตอนแรกงานทางกฎหมายดูเป็นอาชีพในฝันของผม แต่พอยิ่งใช้ชีวิตใกล้ชิดกับดนตรี ยิ่งรู้สึกว่าแพชชั่นมันมาทางนี้แล้ว เราอยากมีชีวิตอยู่กับดนตรี และผมยังคิดว่าตัวเองเอาตัวรอดได้ รู้สึกว่าถ้าเราต้องปล่อยมือจากสิ่งนี้โดยที่ยังสู้ไม่ถึงที่สุดชีวิตเราคงเหี่ยวเฉามาก”

[โปรย]

ช่วงนี้ระวังหน่อย บุญเธอที่มีใกล้หมดแล้ว 

ความเติบโตที่เห็นได้ชัดในเพลง ‘ช่วงนี้’ 

“เพลงนี้เขียนขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เองครับ เป็นชีวิตของคนทำงานที่เรียกได้ว่าโตขึ้นแล้ว  จุดเริ่มต้นของเพลงนี้ไม่ได้มาจากความรักเท่าไร คนเอาไปโยงกับการที่ผมเลิกกับแฟนพอดี ซึ่งมันคนละเรื่องกัน (ยิ้ม) แต่ก็ยังเป็นเพลงที่มาจากชีวิตส่วนตัวของผมอยู่ดี เพลงนี้เกิดขึ้นช่วงชีวิตเบญจเพส คุณพ่อคุณแม่เคยมีประสบการณ์ไม่ดีช่วงวัยนี้ ก็เลยห่วงเรามาก เลยเตือนตลอด ช่วงนี้ อย่าประมาทนะลูก ดูแลตัวเองหน่อย  จนเราอินแล้วเอาไปเขียนเพลงเสียเลย

  “ช่วงนี้ระวังหน่อย” น้ำเสียงของประโยคช่างเต็มไปด้วยน้ำเสียงแห่งความหมั่นไส้ เสียดเย้ย ฟังดูเหมือนหวังดี แต่จริงๆ ก็มีความจิกกัดอยู่ เพลงนี้มันผสมหลายๆ อย่างไว้ด้วยกันนะครับ ผมว่ามันมีหลายมิติเลยล่ะ เป็นเรื่องความรักก็ได้ มันเป็นอารมณ์ของคนที่หมั่นไส้ที่คนรักทำกับเราไว้ หักอกคนไว้เยอะแยะ แต่ก็ยังมีความสุขได้ ทิ้งให้คนอื่นเศร้าอยู่ฝ่ายเดียว แบบไม่สนใจว่าเขาจะเป็นยังไง ทำไมชีวิตเขายังมีความสุขได้อยู่เรื่อยๆ อีกนะ 

ผมว่ามันก็ตรงกับชีวิตคนในสังคมหลายๆ คน ทำไมคนทุกวันนี้ใจร้ายกันมากขึ้นทุกที ยิ่งในโลกโซเชียลนี่เห็นบ่อยมาก นึกจะคอมเมนต์แรงๆ อยากพิมพ์ด่าก็พิมพ์เลย ไม่สนใจความรู้สึกใครแล้ว บางทีก็แรงเกินไป บางทีก็ไม่จริงเลย อีกฝ่ายกลับต้องมาเศร้ามาทุกข์เพราะคำพูดเหล่านี้ ทำไมเขาไม่ได้รับผลการกระทำของเขาเสียที ทำไมเดี๋ยวนี้คำว่าทำดีได้ดี ทำดีได้ชั่วไม่มีแล้วหรือ นี่ก็เป็นอีกมิติที่เกิดในเพลง คนที่ทำไม่ดีกับใคร วันหนึ่งเขาควรได้รับผลจากการกระทำของเขาบ้างได้แล้ว”

สมการความสำเร็จของเพลงอะตอม

  “ยากเลยแฮะ… ผมว่าก็คงเป็นเนื้อเพลงและเมโลดี้ที่จับต้องง่าย ผมโชคดี ที่เราสามารถฝึกเรื่องเหล่านี้ได้ซ้ำๆ ใช้เวลากับมันได้ตลอด และผมไม่หยุดหาโอกาสให้ตัวเองไปพร้อมๆ กับการเขียนเพลง เขียน อัด ส่งเดโม่ไปตามค่าย ไม่ถูกเรียก ก็เอาเพลงตัวเองไปร้องตามร้านที่เราเล่นดนตรี ผมคลุกคลีกับเพลงแทบจะตลอดเวลาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว”


โชค มีส่วนกับความสำเร็จมากขนาดนั้นเลยหรือ

  “ผมว่ามีส่วน บางคนทำงานแทบตายก็ไม่มีโอกาส มันเป็นเรื่องที่อธิบายไม่ได้ จับต้องไม่ได้ว่าสิ่งที่เราทำคืออะไร บางอย่างเราควบคุมได้ด้วยมือเรา ด้วยความสามารถของเรา ไม่ว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นตั้งแต่สมุด 1 เล่ม และปากกา 1 ด้าม กีตาร์ 1 ตัว แล้วนั่งเขียนเพลงได้เป็นวันๆ แต่ก็มีบางอย่างที่เรามองไม่เห็น อยู่เหนือความควบคุมของเรา นั่นล่ะมั้งที่เรียกว่าดวง หรือโชคช่วย แต่สุดท้ายแล้วผมคิดว่าเราควรทำให้ดีที่สุดในสิ่งที่เราทำได้ แล้วเมื่อไรก็ตามที่โอกาสหรือโชคเดินทางมาถึงเรา ตอนนั้นเราจะพร้อมลุยกับมันเอง” 

รู้สึกอย่างไรกับอะตอมในวันนี้

  “ก็โตขึ้นประมาณหนึ่งครับ เราชื่นชมให้ความสำเร็จที่ผ่านมา แต่สุดท้ายแล้วเราก็เตรียมพร้อมไว้เสมอไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ แต่ถ้ามองเทียบจากวันนั้นจนวันนี้ผมว่าอะไรหลายๆ อย่างก็เปลี่ยนไป อย่างแรกเลยคือผมโตขึ้น รู้จักการทำงานกับคนได้หลากหลายมากขึ้น ในแง่ของการเขียนเพลงอาจจะยังมีสัดส่วนความเศร้าที่มากอยู่ แต่ก็เศร้าอย่างเข้าใจมากขึ้น ทุกอย่างที่ว่ามาน่าจะเป็นเพราะโอกาสที่ผมได้ทำงานเบื้องหลังอยู่หลายปีก่อนจะเป็นที่รู้จัก ช่วงนั้นได้เรียนรู้และทำความเข้าใจกับหลายสิ่งหลายอย่าง”

‘อย่าบอก’ เพลงใหม่ล่าสุด ผ่านมุมมมองความรักที่เติบโตขึ้น 

  “เพลงนี้อยู่ในล็อตใหม่ๆ ของเพลงที่ผมแต่ง ความเศร้ากับความรักไม่เหมือนเดิมแล้ว มันเติบโตขึ้น เราไม่ฟูมฟายเท่าไร ปล่อยวางเป็นแล้ว ‘อย่าบอก’ อารมณ์คล้ายๆ เพลง ‘Please’ เราเจอการบอกเลิกคล้ายๆ กัน ซึ่งคนบอกเลิกส่วนใหญ่มักจะมีเหตุผลมากมายมาซัพพอร์ตการกระทำตัวเอง เพื่อบอกว่าเขาก็เสียใจเหมือนกันที่มาบอกเลิกเรา มันมาถึงจุดที่ว่าไม่ต้องบอกอะไรแล้วมันไม่มีประโยชน์อะไรเลยที่ต้องมาสาธยายอะไรให้เราฟัง เพราะสุดท้ายก็ต้องแยกกันอยู่ดี”

ทุกวันนี้ยังเจ็บปวดกับความรักมากเหมือนเดิมไหม

  “ก็เจ็บเหมือนเดิมมั้ง แต่เรามีวิธีจัดการกับมันได้ดีขึ้น เหมือนโตขึ้นแล้วหนังมันหนาขึ้น กระดูกมันใหญ่ขึ้นมั้ง (หัวเราะ)  สกิลการเอาตัวรอดของเรามันดีขึ้น เริ่มมองคนออกมากขึ้นว่าใครเป็นอย่างไร เรียนรู้ที่จะไม่เอาตัวเองไปอยู่ในความเสี่ยงต่อความเจ็บปวดได้มากขึ้น

  ที่สำคัญที่สุด ยิ่งโต ยิ่งทำงานมากขึ้น เหมือนเรามีงานมารองรับช่วงเวลาเจ็บปวดอยู่เสมอ เราไม่มีเวลามาจมกับความเศร้าหมือนเมื่อก่อน ขณะเดียวกับที่เราได้ทำงานที่เรารัก ออกไปทำงาน ไปเจอเพื่อนร่วมงานที่มีความรักในสิ่งเดียวกับเรา  ไปร้องเพลง ไปเจอคนฟังเพลงของเรา เหมือนได้ความรักตอบกลับมา แต่ในทางกลับกันถ้าไม่มีงานก็อาจจะยังโหยหาและฟุ้งซ่านเหมือนเดิม ก็นั่นแหละครับ ผมมองว่าพอเราโตขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น ผ่านอะไรมาเยอะด้วย ทำให้เราเข้าใจว่าบางเรื่องก็ไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหรือกอดมันไว้ เพราะของแบบนี้ยิ่งหากยิ่งไม่เจอ”

อัลบั้มแรก ความรักคือการทดลอง

“อัลบั้มแรกในชีวิตของผมมีชื่อว่า ‘Cyantist’ เราปิ๊งคำนี้มานานแล้ว  ‘Cyan’ มีความหมายเดียวกับ ‘Blue’ ซึ่งสีฟ้าคือตัวแทนของความเศร้า มันเหมาะกับเพลงส่วนใหญ่ของเรา นอกจากนี้ยังเป็นคำที่พ้องเสียงแล้วอ่านออกมาว่า ‘Scientist’ ในแง่คอนเซ็ปต์ก็ตามชื่อเลย นักวิทยาศาสตร์ ก็คือนักทดลอง 

ความสัมพันธ์ก็คือการทดลอง เรารู้เรื่องเกี่ยวกับคนที่เราชอบในระดับหนึ่ง แล้วก็ตกลงคบกัน ทุกคนเมื่อเข้าสู่ความสัมพันธ์เราไม่มีทางรู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ลองผิดลองถูกกันไปเรื่อยๆ หลายคนทดลองแล้วก็จบลงด้วยการเลิกลา เหมือนจะฉลาดขึ้นด้วยบทเรียนต่างๆ แต่สุดท้ายเมื่อมีรักครั้งใหม่ก็เข้าสู่การทดลองอีก เจอเรื่องผิดพลาดซ้ำๆ เดิมๆ  ผิดหวังในความรักรูปแบบเดิมๆ แล้วในวันหนึ่งเราก็ค้นพบว่าเปลี่ยนคนอื่นไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนที่ตนเอง เพราะเราไม่รู้ว่าอนาคตจะต้องเจอกับใครอีก เราเองที่ต้องมีมุมมองเปลี่ยนไป นอกจากเป็นเรื่องของการทดลองแล้ว จะบอกว่ามันคือไดอารี่ชีวิตรักที่ค่อยๆ โตขึ้น จากวัยเด็ก วัยเรียน จนเข้าสู่วัยทำงาน ทุกเพลงคือความรักที่มีความเติบโตอยู่”