WEDNESDAY’S CHILD กัปตัน – ชลธร คงยิ่งยง

02.10.18 1,647 views

ชีวิตผกผันจากนักกีฬาแบดมินตันผู้มีความฝันอยากเป็นเชฟ สู่การเป็นนักแสดงซีรีส์วัยรุ่นหลายเรื่องติดต่อกัน จนเริ่มมีชื่อเสียง ตามมาด้วยความเบื่อหน่ายกับชีวิตนักแสดงที่ดูเหมือนไร้จุดมุ่งหมาย และเรื่องราวมากมายตามหน้าข่าวบันเทิง วันนี้เราได้พบกับ ‘กัปตัน-ชลธร คงยิ่งยง’ ที่เติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขามาพร้อมไฟลุกโชนและกล้าเผชิญกับเรื่องท้าทายต่างๆ เขาค้นพบความสุขบนเส้นทางบันเทิง และกลายเป็นเด็กหนุ่มที่มุ่งมั่นเดินหน้าเพื่อพิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้จักกับความพยายามของเขาใน ‘เลือดข้นคนจาง’ ผลงานแรกจากโปรเจ็กต์ 9×9 ที่เป็นการเติมเชื้อไฟให้กับศิลปินหนุ่มดาวรุ่งคนนี้


ช่วงนี้กัปตันดูซุ่มเงียบ จริงๆ แล้วกำลังทำอะไรอยู่บ้าง

ช่วงนี้ก็มีโปรเจ็กต์ 9×9 งานเดียวครับ ซึ่งเริ่มมาประมาณ 2 ปีแล้ว ตอนนั้นได้รับการติดต่อจาก 4NOLOUGE ให้มาแคสต์โปรเจ็กต์นี้ เขาเล่ารายละเอียดว่าเป็นโปรเจ็กต์สร้างศิลปิน พัฒนาให้ศิลปินมีความสามารถเพิ่มขึ้นอีกระดับหนึ่ง พอเราได้ฟังก็รู้สึกอยากทำมาก เพราะช่วงก่อนหน้านั้นผมค่อนข้างเบื่องานแสดงแล้ว เหมือนคนที่เล่นซีรีส์ไปเรื่อยๆ ไม่มีเป้าหมายในชีวิต พอเราได้ฟังแล้ว เราเห็นเป้าหมายใหม่ ที่ทำให้เราอยากเก่ง อยากทำผลงานให้ทุกคนยอมรับมากขึ้นครับ

  ช่วง 3 เดือนแรกเป็นช่วงแห่งการเรียน ทั้งเต้น ทั้งร้อง เรียนการแสดงใหม่ และฝึกซ้อม ลูปชีวิตของผมคือตื่นมา 7 โมงเช้า ไปเรียนตั้งแต่ 9 โมง เรียนเสร็จซ้อมตอน 1 ทุ่ม เสร็จตี 2 กลับบ้านนอน เราก็กัดฟันสู้ตาย เหมือนเป็นเด็กฝึกหัดครับ ไม่ผ่านก็คัดออก มีการให้คะแนนทุกเดือน อย่างช่วงเรียนเต้นก็ต้องเต้นตรงกลางวง คนเดียวต่อหน้าทุกคน เราว่าเราพยายามเต็มที่แล้ว กลับบ้านยังกลับมาซ้อมอีก แต่ก็ยังโดนด่าเละ “ถ้าไม่ดีกว่านี้ก็ออกแล้วกลับบ้านไป” นี่แค่เต้นเองนะครับ ยังไม่นับเรื่องการแสดงที่ผมไม่อยากทำแล้วอีกนะ

  (แรงผลักดันอะไรที่ยอมสู้ตาย?) ผมว่าโปรเจ็กต์นี้เป็นทั้งชีวิตของเรา ณ ตอนนี้ครับ นอกจากกลับไปซ้อมเพิ่ม ผมยังไปหาเวลาเรียนเพิ่มเองทั้งเต้น ร้องเพลง และการแสดง เหมือนเรียนพิเศษ เพราะผมไม่อยากออกไง (ยิ้ม) ในทุกๆ เดือนผมมีพาร์ตเนอร์นั่งร้องไห้คู่กันอีกคนคือ ‘เติร์ด’ กอดคอร้องไห้เงียบๆ ในมุมมืดกันอยู่ 2 คน จนวันหนึ่งที่มีชื่อเราในโปรเจ็กต์ ผมดีใจนะ ในขณะที่มีความรู้สึกเสียใจด้วย เพราะก็มีเพื่อนเราหลายคนที่ต้องออกไป ผมอยู่วงการบันเทิงมา 4-5 ปี ก็พอมีเพื่อนบ้าง แต่ไม่ใช่เพื่อนสนิท แทบไม่มีคนที่จะไปแฮงเอาต์หรือกินข้าวกัน แต่การมาอยู่ที่นี่มันเหมือนมีครอบครัวเพิ่ม มันได้อยู่ร่วมกับคนที่มีแอตติจูดตรงกัน ความคิดบางอย่างที่เข้ากับเรา มันสนุก  เหมือนเรารู้สึกเซฟเมื่ออยู่กับคนพวกนี้ ทำอะไรก็ทำได้เต็มที่

ขีดเส้นใต้อีกครั้งกับการที่บอกว่าไม่อยากทำงานแสดงอีกแล้ว

ผมมาจากการเป็นนักกีฬาแบดฯ ครับ มีเพจๆ หนึ่งติดต่อเรา แล้วมันก็เริ่มมีงานแสดงซีรีส์เข้ามาเรื่อยๆ ณ ตอนนั้นก็เล่นไปเฉยๆ ไม่มีการคาดหวัง ไม่รู้จักการแสดงละคร ทำไม่เป็น แค่มีบทมาให้แล้วก็ลองผิดลองถูกไป ทำไปแค่ 4-5 เรื่องเราเริ่มรู้สึกเหมือนกับว่าเราไม่มีเป้าหมายอะไร ผมไม่อยากทำงานละครแล้วจริงๆ อยากตัดออกจากชีวิต แต่ในโปรเจ็กต์มันมีครบหมดเลยทั้งงานเพลง คอนเสิร์ต ที่ต้องมีการเรียนเต้น เรียนร้องเพลง มันคือการเป็นศิลปินที่ต้องใช้ตัวเองผลิตผลงานขึ้นมา ต้องทำได้ทุกอย่าง เต้นได้ ร้องเพลงได้ เอ็นเตอร์เทนคนได้ และต้องแสดงได้ ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่ผมอยากทำ แต่ติดตรงที่มันมีส่วนของงานละครพ่วงท้ายมาด้วย ตอนแรกเราเครียดมาเลยนะ

  ยิ่งพอมาเรียนพาร์ตการแสดง ที่ต้องไปเจอครูสอนการแสดงที่เฮี้ยบสุดๆ เข้าไปเรียนปุ๊บ โดนด่ากลับมาไม่เหลือซากเลย “ได้แค่นี้เองเหรอ นี่เรียกแสดงแล้วเหรอ” มันช็อก เราทำของเรามาแบบนี้ แต่พอได้เจอคนที่เขาทำงานจริงๆ ได้ทำงานกับคนทำงานจริงๆ ทำให้เรารู้ว่าที่เราเคยทำมามันไม่ใช่เลยว่ะ ผมเลยเรียนเพิ่ม คนทั่วไปเขาเรียนกันอย่างมากก็ 10 ครั้ง แต่ของผมนับๆ ดูแล้วประมาณ 70 ครั้ง ครั้งละ 4-5 ชั่วโมงได้ จนทำให้เราเริ่มซึมซับไปกับการใช้ชีวิตหลายแบบ ไม่ได้โฟกัสแต่ตัวเอง เราเริ่มโฟกัสคนอื่นแล้ว เริ่มเรียนรู้สิ่งรอบตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเอาจริงขึ้นมาทำให้รู้สึกว่าการแสดงไม่ได้แค่การอ่านบทแล้วไปพูดหน้ากองถ่ายอีกต่อไปแล้ว เราอินมากขึ้น


การร่วมงานกับย้ง ทรงยศ ในละครเรื่องเลือดข้นคนจาง เป็นอย่างไรบ้าง

ช่วงแรกไม่อยากถ่ายไม่อยากเล่น ผมกลัวพี่ย้งนะ คือผมเป็นคนที่ไม่ชอบถูกกดดัน อยากข้ามพาร์ตนี้ไปเลย แต่จากที่เรียนมาเยอะๆ มันก็ดีมาก คือเราก็มีโดนดุบ้าง ที่ผ่านมาเรารู้สึกว่าตัวเองศูนย์ การทำงานแบบพี่ย้งคือต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเราได้เพิ่มขึ้นจากศูนย์มาเยอะมาก มันก็รู้สึกว่าเราทำได้มากขึ้น นอกจากผู้กำกับแล้ว เรื่องนี้เราต้องเจอนักแสดงรุ่นใหญ่เยอะมาก

  เรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัวคนจีน ซึ่งผมอยู่ในครอบครัวใหญ่มีพี่ชายซึ่งก็คือพี่ต่อ และน้องชายอีก 2 คนคือเติร์ดและแจ๊คกี้ ในเรื่องคือผมเป็นลูกชายคนกลางที่รู้สึกว่าแม่ (แหม่ม-คัทลียา แมคอินทอช) สนใจแต่พี่ชาย และน้องชาย เป็นคนที่มีปัญหาในตัวเอง เลยคอยตามแม่เหมือนเป็นเลขาฯ ของแม่ ซึ่งตอนท้ายๆ เรื่องทุกคนจะเริ่มเข้าใจปัญหาของตัวละครนี้ มันเป็นซีนที่ผมชอบเป็นพิเศษด้วย มันมีการปลดล็อกตัวละครเกิดขึ้น มันจะทำให้หลายคนจะเข้าใจอะไรบางอย่างเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับแม่ในชีวิตจริงมากขึ้น  

ครอบครัวของกัปตันในชีวิตจริงแตกต่างจากซีรีส์อย่างไร

ผมเป็นลูกคุณโต มีน้องสาวหนึ่งคน มันต่างจากในซีรีส์พอสมควร เพราะในชีวิตจริงผมเป็นลูกที่ไม่ค่อยคุยกับใคร เคยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผมกลับมาบ้าน เจอพ่อแม่ยกมือไหว้สวัสดี แล้วเดินขึ้นห้องเลย ยิ่งกับน้องสาว ยิ่งไม่ค่อยคุยเลย อายุเราห่างกันเยอะ ประมาณ 7 ปีครับ มันทำให้เราไม่สามารถคุยอะไรหลายๆ อย่างกันได้ จนพ่อแม่ชอบบอกให้เราคุยกับน้องบ้าง ซึ่งก็เพิ่งมาคุยกันมากขึ้นช่วง 2 ปีที่ผ่านมานี้เองครับ อย่างในละครผมเป็นลูกขี้น้อยใจ มีความน้อยใจแม่ แต่ในชีวิตจริงผมไม่ขี้น้อยใจนะ แต่แม่จะขี้น้อยใจผมมากกว่า (ยิ้ม)

ครอบครัวของกัปตันมีกฎระเบียบอะไรไหม

ก็ค่อนข้างมีกฎระเบียบอยู่ครับ ที่บ้านชอบให้อยู่กับความถูกต้อง เป็นคนดี อย่านอกลู่นอกทางเยอะ ถ้าจะดุก็จะเป็นเรื่องที่ควรดุ สำหรับผมแล้วครอบครัวผมเหมือน…อืม จริงๆ ครอบครัวก็คือกำลังใจที่มีให้เราครับ  

รู้สึกถึงความเติบโตของตัวเองบ้างไหม

 

ทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต พ่อแม่คือคนที่อยู่กับเรา ไม่ได้ทิ้งเราไปไหน ไม่ได้จะทำร้ายเรา เป็นคนที่เราควรรักและให้ความสำคัญ นอกจากนี้ผมรู้สึกเข้าใจอะไรหลายอย่างมากขึ้น เหมือนการได้ทำงานที่เราชอบจริงๆ มันสอนให้เราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้น ไม่ใช่ว่าเราทำงานไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมายในชีวิต เหมือนคนไม่มีแรงผลักดันในชีวิต แล้วอะไรหลายๆ อย่างก็เริ่มเลื่อนไหลไปเอง ผมรู้สึกว่าเมื่อเรารู้ว่าเราชอบอะไร เราจะรู้จุดของเราว่าตรงไหนพอ เราไม่ได้คาดหวังอะไรที่ตามมา มันทำให้เราโฟกัสกับปัจจุบันมากกว่า