Unlocked Girl – เฌอปราง อารีย์กุล

Written by  
22.10.18 1,738 views

ทุกครั้งที่เราเห็นเฌอปราง อารีย์กุล หรือ ‘แคปเฌอ’ ภาพลักษณ์ของกัปตันสุดแกร่งแห่งวง BNK48 คนนี้เต็มไปด้วยความสมบูรณ์แบบ เป็นที่พึ่งพาของคนในวง รวมถึงเป็นไอดอลที่ส่งต่อแรงบันดาลใจ ความสดใสและร่าเริงให้กับทุกคนตลอดมา จนกระทั่ง ‘เฌอปราง’ โคจรมาเจอกับ ‘พาย’ เด็กสาวนักเรียนดีเด่นที่แฝงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอ่อนไหว นอกจากเป็นการพิสูจน์ฝีมือการเล่นหนังเรื่องแรกอย่าง Homestay ของเฌอปรางแล้ว ดูเหมือนว่าพายจะปลดล็อกอีกด้านหนึ่งที่ถูกกดไว้ลึกสุดในใจของ ‘กัปตัน’ ออกมาให้คนอื่นเห็นกันมากขึ้น 


เล่นหนังเรื่องแรกในชีวิตเป็นอย่างไรบ้าง

ตื่นเต้นมากค่ะ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะได้ไปอยู่บนจอภาพยนตร์ ก่อนหน้านี้เฌอเป็นคนชอบดูหนังอยู่แล้ว ดูอยู่แทบจะทุกอาทิตย์เลย แต่ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะมาเป็นนักแสดง ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสแบบนี้ในชีวิต

 

อะไรทำให้เฌอปรางมาแสดงภาพยนตร์เรื่อง Homestay

พี่โอ๋ ภาคภูมิ ผู้กำกับเขาเรียกเข้าไปแคสติ้งค่ะ แต่ไม่ได้บอกว่าเล่นบทอะไร เฌอไม่คิดมาก่อนว่าเขาจะเลือกเฌอ เพราะเฌอแสดงไม่เป็น เราก็บอกเขาไปตามตรงว่าไม่รู้ต้องทำยังไงนะคะ แต่ถ้ามีโอกาสได้ทำอะไร เฌอก็อยากทำ เขาวางใจให้เราทำก็ต้องทำให้ดีที่สุด แสดงความเป็นพายออกมาให้ดีที่สุดกับบทที่เขาเขียน

 

คิดว่าตัวละคร ‘พาย’ เป็นคนแบบไหน เหมือนหรือแตกต่างจากตัวเองอย่างไร

พายเป็นเด็กที่ตั้งใจเรียนมาก เป็นเด็กต่างจังหวัดที่ได้ทุนมาเรียน แล้วก็ตั้งใจสอบมากๆ ส่วนเฌอก็เป็นเด็กกิจกรรมที่เรียนไปด้วยเหมือนกัน แต่ไม่เก่งถึงขั้นไปสอบโอลิมปิกได้แบบพาย (หัวเราะ) ค่อนข้างคล้ายเฌอแค่ตัดพาร์ตการเป็นไอดอล พาร์ตเป็นคนสดใส ร่าเริง สนุกสนานเฮฮา แล้วที่เหลือของตัวละคร ‘พาย’ จะเป็นเฌอ เป็นคนจริงจัง เป็นเด็กหน้าห้องตั้งใจเรียน อีกเรื่องที่เหมือนกันคือพายกับเฌอบ้านเกิดอยู่ที่จังหวัดสงขลาเหมือนกัน ซึ่งหนูไม่เคยอ่านบทมาก่อน คนเขียนบทเองก็ไม่เคยรู้จักเฌอมาก่อน แต่กลับเขียนให้พายเกิดที่จังหวัดสงขลา เป็นเรื่องที่บังเอิญมากๆ

 

ยากไหมกับการแสดงจริงจังครั้งแรก

เฌอไม่มีพื้นฐานการแสดงมาก่อน ไม่เคยทำงานด้านนี้มาก่อนเลย ต้องเริ่มนับศูนย์ใหม่ตั้งแต่แรก เฌออ่อนหมดติดลบจริงๆ ไม่รู้ถึงขนาดว่าต้องออกเสียงยังไง การขยับท่าทางหรือการพูดให้ชัดๆ เป็นยังไง ต้องเล่นกับมุมกล้องยังไง บางทีพอมีอินเนอร์แล้วแต่ลักษณะท่าทางไม่แสดงออกมา มันก็ไม่รู้สึก ต้องปรับในแต่ละฉากไปให้ค่อยๆ ดีขึ้น ตอนแรกยังงงอยู่ว่าอะไรคือการเข้าบท เฌอต้องเริ่มตั้งแต่สั่งคัตกับแอ็กชั่นคือยังไงตอนไหน ทุกอย่างในกองเริ่มใหม่หมดเลย

 

อยากรู้ว่าในกองถ่าย เฌอปรางถูกสั่งเทกเยอะแค่ไหน

พี่โอ๋เขาไม่ปล่อยจริงๆ นะ ไม่ปล่อยเลย หลายเทกอยู่ แต่มันก็แสดงจนได้ ฝึกซ้อมจนเฌอออกกล้องได้ ออกกองได้ เขาให้เฌอทำจนได้ เฌอรู้สึกว่าแค่เรามีเวลาศึกษาก็จะทำได้ เพราะฉะนั้นเป็นบทพิสูจน์อีกอย่างหนึ่งว่าขีดจำกัดที่เฌอคิดว่ามีในการแสดงเป็นคนอีกคนหนึ่งของเฌอมันหายไปแล้ว แล้วเฌอคิดว่าถ้ามีเรื่องอื่นในชีวิตเฌอให้ทำอะไรก็คงทำได้ แต่แค่ขอเวลาหน่อย (หัวเราะ)

 

อย่างคลาสเรียนต่างๆ ใน BNK48 ก็มีคลาสแอ็กติ้งเหมือนกัน เราได้นำทักษะที่เรียนมาใช้ประโยชน์ในการแสดงภาพยนตร์ขนาดไหน

มีค่ะ แต่เป็นแอ็กติ้งสำหรับการเป็นนักร้อง การเป็นศิลปิน การอยู่บนเวที การดึงอารมณ์เพลงเฉยๆ จะไม่ได้ลงไปถึงขั้นการแสดง สำหรับเฌอรู้สึกว่ามันคนละอย่าง เวลาเราจะขึ้นเวที เราแค่เซ็ตว่าวันนี้เราจะไปมีความสุข ไปเต้นสนุกๆ ไปถ่ายทอดอารมณ์ตามเพลงนี้ เฌอจะนึกถึงเนื้อเพลงแล้วก็ไปตามนั้น ถ้าเป็นเพลงซึ้ง บางทีก็มีร้องไห้ตามเพลงบ้าง ถ้าสนุกก็จะมันไปเลย แต่การแสดงหนังคือเรามีบท มีจังหวะที่ต้องเล่นให้ซิงก์กับผู้เล่น มีความเป็นตัวละครบางอย่างที่ไม่ใช่เรา ก่อนเข้าบท ‘พาย’ เฌอต้องนึกก่อนว่าชีวิตของพายผ่านอะไรมาบ้าง ถ้าเป็นเฌอที่เติบโตมาแบบพายจะเป็นแบบไหน

 

แล้วตอนนี้ชอบการแสดงไหม มีบทไหนที่อยากเล่นอีกบ้าง

ชอบๆ หลังจากเรียนรู้การแสดงมาแล้วรู้สึกสนุกมาก เป็นอะไรที่ท้าทายตัวเองมากเลยค่ะ อยากเล่นที่ไม่เหมือนตัวเองเลย เฌอค่อนข้างเป็นคนที่ไม่ได้แสดงอารมณ์เต็มที่ ก็มีบ้างที่ร้องไห้นิดๆ หน่อยๆ แต่ไม่เคยร้องไห้โฮ พอได้มาลองเวิร์กช็อป มาฝึกการแสดง ต้องมาร้องไห้โฮ ต้องมากรี๊ด หรือต้องมาดิ้น เฌอไม่เคยเป็นคนที่เรียกร้องโดยการกรีดร้องใส่แม่ว่าต้องการของแบบนี้ แต่พอได้มาเรียนการแสดง เรารู้สึกว่ามันก็มีบางอย่างที่เราเก็บไว้ข้างใน แต่ไม่เคยปล่อยออกมาอยู่เหมือนกัน เราเป็นคนที่แบบว่าไม่ได้จำเป็นที่จะต้องปล่อย พอมีเยอะๆ แล้วมาใช้กับการแสดงมันก็ส่งผลดีกับการแสดง จากที่เฌอไม่เคยคิดจะเรียนการแสดง ไม่เคยคิดว่ามันสำคัญมาก่อน เอาจริงๆ มันเป็นศาสตร์ที่ทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น เข้าใจอารมณ์ตัวเอง รู้จักควบคุมและรู้จักแยกแยะ 

 

รู้สึกบ้างไหมว่าการแสดงอาจจะใช่ตัวเรามากกว่าการเป็นไอดอลก็ได้

การแสดงอาจจะเหมาะกับเฌอก็ได้ แต่เฌอก็ยังอยากเป็นไอดอลอยู่ เราอาจจะไม่เก่งกับการแสดงนะ แค่ชอบทำอะไรที่มันสนุกเฉยๆ เรื่องของการแสดง หนูไม่รู้ว่าแบบไหนโอเค แบบไหนดีเลยค่ะ คนเดียวที่เฌอจะรู้ได้ว่ามันโอเคคือพี่โอ๋ เขาคือคนที่บอกได้ กับครูร่มอีกคน แล้วก็เจ้าเจมส์ สำหรับเฌอถ้าพี่โอ๋โอเค เฌอก็จะโอเค (หัวเราะ) แต่จุดที่ทำให้ตัวเองอยากแสดงหนังหรือละครเพิ่มคงเป็นเพราะเรารู้สึกอยากลองเป็นตัวละครอีกตัวหนึ่ง อยากเจอบทบาทที่ท้าทายหน่อยระหว่างการเป็น BNK48 กับนักแสดง แบบไหนยากกว่ากัน

ยากคนละแบบค่ะ คนละอย่างกันเลย การเป็น BNK48 จะเป็นเฌอที่ร่าเริง สดใส มีหมวกของการเป็นกัปตันดูแลวงด้วย แต่พอเรามาแสดงเหมือนเรามีข้อจำกัดว่าเขายังเป็นเด็กมัธยมฯ มีความกล้าๆ กลัวๆ อยู่ เขายังมีแนวคิดประมาณนี้ มีกรอบความคิดแค่นี้ในเหตุการณ์นี้นะ เหมือนถ้าเรารู้ทั้งเรื่องแล้วเนี่ย เรารู้ว่าตัวละครผ่านอะไรไปจนจบแล้วเนี่ย เขากลายไปเป็นคนแบบไหน เราจะเข้าใจเขา แต่ว่าเราต้องพาตัวเองให้อยู่ในทีละขั้น ทีละสเต็ปของตัวละครให้ได้ค่ะ ตอนแรกยังคิดไม่ได้ เสร็จแล้วค่อยไปเป็นคนที่คิดได้ทีหลัง

 

ที่ผ่านมาเรารู้จักเรื่องราวของ BNK48 ผ่านหนังสารคดี Girls Don’t Cry มาบ้าง เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหมว่าสิ่งที่หนังสารคดีเรื่องนี้ต้องการสื่อสารกับคนดูคืออะไร 

เฌอไม่มั่นใจเหมือนกัน แล้วแต่คนตีความ เพราะว่าก็ถ่ายทอดเรื่องราวของ BNK48 ออกมาเฉยๆ ว่าเมมเบอร์คิดอย่างไร ต้องถามพี่เต๋อ (นวพล ธำรงรัตนฤทธิ์) แล้วล่ะ (หัวเราะ) ส่วนตัวเฌอมองว่ามันแสดงความจริงของโลก เหมือนเป็นโลกใบย่อมๆ ที่จำลองเหตุการณ์ที่เราก็อยู่กันอย่างนี้ทุกคน แต่เราก็แข่งกันที่จะมีชีวิตรอดกันตลอดเวลา ทำงานบ้าง ออกไปพรีเซ็นต์งาน พยายามทำคะแนน ทุกอย่างมันเหมือนกับที่เราอยู่ใน BNK48 แค่ว่ามันชัดเจนกว่าว่าใครจะได้สปอตไลต์ตรงไหน

 

มีประโยคหนึ่งเฌอปรางพูดทำนองว่า “โลกมันก็เป็นแบบนี้”

สำหรับเฌอก็รู้ว่าโลกก็เป็นอย่างนี้ ก็มันเป็นแบบนี้ เฌอไปที่ไหน เฌอก็เห็นความคล้ายกันของสังคมที่เราอยู่ตั้งแต่ประถมฯ เลยด้วยซ้ำ เฌอก็สังเกตมาเรื่อยๆ อาจจะเพราะผ่านการทำงานมาค่อนข้างเยอะเหมือนกัน เพราะโรงเรียนเป็นโรงเรียนทางเลือกค่ะ ซึ่งได้ออกไปเจอผู้คนหลากหลายที่เขามีรูปแบบการใช้ชีวิตแตกต่างจากเราไปเลยทั้งๆ ที่อยู่ในประเทศเดียวกัน มีทั้งเป็นหัวหน้าชมรม หัวหน้าห้อง หัวหน้าคุมงานโปรเจ็กต์ ออกไปบรีฟการประชุมกับผู้ใหญ่หรือเด็กๆ เฌอเจอมาพอสมควร และเฌอก็ยังคงเจอปัญหาซ้ำๆ เหมือนเดิม ยังเห็นรูปแบบที่เป็นแพตเทิร์นของการแข่งขัน การที่มีคนที่ได้ทำบางอย่าง ไม่ได้ทำบางอย่างตลอด


แต่ ณ จุดที่เรายืนอยู่ตรงนี้มันก็มีการแข่งขันอยู่ตลอดเวลาใช่ไหม

ใช่ เฌอก็ยอมรับว่าเฌอเลือกที่จะเข้ามาอยู่ตรงนี้เพราะเฌอมองเห็นอีกด้านของระบบนี้ที่ให้กำลังใจหรือมีประโยชน์ต่อคนอื่น เพราะเฌอเป็นคนหนึ่งที่ได้ประโยชน์มาจาก AKB48 ไอดอลที่เฌอชื่นชอบเป็นตัวผลักดันให้เฌอก้าวข้ามผ่านเรื่องราวต่างๆ มาได้ เฌอก็เลยมองเห็นสิ่งที่ดีของมัน และอยากส่งเสริมสิ่งที่ดีของมัน แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับสิ่งที่อาจจะดูโหดร้าย อาจจะดูความเป็นจริงที่เราต้องเอาตัวเองเข้ามาแข่งขัน เอาตัวเองเข้ามาอยู่ในกฎเกณฑ์ต่างๆ

 

เราเองก็ยอมรับจุดที่ตัวเองยืนอยู่ใช่ไหม

เฌอรู้สึกคุ้มค่า ได้สร้างประโยชน์ เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นได้ เฌอผ่านเรื่องแย่ๆ มาได้เพราะเขา เขาก็เข้ามาอยู่ในระบบที่เฌออยู่ตอนนี้เหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่ทำให้เฌอมีกำลังใจอยากสู้บ้าง บางคนที่เป็นโรคซึมเศร้าก็กลายเป็นคนที่มีกำลังใจในการมีชีวิตต่อได้ หนูเลยมองว่าสิ่งที่หนูต้องเผชิญกับสิ่งที่หนูได้ช่วยคนอื่น มันคุ้มค่า อาจจะเกินคุ้ม หรืออาจจะมากกว่าสิ่งที่เฌอต้องเสียไปด้วยซ้ำ เพราะงั้นเฌอเลยยังอยากจะทำและยอมรับที่จะทำมัน แต่ในหนังสารคดีนี้ก็ต้องบอกก่อนว่า เมมเบอร์ทุกคนถูกสัมภาษณ์คนละเฉลี่ย 2 ชั่วโมง แต่สิ่งที่ออกมาคือ 1 ใน 24 ส่วนเอง

ถ้าย้อนกลับไปดูในช่วงอายุ 20 เฌอได้ทำประโยชน์ในฐานะที่เป็นบุคคลสาธารณะ  เป็นไอดอล และเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น เราทำอะไรขึ้นมาให้คนอื่นมันก็ต่อยอด มากกว่าที่เฌอคิดไว้เยอะเลย (หัวเราะ) เมื่อก่อนเฌอคิดว่าเข้ามาได้มีประสบการณ์การร้อง การเต้น ได้ทำให้คนสนุกกับโชว์เราก็ความสุขแล้ว เพราะว่าหนูเองก็สนุกกับโชว์ของคนที่หนูติดตามมาก่อน ตอนแรกเฌอไม่คิดจะเข้ามาอยู่ตรงนี้ เฌอไม่เคยคิดจะเข้าวงการบันเทิงมาก่อน อันนี้เฌอสารภาพ

 

รู้สึกอย่างไรบ้างจากตอนแรกที่ไม่ได้มีความคิดอยากเข้าวงการบันเทิง

กลายเป็นว่าเป็นโอกาสที่ทำให้เฌอปลดล็อกตัวเองเยอะมากค่ะ ทำให้เฌอคลายหลายๆ อย่างลง ทำให้เฌอเข้าใจตัวเองแล้วก็ปล่อยวาง จากที่ปกติเป็นคนปล่อยวางอยู่แล้ว จนแทบจะกลายเป็นคนชินชากับโลก เมื่อก่อนโหดถึงขนาดที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นหุ่นยนต์ ก่อนหน้าจะเข้า BNK48 เพื่อนๆ ทุกคนก็จะบอกว่าเฌอแกเหมือนไร้ความรู้สึกมาก แกโหดมาก แต่เราก็แค่อิงตามเหตุผล เพราะรู้สึกอยากทำงานให้ดีที่สุด เพราะถ้าทำงานให้ดีที่สุดสำหรับเรามันมีเหตุปัจจัยหลายอย่างที่จะทำให้งานดีที่สุด แล้วเราก็จะเป็นคนที่ใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ บางทีการตัดสินใจเลือกบางอย่าง เฌอตัดอะไรทิ้งแล้วเฌอใช้เหตุผล จนบางทีเฌอไม่ร้องไห้ ไม่ใช่ไม่ร้องนะแต่น้อยมาก ต้องเป็นเรื่องใหญ่จริงๆ ถึงจะร้องออกมา ไม่เคยร้องโฮ แค่น้ำตาหยดแหมะๆ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองไร้ความรู้สึกไปแล้ว แต่พอเข้า BNK48 ความรู้สึกก็เริ่มกลับมา เราต้องยิ้มแย้ม สดใส ร่าเริง ให้อารมณ์ของเราสามารถส่งมอบให้คนอื่นต่อ แต่ว่าพอได้เป็นกัปตันก็จะมีความโหดๆ กับน้องหน่อย เป็นคนขี้จัดการค่ะ วางแผนไปซะทุกอย่าง ซึ่งก็วางแผนทุกอย่างจริงๆ

 

เรียกว่าเราเห็นความเป็นจริงหรือปลงมากกว่าหรือเปล่า  

เราปลง เราชิน เราด้านชาจนมันก็รู้สึกนะ แต่ไม่ใช่รู้สึกจนขนาดจะเป็นจะตาย เพราะเดี๋ยวมันก็ผ่านไป เฌอเป็นแบบนั้น จนมาเจอการแสดงที่เฌอเริ่มเรียนมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว การได้ปลดปล่อยอารมณ์หรือความรู้สึกอะไรบ้างก็ดีกับชีวิตนะ กรีดร้องออกมาบ้าง ร้องไห้ออกมาบ้าง ยิ้มหัวเราะ หัวเราะดังๆ โดยที่ไม่สนอะไรมีความสุขไปเลย มันก็ไม่ได้ผิด ไม่ได้แย่ ก่อนเข้า BNK48 เฌออาจจะใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์ แต่พอเข้ามาแล้ว BNK48 อารมณ์ก็อาจจะปรับสูงขึ้นมาหน่อยแต่ยังเท่ากับเหตุผล พอเริ่มทำการแสดงก็จะประมาณเท่าๆ กันแล้ว

 

การแสดงต้องใช้อารมณ์ แต่ที่ผ่านมาเราอาจไม่ค่อยแสดงออกทางอารมณ์แบบนี้หรือ

ใช่ กับการแสดงมันเป็นตัวบีบ เป็นตัวบังคับให้เราต้องแสดงมันออกมา พายเป็นผู้หญิงที่เป็นผู้หญิงกว่าเฌอ เขาเป็นคนเข้มแข็ง แต่มีความอ่อนโยนและอ่อนไหวทางอารมณ์กว่าเฌอ ทำให้เฌอต้องมีอารมณ์อ่อนไหวตามไปด้วย และนั่นคือสิ่งที่ยากสำหรับเฌอในการแสดง

 

ถือเป็นเรื่องดีที่ได้ปลดปล่อยตัวเองออกมาใช่ไหม  

หนูถึงบอกว่าการได้มาเล่นหนังเรื่องนี้ เป็นโอกาสที่ทำให้เฌอเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้นเยอะเหมือนกัน เมื่อก่อนเฌอรู้สึกว่าการร้องไห้เป็นสิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นกับตัวเอง เพราะเฌอเคยผ่านเหตุการณ์ที่ร้องไห้ไปดังมาก แต่ก็ไม่มีใครได้ยิน สุดท้ายก็ต้องหยุดร้องด้วยตัวเอง ตอนนั้นเราปั่นจักรยานล้มไถลลงมา แล้วมันอยู่นอกบ้าน ร้องไห้ดังมาก คิดว่าคนในบ้านจะได้ยินแล้วออกมาช่วยเรา แต่ไม่มีใครได้ยิน เราก็หยุดร้องไห้ แล้วกลับเดินเข้าบ้านเอง อย่างที่สองเฌอเคยร้องไห้แล้วเห็นแม่เป็นทุกข์ เฌอก็เลยรู้สึกว่าไม่อยากให้ใครทุกข์เพราะอารมณ์เศร้าของตัวเองเราเลยตั้งกำแพงขึ้นมาไว้ว่าเราจะไม่ร้องไห้ ซึ่งปกติเราเครียดแค่ไหนก็ไม่ร้องไห้แต่พอมาเจอบทที่ต้องมีการร้องไห้เล็กๆ น้อยๆ ก็ปลดล็อกว่าเราไม่ต้องเป็นคนแบบนั้นก็ได้ ไม่ต้องมีความเย็นชาขนาดนั้น ร้องไห้ได้นะ

 

ขึ้นชื่อว่าเป็น ‘กัปตัน’ ก็มีด้านที่อ่อนแอได้เหมือนกัน

ใช่ค่ะ ก็ต้องมีพาร์ตอ่อนแอบ้าง เฌอเคยคิดว่าตัวเองไม่ควรมีพาร์ตอ่อนแอหรือถ้ามีก็เก็บมันไว้ลึกที่สุด กดไว้ต่ำสุดในหัวใจของเฌอ ล็อกมันเอาไว้ หรือถ้ารู้สึก แต่ว่ามันมีหน้าที่ หรือมีอย่างอื่นที่ต้องทำขึ้นมาซ้อนทับๆ จนอารมณ์ที่เก็บไว้มันก็จะไม่ปะทุออกมา กลายเป็นแบบนั้นด้วยซ้ำ จนมาเจอการแสดงที่ต้องใช้อารมณ์ที่ต้องปะทุเนี่ย หรือไม่อยากปะทุ หรืออะไรก็ตาม แต่มันต้องออกมา (หัวเราะ) ต้องเอามาใช้เพื่อการแสดง ก็ไม่คิดอะไรมาก เฮฮา อยากทำอะไรทำ แต่ก็ยังเป็นคนที่มีเหตุผล จริงๆ ก็มีความเห็นใจเพื่อนมนุษย์และทุกอย่างอยู่แล้ว แต่ว่าอาจจะ Emotional มากขึ้น

ถ้ากลับไปพูดกับเฌอในอดีต “แกจะได้แสดงหนังเหรอ บ้า ไม่มีทาง” มันเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว แล้วมันดีกับเฌอมากๆ เฌอขอบคุณทุกโอกาส เราเข้าใจการทำงานสายศิลป์ ถ้านับกันแล้วเฌออยู่สายวิทย์มาโดยตลอด ค่อนข้างจะปิดกั้นตัวเองจากสายศิลป์ แต่พอได้มาเรียนรู้งานสายศิลป์ เฌอรู้ว่ามันสำคัญแต่เฌอแค่ไม่อยากทำ แต่พอมาทำก็ทำได้ แค่ต้องใช้เวลา สุดท้ายแล้วอีกสิ่งหนึ่งที่ได้รู้คือคนเราไม่มีขีดจำกัด เฌอเปิดประตูตัวเองไปได้เรื่อยๆ ขอแค่มีเวลาลงมือทำ แล้วก็มีแรงกดดันบางอย่างให้เฌอมีแรงทำมัน เฌอก็จะไปจนได้ในที่สุดไม่มากก็น้อย มันต้องได้สักนิดนึงอะ (หัวเราะ)

 

เวลาที่มีคนบอกว่า “อย่างนี้เราทำไม่ได้หรอก” เราจะพูดกับเขายังไง

ลองทำหรือยัง? คนที่บอกว่าทำไม่ได้หรอก ลองทำหรือยัง ให้เวลากับมันหรือยัง ใช้เวลาฝึกมันหรือยัง เฌอก็เคยคิดว่าเฌอคงไม่ร้องเพลงดีขึ้นมาโดยตลอด แต่ว่ามันเป็นทักษะที่เฌอต้องใช้เพื่อมอบความสุขให้กับคนอื่น เฌอก็พยายามเพื่อไม่ให้วงเดือดร้อน เพราะถ้าเราร้องแย่ทั้งวงก็จะเดือดร้อน เราเลยพยายามฝึกทุกวัน อย่างน้อยมันก็ดีขึ้น จนครูที่สอนชม เฌอก็ดีใจมากแล้ว เรื่องเต้นก็เหมือนกัน เมื่อก่อนเต้นไม่ได้เลย ตอนเข้ามาใหม่ๆ ไม่มีทักษะการเต้นมาก่อน เฌอก็ออกกำลังกายจนเต้นได้ ซ้อมจนเต้นได้ เท่าคนอื่นๆ หรือพอๆ กับคนอื่น อาจจะน้อยกว่าแต่ก็ไม่ให้วงดูแย่ การแสดงก็เหมือนกัน เฌอก็ไม่เคยรู้ว่าจะแสดงได้ ไปถามทุกคนได้เลยค่ะ คนที่เห็นเฌอแสดงครั้งแรก เราแข็งมาก แย่มาก รู้ว่าไม่ใช่นักแสดงชัวร์ ไม่น่าจะเป็นได้ แต่ไปๆ มาๆ ก็แสดงได้จนพี่โอ๋บอกว่าผ่าน (หัวเราะ)