มุมมองในการเลี้ยงลูกชายทั้งสามของแม่ปิ่น เก็จมณี

Written by  
14.08.18 4,315 views
Written by  

14.08.18 4,315 views

มาฟัง ปิ่น-เก็จมณี วรรธนะสิน เล่าถึงเรื่องราวระหว่างการตั้งครรภ์ และมุมมองการเป็นแม่ ของลูกชายทั้ง 3 คน เจ้านาย-เจ้าขุน-เจ้าสมุทร  ว่ามีวิธีการในการรับมือและเลี้ยงดูลูกชายทั้งสามคนอย่างไร? บอกเลยว่าละเอียดมาก



ถ้ายึดเอาวันแม่แห่งชาติเป็นหลัก คุณซาบซึ้งกับวันแม่แห่งชาติในฐานะแม่มากี่ปีแล้ว

ถ้านับตามอายุเจ้านายก็ 17 ปี แต่ปีแรกที่คลอดเจ้านาย ปิ่นยังอยู่ที่อเมริกา เลยยังไม่รู้สึกตื่นเต้นกับวันแม่เท่าไรนัก แต่อันที่จริง ความรู้สึกเป็นแม่ก็เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนรู้ว่าตัวเองตั้งท้อง ทั้งตื่นเต้นและตกใจมากเพราะไม่ได้ตั้งตัวมาก่อน แล้วก็ไม่ได้ตั้งตัวกับการท้องทั้ง 3 ครั้งเลยค่ะ (หัวเราะ) เป็นความบังเอิญที่ได้รับของขวัญจากพระเจ้าที่ดีมาก ถามว่ามีความสุขไหมมีความสุขมาก แล้วปิ่นก็มีความสุขกับการเป็นแม่ อยากจะท้องตลอดเวลา (หัวเราะ)

 

นอกจากความสุข คุณเคยเหนื่อยหรือท้อบ้างไหม เพราะที่จริงในยุคนี้ก็มีคุณแม่หลายๆ คนบ่นเรื่องการเลี้ยงลูกให้เห็นตามโซเชียลฯ อยู่เสมอๆ

รู้สึกแค่บางช่วง เช่น เหนื่อยกับอาการแพ้ท้องบ้าง หรือเหนื่อยกับการเลี้ยงลูกเองแบบไม่มีใครช่วย แต่ก็เป็นความตั้งใจของเราเองว่าจะเลี้ยงลูกด้วยตัวเองทั้ง 3 คน อยากให้ลูกเป็นผลิตผลจากเรา ไม่ใช่ผลิตผลจากพี่เลี้ยง หรือคุณปู่คุณย่า
คุณตาคุณยาย เพราะเราอยากให้เขาเป็นไปอย่างที่เราคาดหวังไว้ ซึ่งก็ไม่ใช่ความคาดหวังหรอก เราแค่อยากจะปูแนวทาง
ให้เขาเป็นในแบบนี้ เพราะถ้าลูกถูกสปอยล์มากเกินไป เราจะมาเสียใจทีหลัง ปิ่นจึงทุ่มเทเต็มที่ ทำงานไปด้วย เลี้ยงลูกไปด้วย แต่ก็ไม่ได้ทำงานหนัก เพราะอยากทุ่มเทเวลาส่วนใหญ่ให้ลูก แล้วผลก็ออกมาได้ดั่งใจมาก

 

ตั้งแต่ตอนแรกที่ตั้งใจว่าจะต้องเลี้ยงลูกเอง เคยเกิดความ ลังเลในใจบ้างไหม

ไม่ลังเลเลยค่ะ ตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าจะเป็นแม่คนก็ตั้งใจที่จะเปลี่ยนทุกอย่าง สิ่งที่ไม่ดีจะปรับให้ดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้เกินความเป็นตัวของตัวเอง บางทีก็นำสิ่งที่แม่เลี้ยงเรามาปรับใช้กับลูก แต่บางอย่างที่เรารู้สึกว่าแบบนี้เราไม่ชอบ เราไม่อยากได้ไม่อยากเป็น เราก็จะไม่ทำกับลูก ฉะนั้นเราจึงปรับทั้งสิ่งที่คุณแม่เลี้ยงเรามา และสิ่งที่เราขาดไป มาชดเชยให้กับลูก

 

คุณแม่เลี้ยงคุณมาแบบไหน

ปิ่นโตมากับการที่คุณตาคุณยายเลี้ยงเป็นส่วนใหญ่ เพราะคุณพ่อกับคุณแม่แยกทางกันตั้งแต่ปิ่นอายุ 2 ขวบ พี่ชายอยู่กับพ่อ ปิ่นอยู่กับแม่ ซึ่งแม่ก็จะแมนมาก เป็นผู้หญิงที่แข็งแกร่ง แม้จะดูแข็งๆ หน่อย แต่เราก็กอดกัน รักกัน พอแม่ออกไปทำงาน คุณตาคุณยายก็เป็นคนเลี้ยง ปิ่นเลยชอบอยู่กับผู้ใหญ่ และรับประทานอาหารเหมือนคนโบราณ 

 

ต้องเรียบร้อยเป็นผ้าพับไว้เลยไหม

ใช่ค่ะ คลานเข่าเลย กิริยามารยาทนี่ไม่ต้องห่วงเลย ตั้งแต่เล็กก็อยู่โรงเรียนราชินี แต่ด้วยความที่คุณแม่ไปเรียนที่อังกฤษตั้งแต่เด็กก็เลยเอา 2 อย่างมาผสมกัน แม่ก็จะเลี้ยงแบบเป็นเพื่อนกัน แต่ก็ต้องมีกิริยามารยาทเป็นคนไทย ต้องมีสัมมาคารวะ ต้องพูดจาไพเราะ สุภาพ 

 

ถือว่าคุณโตมาในกรอบเลยไหม หรือมีอิสระคิดเองทำเองได้

อยู่ในกรอบขนบธรรมเนียมประเพณีไทยมาก แต่ในแง่ของความคิดก็มีอิสระ คุณแม่ก็ไม่ได้ห้ามไปหมดทุกอย่าง เราเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้กันและกันฟังตั้งแต่เล็กจนโต ทุกวันนี้ก็ยังคุยกันทุกเรื่องเหมือนเดิม

 

ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่คุณเอามาใช้กับลูก

ใช่ค่ะ

 

แล้วอะไรที่ไม่ชอบและไม่นำมาใช้กับลูกเรา

เช่น แม่จะไม่ค่อยหวาน แม่จะไม่เคยชมเราเลย ปิ่นเคยถามเขาเหมือนกันว่าทำไมเวลาเราทำดีถึงไม่ชม เขาก็บอกว่าไม่อยากให้เหลิง อยากให้ทำให้ดีกว่านี้ แค่นี้ยังไม่พอ ซึ่งบางทีเราก็โหยหาตรงนั้นเหมือนกัน เราจึงปรับนำมาใช้กับลูก ปิ่นชมลูกทุกครั้งที่เขาทำดี เพื่อให้เขากระตือรือร้นที่จะทำดีมากขึ้นไม่อย่างนั้นเด็กอาจจะรู้สึกว่าทำไปก็เท่านั้น ไม่มีอะไรดึงดูดใจให้ทำ แต่แม่เราจะมองอีกแบบนึง มองว่าอยากให้เราเป็นคนที่แข็งแกร่ง ทำอะไรด้วยตัวเองได้ อย่างตอนปิ่นแพ้ยา ท้องเสีย และอาเจียนหนักมากตอนอายุ 14 ปี แม่ก็บอกว่าขับรถได้แล้วก็ขับรถไปหาหมอเองสิ โตแล้วก็ต้องช่วยเหลือตัวเองอีกหน่อยจะได้ไม่ต้องพึ่งใคร โหดมาก แต่ทุกวันนี้ก็ขอบคุณเขานะคะ เพราะทุกวันนี้เราก็ทำอะไรได้ด้วยตัวเองจริงๆ แต่พอเริ่มวัยรุ่นเราก็เริ่มเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น มันก็จะมีช่วงวัยรุ่นที่ลูกสาวกับแม่จะแจ๊ดๆ ใส่กัน จนมาทุกวันนี้พอเจอลูกแจ๊ดๆ ใส่ เราก็นึกถึงตัวเองตอนที่เถียงแม่ว่าแม่จะรู้สึกยังไง เพราะปิ่นเฮิร์ตมาก แอบจิกหมอนร้องไห้ก็มีบ้าง แต่ก็เข้าใจลูก เพราะตอนที่เราอายุเท่านี้ก็เป็นแบบนี้ แต่การที่เราจะไปพูดกับลูกว่าตอนแม่อายุเท่าลูก แม่ก็เป็นแบบนี้ก็ไม่ได้ เดี๋ยวเขาจะได้ใจ 

 

การที่คุณพ่อคุณแม่แยกทางกันตั้งแต่คุณยังเด็ก ส่งผลอะไรต่อจิตใจบ้างไหม

น้อยมากค่ะ ด้วยความที่บ้านคุณตาคุณยายอยู่กันแบบครอบครัวใหญ่ มีทั้งคุณป้าคุณน้าคุณอา โดยเฉพาะคุณน้าซึ่งเหมือนเป็นแม่คนที่สองของเรา แล้วยังมีน้องสาวอีก 3 คน คนเยอะมากจนแทบไม่รู้สึกขาด มีดราม่าบ้างตอนปิ่นไปอยู่อเมริกาที่บ้านคุณป้า ซึ่งครอบครัวเขามีพ่อ แม่ และลูกสาว 2 คน จนมีวันนึงอยู่ดีๆ เราก็คิดขึ้นมาว่าบ้านที่เขามีพ่อมันเป็นอย่างนี้เองเหรอ อยากมีเหมือนกันนะ ก็มีแอบร้องไห้ครั้งเดียว แต่คุณพ่อกับคุณแม่ของปิ่นไม่ได้เกลียดกัน ช่วงซัมเมอร์ปิ่นก็จะไปอยู่บ้านคุณพ่อกับคุณปู่คุณย่า ก็เลยไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย

เมื่อไรที่คุณรู้สึกว่าเราอยากสร้างครอบครัวของตัวเอง นี่เป็นการวางแผนร่วมกันกับเจ (เจตริน วรรธนะสิน) รึเปล่า

(ถอนหายใจเบาๆ) ไม่เลยค่ะ (หัวเราะ) ไม่ได้ตั้งใจค่ะ ก็คือเราเป็นแฟนกันมานานมาก เลิกกัน กลับมาดีกัน ไปเรียนเมืองนอก แยกกัน กลับมาเจอกันอีก เกิดปัญหาอะไรเยอะแยะระหว่างทาง จนกระทั่งเหมือนกับว่าก็คงต้องเป็นคู่กันแล้วล่ะ คงไม่ไปไหนแล้วมั้ง เลยคิดว่าน่าจะเป็นครอบครัวที่อยู่กันไปตลอด แล้วเราก็เป็นคริสต์ทั้งคู่ เราสัญญาสาบานกันต่อหน้าพระเจ้าแล้วว่าเราจะรักและดูแลกันตลอดชีวิต คิดว่าสิ่งนี้ทำให้เราอยู่ด้วยกัน แล้วเราก็สอนให้ลูกเห็นว่าผู้หญิงกับผู้ชายอยู่ด้วยกันย่อมต้องมีปัญหาเกิดขึ้นบ้าง โดยพื้นฐานแล้วเราจึงต้องรู้จักเรียนรู้กันก่อนที่จะแต่งงาน ไม่ใช่ว่ารักกันแป๊บเดียวแล้วแต่งเลย หรืออยู่กันไปแบบไม่ต้องแต่ง แบบนั้นครอบครัวก็จะไม่สมบูรณ์ นี่เป็นหลักการในการสอนลูกเรื่องคู่ครอง หรือในการที่จะใช้ชีวิตคู่ให้ยาวนาน เราคุยกันเยอะในครอบครัว

 

คุณเพิ่งเริ่มสอนตอนพวกเขาเป็นวัยรุ่นแล้วเหรอ

สอนตั้งแต่เล็กๆ เลยค่ะ โดยเราทำเป็นตัวอย่างให้เห็น ยกตัวอย่างให้ดู สิ่งที่เราไม่ดีก็มี เช่น ใจร้อน ทะเลาะกันเสียงดัง เห็นไหมว่าผลลัพธ์เป็นยังไง 

 

ตอนตั้งท้องเจ้านาย แม้จะไม่ทันตั้งตัว แต่คุณก็พร้อมที่จะเป็นแม่แล้วใช่มั้ย

พร้อมตลอดเวลา ปิ่นเป็นคนรักเด็กมากมาแต่ไหนแต่ไร พอรู้ว่าท้องปุ๊บ โอ้ เราจะเป็นแม่แล้ว เพราะฉะนั้นก็จะต้องทำตัวให้พร้อม อ่านหนังสือเป็นหีบเลย ปรึกษาคุณแม่ ปรึกษาคุณหมอ เอาหลายๆ ตำรามาปรับ และดูแลเรื่องสุขภาพ เลิกอบายมุขทุกอย่าง จากที่เคยเป็นสาวเปรี้ยว อินดี้มาก ชนิดที่ไม่อยากคุยกับใครเวลาตื่นนอนก็ไม่ได้แล้ว เพราะเรารู้สึกว่าเราต้องคุยกับลูกในท้อง เราต้องสื่อสารกับเขา ถ้าเราอารมณ์เหวี่ยง เดี๋ยวลูกเราจะเลี้ยงยาก ปรับตัวเองทุกอย่างกระทั่งอาหารการกิน บางทีอยากจะตามใจปากมาก อยากกินซูชิ ซาชิมิสดๆ ส้มตำเผ็ดๆ แต่ก็ไม่กิน ผงชูรสก็ไม่ได้ น้ำอัดลมก็ไม่ได้ น้ำส้มสายชู ก็ไม่ได้ เรายอมเสียสละทุกอย่าง

 

โดยที่ไม่ฝืน

ไม่ฝืน ถ้าฝืนน่าจะเป็นตอนลูกคนที่ 2 เพราะตัวเองเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นแม่บ้านที่โดนจับขังอยู่แต่ในบ้าน ตอนนั้นอยู่เมืองไทยแล้ว เหงา เบื่อ เหมือนขาดสังคม ก็เครียดอยู่พักนึง (เจ้าขุนผละตัวจากการถ่ายรูปมาทักแม่ปิ่น) เนี่ยค่ะ คนนี้ที่ทำให้เครียดกว่าคนแรก ตอนนั้นเพิ่งรับงานละครได้อาทิตย์นึง แล้วเพิ่งรู้ตัวว่าท้อง ก็เลยต้องทำงานไปด้วยโดยที่ห้ามอ้วน เพราะละครต้องคอนทินิว แต่กางเกงเปลี่ยนไซส์ตั้งแต่ S ไป M จบด้วย L สุดท้ายกระดุมเปิด (หัวเราะ) แล้วก็ต้องเล่นบทร้าย จำได้ว่ามีฉากต้องเล่นวินด์เซิร์ฟและตกวินด์เซิร์ฟ ปรากฏว่าตกไปโดนแมงกะพรุนไฟพาดทั้งขาโดยไม่รู้ตัว ต้องส่งโรงพยาบาลด่วน เราก็กลัวมากว่าลูกเราจะพิการไหม พิษจะเข้าไปในกระแสเลือดรึเปล่า โชคดีที่ไม่โดนท้อง คุณหมอบอกถ้าพาดไปที่ท้องก็ไม่แน่ อาจจะพิการ ขุนเลยออกมาสุดๆ แบบนี้ค่ะ ฤทธิ์เดชดีดปึ๋งปั๋ง (หัวเราะ)

 

แล้วตำนานของเจ้าสมุทรล่ะ

ก็ไม่ได้ตั้งใจอีก พลาดทั้งหมด แล้วเราก็หวังว่าลูกคนที่ 2 จะเป็นผู้หญิงเนอะ เขาบอกว่าถ้าเรารักสวยรักงามลูกจะออกมาเป็นผู้หญิง ช่วงนั้นเราก็ชอบแต่งตัว เก็บดอกไม้มาทัดหู แต่คิดไปเอง เพราะพออัลตราซาวด์ตอน 5 เดือนก็รู้ว่าเป็นผู้ชายอีกแล้ว พอมาคนที่ 3 อัลตราซาวด์ออกมาไม่มีจู๋ ดีใจมาก โทรหาเจ ซึ่งกำลังตีกอล์ฟอยู่ ร้องเย้กันดังลั่น ช่วยกันคิดว่าจะชื่ออะไรดี ชื่อเจ้าขาดีไหม มีการถ่ายคลิปวิดีโอเจ้านายกับเจ้าขุนคุยกับน้องเจ้าขาที่อยู่ในท้องด้วยนะ พอเดือนที่ 5 หมอบอกว่าปิ่น…มีแหลมๆ อีกแล้ว กรี๊ดเลย แต่เป็นกรี๊ดแบบอยากร้องไห้ (หัวเราะ) แล้วก็ปรับอารมณ์ค่ะ ผู้ชายก็ผู้ชาย สนุกดี ก็เลยต้องเปลี่ยนชื่อเป็นเจ้าสมุทร เพราะว่าตอนท้องคนนี้ปิ่นชอบว่ายน้ำและดำน้ำมาก พอคลอดออกมาเจ้าสมุทรก็ชอบว่ายน้ำ ว่ายน้ำได้ตั้งแต่อายุ 4 เดือน สามารถดำน้ำว่ายมาหาแม่ได้ แต่เจทำคลิปวิดีโอหายไปแล้ว เสียใจมาก 

 

พูดถึงประสบการณ์ในการเลี้ยงลูกคนแรก คุณเลี้ยงเจ้านายแบบไหน

อาจจะประคบประหงมเยอะหน่อย เพราะเจ้านายเกิดก่อนกำหนดด้วย ก็เลยต้องดูแลห่วงใยเป็นพิเศษ พอคนที่ 2 ก็ค่อยๆ ปล่อย และเริ่มมีพี่เลี้ยงมาช่วยแล้ว ตอนเลี้ยงเจ้านาย 4 เดือนแรกไม่มีใครช่วยเลย ทำเอง 100% เพราะคลอดที่เมืองนอก แต่ก็มีคุณแม่กับน้องสาวบินจากอังกฤษมาอยู่ด้วย ก็โอเคหน่อย 

 

ในการเลี้ยงลูกต้องพูดคุยปรึกษากับสามีว่าอย่างไรบ้าง

ตั้งแต่ลูกยังเล็กก็จะให้ปิ่นเป็นหลัก แล้วยกให้เจดูแลเรื่องใหญ่ๆ อย่างเรื่องงาน เรื่องเงิน แต่ถ้าเป็นเรื่องในบ้าน เรื่องลูก ก็จะยกให้ปิ่น แต่พอลูกโตเป็นวัยรุ่นแล้วต้องช่วยกัน เพราะเป็นลูกชาย เราอาจจะต้องโยนไปให้พ่อเสียส่วนใหญ่ สำหรับเล่นกิจกรรมแมนๆ เรื่องแฟน เรื่องผู้หญิง เพราะเราเป็นแม่เขาอาจจะต่อต้านนิดหน่อย แต่กับพ่อเขาก็คุยกันแมนๆ 

 

เลี้ยงดูแบบธรรมดา แต่พวกเขาเกิดมีความเป็นสตาร์ด้วยตัวเองเหรอ

คือมันมาเองเลยนะ ไม่ได้แนะนำให้ทำ คงเพราะเขาเห็นเรามาตลอด ไปอยู่กองถ่ายแม่ ตามไปคอนเสิร์ตพ่อ เจ้านายร้องเพลงพ่อได้ตั้งแต่ 2 ขวบ เราหิ้วกันไปตลอด 

 

คุณเป็นแม่ที่ไม่เคยคิดพักจากโลกของการทำงานเลยเหรอ

 

มีพักเป็นบางช่วง แต่หลังจากคลอดเจ้านาย 4 เดือนก็กลับไปทำงานถ่ายละครตามปกติ พอท้องอีกก็ถ่ายละครไปด้วยตอนท้อง แล้วก็หยุดพัก พอเจ้าสมุทรก็เป็นพิธีกรรายการเด็ก ทำงานไปเรื่อยๆ ปิ่นรู้สึกว่าคนท้องไม่ใช่คนป่วย เราอยากทำตัวเองให้เป็นปกติ จะได้แข็งแรงด้วย ถ้าให้อยู่บ้านเลี้ยงลูกอย่างเดียวคงอกแตกตาย เบื่อมากแน่ๆ เลย ไม่ชอบเป็นคุณนาย