What the Duck กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 แล้ว
มอย: “ย้อนกลับไป 5 ปีที่แล้วช่วงที่ค่ายเกิดขึ้นมา ถ้าพูดจริงๆ มันก็คงเป็นช่วงที่แย่ที่สุด ขายซีดีก็ไม่ได้ ขายดาวน์โหลด MP3 ก็ไม่ได้ ไปบอกกับใคร เขาก็จะบอกว่า ‘บ้าหรือเปล่ามาเปิดค่ายเพลง’ แต่เราก็ยังรู้สึกว่ามันยังมีช่องทางที่สามารถทำค่ายเพลงขึ้นมาได้ และสามารถอยู่รอดได้ เราเลยคิดว่าน่าจะลองกันดูสักครั้ง ผมยังจำโมเมนต์ช่วงแรกที่เราเริ่มกันได้ อะไรคือ What the Duck? ทำอะไร? แต่ปีนี้พนักงานมีเยอะมากขึ้น ศิลปินเยอะมากขึ้น การร่วมงานกับพันธมิตรมากขึ้น คนรู้จักเรามากขึ้น เราเริ่มรู้สึกว่าค่ายของเราได้รับ
การยอมรับในวงกว้างมากขึ้นแล้ว”
บอล: “ช่วง 2-3 ปีแรกเป็นช่วงที่ยากมาก ยากที่จะชวนคนมาทำงานด้วยกัน ยากที่คนที่ชวนมาทำงานด้วยกันแล้วเขาจะประสบความสำเร็จ ทุกอย่างมันไม่ได้ผลิดอกออกผลในช่วง 6 เดือนหรือ 1 ปี ผมจะบอกน้องๆ เสมอว่าต้องอดทนทำงาน 1-2 ปีโดยที่อาจจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย ซึ่งในทางกลับกันพวกเราเองก็ต้องบริหารงานเพื่อให้ธุรกิจดำเนินต่อไปได้ เพื่อรอเวลาให้ศิลปินเขามีประสบการณ์ในการทำงาน และอาจจะมีสักเพลงที่กลายเป็น
ที่ยอมรับ”
ออน: “ทีม What the Duck ที่ทำอยู่ด้วยกันตอนนี้เป็นทีมที่ลงตัว พวกเราคิดว่าจะสามารถสานต่อสิ่งที่เราอยากทำให้วงการดนตรีมีสีสันมากขึ้น”
แฟรงค์: “พวกเราทุกคนโตมากับดนตรีไม่ว่าจะหมวดใดหมวดหนึ่ง และเป็นค่ายเพลงที่รักในเสียงเพลงจริงๆ จากตอนแรกที่เราเริ่มกันแค่ 3 วง ทุกวันนี้นับไปนับมาก็ 18 ศิลปินแล้ว ศิลปินแต่ละคนเขาก็จะมีวิธีคิดของตัวเอง แต่ไม่ว่าเราจะแนะนำอะไรเขาไป เราอาจไม่ได้บอกว่าเราถูก เรามีช่องทางให้ศิลปินเลือก แต่เขาก็เลือกที่จะ ‘ฟัง’ เรามาตลอด
โปรเจ็กต์ไหนไม่เวิร์กเราก็พับแล้วค่อยไปลุยกันใหม่”
สิ่งที่ดีที่สุดในปีนี้
มอย: “เราได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า การทำค่ายเพลงมันช่วยเติมเต็มบางอย่างในตัวเรา ตั้งแต่วันที่เริ่มฟังเดโม่หรือพูดคุยด้วยกัน จนไปถึงวันที่เราเห็นเขาประสบความสำเร็จ มันเป็นคุณค่าทางจิตใจล้วนๆ เลย”
บอล: “ผมกับมอยเรียนอยู่คณะเดียวกันคือคณะศึกษาศาสตร์ หลังจากเรียนจบ เราก็ตอบแทนด้วยการไม่ได้ทำอาชีพครู เกเรด้วยกันเพราะเล่นดนตรีทั้งคู่ ก็เลยเหมือนได้มาชดเชยที่พวกเราพาเด็กนักเรียนไปส่งอีกที่หนึ่งเหมือนกัน ซึ่งที่คณะก็บอกว่าครูเหมือน
เรือจ้าง แต่เราเป็นเรือส่งนักดนตรี (หัวเราะ) ผมไม่ใช่นักดนตรีที่เก่ง แต่เราอาศัยครูพักลักจำ เราได้รับโอกาสที่ดีมาจนถึงทุกวันนี้ และก็อยากจะส่งต่อให้น้องๆ ผมจะภูมิใจกับเรื่องนี้ ถือเป็นการเติมเต็มที่ดี”
เรื่อง What the F*** ที่เปลี่ยนให้เป็นเรื่องดี
มอย: “มีทุกวันเลยครับ What the F*** (หัวเราะ) แต่ผมชอบปัญหานะ เพราะนั่นหมายความ
ว่าเราไม่ได้ทำอะไรเดิมๆ แต่เรามีสิ่งที่ต้องเข้าไปแก้ให้ได้ แล้วเราจะได้รู้ว่าต้องเจอกับอะไร”
ออน: “ปัญหามันมีทุกวัน F*** กันทุกวัน ทำงานทุกงานมันต้องมีปัญหาอยู่แล้ว”
บอล: “ผมว่า What the F*** มันมีทุกวัน แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงจากประสบการณ์ที่เราทำงาน มันขึ้นอยู่กับวิธีที่เรามองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน ถ้าเรามองเรื่องไหนเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องนั้นก็จะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ทุกเรื่อง ทุกวัน แต่พอเรามีประสบการณ์ เราใจเย็น มีสติ พินิจพิเคราะห์กับมันให้ดี เรื่องบางเรื่องก็อาจจะไม่ได้ใหญ่อย่างที่คิด และเราจะหาวิธีผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้”
บอล-ต่อพงศ์ จันทบุบผา
มอย-สามขวัญ ตันสมพงษ์
ออน-ชิชญาสุ์ กรรณสูต
แฟรงค์-นัฐพงษ์ สุทธิวิรีสรรค์