THERE IS NO BUDDY LIKE A BROTHER – Clash

28.08.18 1,204 views

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา คือนิยามของ Clash Rebirth the Final Concert ซึ่งเป็นคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งสุดท้ายของพวกเขาทั้ง 5 คน พร้อมยังส่งต่อเพลง ‘เพลงสุดท้าย’ เพื่อเป็นการยืนยันว่าความสำเร็จของเขาตลอดช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อ ‘Clash’ จะกลายเป็นเพียงภาพจำของแฟนเพลงทุกคน รวมทั้งพวกเขาเอง ภาพจำที่เหลือไว้แต่เพียงประวัติของวงดนตรีที่ผ่านการประกวด Hotwave Music Awards การประกวดวงดนตรีระดับมัธยมฯ ของคลื่นวิทยุ 91.5 Hot Wave Radio ที่เด็กนักเรียนมัธยมฯ ในยุคนั้นต่างก็รู้จักกันเป็นอย่างดี แม้ในกลุ่มของเด็กเรียนนั่งโต๊ะแถวหน้าของห้อง ต่างก็ต้องผ่านช่วงเวลาเชียร์เพื่อน รุ่นพี่ รุ่นน้องที่เป็นตัวแทนโรงเรียนของพวกเขาสู่การชิงรางวัลของการประกวด เช่นเดียวกับ ‘Lucifer’ เขาประกวดถึง 2 ปี

ติดกัน และในการแข่งขันปีที่ 3 พวกเขาคว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 มาได้ และเส้นทางของ Clash ก็เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น สมาชิกของ Clash ทั้ง 5 คนนั้นเรียกเสียงกรี๊ดของสาวๆ ได้อย่างมาก ด้วยความหล่อเหลาของนักร้องนำอย่างแบงค์ และเอกลักษณ์ของนักดนตรีที่เท่กันไปคนละแบบ กระแสความคลั่งไคล้ไม่ได้ท่วมท้นเฉพาะในหมู่สาวๆ เท่านั้น ทว่า Clash ได้กลายเป็นไอคอนของเด็กหนุ่มยุคนั้นที่ฝันอยากเป็นนักร้องนักดนตรี ไม่ว่าจะเป็นสไตล์การแต่งตัว ทรงผม เสียงร้อง ทำนองเพลง ลีลาอันโดดเด่น และเพลงฮิตนับสิบ ท่ามกลางความนิยมอย่างต่อเนื่อง แต่งานเลี้ยงก็ย่อมมีวันเลิกราอย่างที่ใครๆ เคยพูดไว้ แต่การเลิกราไม่ได้หมายความว่าจะเริ่มต้นใหม่ไม่ได้ วันนี้พวกเขากลับมาอีกครั้ง ด้วยความรักและศรัทธาในดนตรีที่ยังมีอยู่เต็มหัวใจสมาชิกทุกคน ด้วยความรักและเชื่อใจกันและกันของพวกเขา วันนี้พี่ชายทั้ง 5 คนกลับมาอีกครั้ง เราพบความอบอุ่นและความรักอันเหนียวแน่นประสาพี่น้องผองเพื่อนที่ผูกพันมานานนับยี่สิบปีอีกครั้ง 


แบงค์: เราคุยกันว่า Clash จะกลับมารวมได้มั้ยตลอดช่วงที่ผ่านมา จนมีอยู่ครั้งหนึ่งที่แฮ็คไปทัวร์คอนเสิร์ตที่ยุโรป มันมีสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่บอกว่าได้เวลารวมตัวกันแล้วล่ะ เราว่าถ้ามันเกิดเร็วกว่านี้อาจมีหลายอย่างติดขัดจนมันไม่เกิดขึ้นจริง เพราะทุกคนอยู่ในช่วงเติบโต
มีภาระหน้าที่ ในทางกลับกันถ้าคอนเสิร์ตนี้มันเกิดช้ากว่านี้ มันอาจจะช้าเกินไป ความสนุกมันคงไม่เท่าตอนนี้ ซึ่งก็ต้องบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับเลข 7 ที่หลายคนพยายามเชื่อมโยงว่าก่อนหน้านี้เรามีเพลงมาทั้งหมด 7 อัลบั้ม แล้วเราก็หายหน้าไป 7 ปีพอดี มันไม่เกี่ยวอะไรกับเราเลย เราแค่รู้สึกว่ามันต้องกลับมา 


ที่ผ่านมาพวกคุณเคยนัดเจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาบ้างไหม

สุ่ม: มีบ้าง แต่มันไม่ได้นัดกันแบบเฮ้ย…เดี๋ยววันนี้เราไปกินข้าวที่นี่กัน หรือเราต้องกลับมาเจอกันที่นี่ทุกวันอาทิตย์ เราเจอกันบางครั้งบางคราว มาช่วยงานกัน สมมติว่าเป็นการทำเพลงให้ศิลปินคนอื่น พลอาจจะมาช่วยบันทึกเสียงเบสให้ในเพลง หรือพลกับแฮ็คก็เจอกันเรื่อยๆ เพราะทำเพลงใน SDF ด้วยกัน หรือตอนที่ยักษ์ทำเพลงกับแบงค์ มันก็คือการเจอกันอย่างหนึ่ง


จริงไหมที่คนชอบพูดกันว่า Clash เลิกทำเพลงเพราะทะเลาะกันจนวงแตก

พล: จริง! (แล้วทุกคนก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน) 

แบงค์: ไม่หรอก…ถ้าพูดกันตรงๆ เลยนะ ตอนนั้นมันมีทั้งคนเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย คนจำนวนหนึ่งเคารพการตัดสินใจของวง พวกเขาเข้าใจว่าทุกคนในวงก็จะไปเติบโตในอีกแบบหนึ่ง แต่บางคนก็สาปแช่งเรา โดยเฉพาะแฟนเพลงนี่แหละ เขารู้สึกว่าทำไมเราต้องทำร้ายพวกเขาด้วยการเลิกทำเพลงด้วย ทำไมต้องจากไป เขาก็พากันแช่งว่าให้พวกเราทำอะไรก็ไม่สำเร็จจะได้กลับมารวมวงกันใหม่ (ยิ้ม) ในวันที่แยกวงไป รู้สึกไหมว่าคำสาปแช่งของแฟนเพลงมีผลต่อพวกคุณ 

แบงค์: พอแยกไป มันเป็นเรื่องยากมากเลยนะที่เราต่างจะประสบความสำเร็จไปมากกว่าผลงานของวง Clash ที่ผ่านมาได้ แต่ผมว่าเราก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุดแล้ว

พล: ผมว่าเราไม่ได้มีความรู้สึกว่ามันไม่สำเร็จ คือ…มันเทียบกับ Clash ไม่ได้ มันคือกลุ่มคน 5 คนที่ทำงานร่วมกัน พร้อมทีมงานอีกเยอะแยะมากมายที่ช่วยกันวางแผนและสร้างมัน ในวันที่แยกตัวไป แน่นอนว่า Clash เป็นบรรทัดฐานในการทำงาน ซึ่งมันอาจจะทำให้คุณเครียด อาจจะเป็นบ้าไปเลยก็ได้ เพราะว่าสิ่งที่ Clash ทำไว้มันเยอะมากเช่นกัน ณ วันนั้น การที่ศิลปินกลุ่มหนึ่งจะมีผลงานได้ถึง 7 อัลบั้ม มีอัลบั้มพิเศษ มีงานพรีเซ็นเตอร์ นี่คือโมเดลความสำเร็จที่ทุกศิลปินอยากได้ทั้งนั้น 

ทีนี้พอวันที่แยกกันแล้วจริงๆ เราทั้ง 5 คนต่างก็รู้แหละว่าเราพยายามทำสิ่งที่เราชอบตามเป้าหมายนั้นๆ ของเราให้ดีที่สุด แต่เป้าหมายเราไม่ใช่การจะเป็น Clash ให้ได้ ทุกอย่างมันต้องอาศัยเวลา แต่เราเพิ่งไปสร้างมันแค่ 7 ปีเองจะบอกว่าเราประสบความสำเร็จหรือยัง มันก็ยังเราต้องการเวลาสำหรับพิสูจน์หรือฝ่าฟันมากกว่านั้น มันต้องการเวลาเป็นสิบปี เอาแค่ที่พวกเราเป็น Clash เป็นเพื่อนและเติบโตมาด้วยกันยังอาศัยเวลาเกือบ 20 ปี 


(ก็มัน) หนาวใจจะขาด เมื่อขาดเธอคนดี ขาดไอรักอบอุ่นที่เคยได้มี ฉันเพียงต้องการเธอกลับมาหา โปรดเถอะนะกลับมา (มารักกัน) – หนาว 


ความรู้สึกในช่วงแรกที่แยกวงอย่างเป็นทางการ

สุ่ม: ช่วงแรกมันยังรู้สึกทิ้งตัวสบายๆ ได้ เพราะช่วงก่อนหน้านั้นพวกเราทำงานติดๆ กันมา พอวันหนึ่งตื่นมาแล้วไม่มีคิวงาน ก็เหมือนเราได้พักเต็มที่กันจริงๆ แต่พอนานๆ เข้ามันก็เริ่มเหวอ เริ่มว่างเกินไปแล้ว ผมว่าความรู้สึกของการเล่นดนตรีบนเวทีมันหาอะไรมาแทนกันไม่ได้จริงๆ อย่างผมอาจจะมีกิจกรรมตื่นเต้น สนุก ได้ใช้แรงเต็มที่เวลาไปปั่นจักรยาน แต่มันไม่เหมือนตอนอยู่บนเวที หรือแม้แต่ตอนไปเล่นดนตรีกับคนอื่น ก็ไม่เหมือนความรู้สึกตอนที่เราหันไปเจอเพื่อน 5 คน 

ยักษ์: เหมือนเราอยู่กับเพื่อนในโรงเรียนประจำเดียวกันมานานๆ แล้ววันหนึ่งเราแยกย้ายกันกลับบ้าน มันโหวงเหวง ว่าง และเหงา แต่ผ่านมาได้สักระยะนึงพอเราก้าวเดินไปในทางที่เราตั้งใจตั้งแต่แรกว่าถ้าวันที่ Clash พัก แล้วเราจะไปทำอะไรกันบ้าง มันเลยถึงเวลาที่เราต้องเริ่มหน้าที่ใหม่ ความเหงาก็ค่อยๆ หายไป มันแทนที่ด้วยภาระหน้าที่ของเราที่ต้องทำให้สำเร็จให้ได้แล้วที่จริงความเหงามันแค่ช่วงแป๊บเดียว เพราะหลังจากนั้นเราก็กลับมาเจอหน้ากันเหมือนเดิม เพียงแต่เราไม่ได้มีผลงาน ไม่มีเพลง หรือออกทัวร์ด้วยกันเท่านั้นเอง ความจริงเราเจอกันบ่อยมาก ครบหน้าบ้าง ไม่ครบบ้าง แต่เราเจอกันตลอด 

พล: อย่างผมเจอพี่แฮ็คบ่อยมาก เพราะเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน (ยิ้ม) เราก็ไปกินข้าว หาอะไรกินแถวบ้าน นั่งคุยกันเรื่องนั้นเรื่องนี้ ผมเลยรู้สึกว่ามันคงเป็นช่องว่างช่วงแรกหลังจากชีวิตมันว่าง ทุกคนก็ต้องเริ่มปรับตัว ปรับชีวิตกันใหม่ ก่อนหน้านั้นเราตื่นมาก็มีรถตู้มารับ ออกไปถ่ายรายการ ออกทัวร์ ขึ้นเครื่อง บินกลับไปกลับมา 


มีแต่เธอนั้น ไม่จากไปไหน ถึงฟ้าจะไม่สดใส เธอนั้นก็ยังอยู่ อยู่ปลอบใจฉันไม่ให้ท้อใจ ข้ามพ้นเรื่องที่เลวร้าย นางฟ้าคนเดิมของฉัน – นางฟ้าคนเดิม 


หากถามในฐานะแฟนคลับที่เคยคลั่งไคล้และมีพวกคุณเป็นไอดอล กว่าจะมาเป็น ‘Clash’ ตามความฝันได้ แล้วอยู่ๆ วันหนึ่งพวกคุณบอกแฟนคลับว่าจะแยกย้ายไปทำตามความฝันของตัวเอง อ้าว…แล้วที่ผ่านมา ‘Clash’ ไม่ใช่ความฝันของพวกคุณเหรอ 

พล: ถามดี (ยิ้ม) 

แบงค์: ผมว่ามันเหมือนปีนเขา คนที่ปีนไปจนถึงเอเวอเรสต์ก็เหมือนจุดสูงสุดของการปีนเขาแล้ว เขากลับมองเห็นว่ามีอีกยอดเขาที่เตี้ยกว่า แม้ว่าเอเวอเรสต์อาจจะดูสูงชันกว่า แต่ยอดข้างๆ ที่เตี้ยนั้นมันมีพื้นผิวที่ขรุขระกว่า  มันดูท้าทายให้ลองปีนดู ในใจมันคิดว่าถ้าเราพิชิตได้ทั้ง 2 ยอดเขามันก็คงดี หรือไม่แน่ในอนาคตอาจจะมียอดเขาที่ 3 ต่อไป ที่อาจจะไม่สูง ไม่ขรุขระ แต่มีความลึกที่น่าท้าทายกว่า ผมว่าคนเรามีมากกว่าแค่ฝันเดียวได้ ซึ่งสุดท้ายแล้วเราต่างก็รู้ว่าเราจะกลับมารวมตัวกันอีก เพราะอย่าลืมว่าเราไม่ได้แตกกัน เราไม่ได้ตีกันในวันนั้น

พล: เราไม่ได้ทะเลาะกัน เราวางแผนที่จะเลิกทำกันไว้แล้ว เพราะฉะนั้นโอกาสที่เราจะกลับมารวมตัวกันอีกมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้ 

แบงค์: คือไม่ใช่ว่าอยู่ๆ พวกเราเลิกทำเลยนะ เราคิดว่าถ้าเราจะเลิก แล้วจะเอายังไงต่อ ใครจะทำอะไรต่อ เราคุยกันมากว่า 1 ปีก่อนเลิก 


พวกคุณพูดเหมือนการบอกเลิกใครสักคนทั้งที่ยังรักกันอยู่ มันยากมากแค่ไหน

พล: จะว่ายากมันก็ยาก อย่างแฮ็คเป็นคนที่อ่อนไหวที่สุดในเรื่องนี้ ในวันที่เราประชุมกันก่อนจะเลิกในช่วง 2-3 ปีก่อนนั้น แฮ็คเป็นคนที่เครียดที่สุด เขาเครียดในมุมที่ Clash เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตที่มีความสุขที่สุด เขาอยู่กับมันมากที่สุด ความเครียดมันก็เกิดขึ้น แต่สุดท้ายแล้วการที่เราเริ่มทำอะไรสักอย่าง เรามีวันเริ่มเราก็มีวันเลิกรา ผมคิดว่าทุกสิ่งบนโลกนี้มันก็เป็นแบบนั้น เราแค่ต้องเข้าใจและมองเห็นเส้นทางที่จะเดินต่อ มันลิงก์กับคำสอนของพระพุทธเจ้าเลยนะ ทุกอย่างเกิดขึ้นและดับลง แต่ Clash ในวันนี้ยังไม่ตายนะ (ยิ้ม) คือก่อนหน้านี้เราแค่เบรก เราไม่ได้ดับไฟ เราแค่หรี่ไฟลง แล้ววันนี้เราพร้อมแล้วที่จะจุดไฟนี้ใหม่อีกครั้ง 


คอมเมนต์ต่างๆ ในโลกโซเชียลฯ มีผลต่อพวกคุณเพียงใด 

แบงค์: ผมก่อนเลยแล้วกัน ในฐานะฟรอนต์แมนที่อยู่หน้าสุดเวลามีคอนเสิร์ต อยู่หน้าสุดก็โดนด่าก่อน ก็เริ่มจากมีคนด่า ทำไมต้องออกจากวง ทำไมต้องไปนู่นไปนี่ ทำไม จากนั้นเราจะเริ่มชินกับคำวิจารณ์แล้ว (ยิ้ม) คอมเมนต์จะเริ่มเปลี่ยนไปเป็นว่าเมื่อไหร่เราจะกลับมา จากคำด่ามากๆ กลายเป็นคิดถึง คิดถึงพวกพี่นะ ระหว่างนั้นความรู้สึกของเราก็เหมือนที่บอกไปแหละว่าเราคิดเสมอว่าวันหนึ่งเราจะกลับมา แต่แค่ต้องรอเวลาแป๊บนึง ใจเย็นๆ 


โดนด่าว่าดังแล้วแยกวงเหรอ

แบงค์: โดนอยู่แล้ว อย่างที่บอกว่าเป็นนักร้องนำมันโดนหนักสุด โดนหมด มีชื่อเสียงแล้วนี่ ได้ทำตามความฝันแล้วนี่ แต่เราก็ไม่ได้ถึงขั้นต้องดูแลจิตใจตัวเองมากมายอะไร เราเตรียมตัวไว้แล้วว่าจะต้องเจออะไรบ้าง ฉะนั้นพอโดนเข้าจริงๆ มันเหมือนทหารที่ซ้อมรบมานาน พอลงศึกจริงช่วงแรกๆ อาจจะยังไม่ชิน แต่สุดท้ายเรารู้แล้วว่าความเจ็บมันเป็นอย่างนี้ จนเริ่มเข้าใจ และโอเคขึ้น มีคนรักก็มีคนเกลียด มีคนพอใจก็มีคนไม่พอใจ มันเป็นเรื่องปกติ พอเข้าใจมันก็ไม่เจ็บ ก็แค่นั้นเอง 


เธอก็รู้ผีเสื้อต้องออกบิน บินไปตามทางจำเป็นต้องจาก ฉันยังคงรักเธอ เพียงดำเนินทางตามความฝัน สักวันจะกลับมา – เพลงผีเสื้อ


อะไรที่เป็นกริ่งเตือนว่าถึงเวลาที่จะต้องกลับมารวมกันจริงจังได้แล้ว 

สุ่ม: อย่างที่บอกไปตอนแรกว่าเราไม่มีตัวเลขปีมากำหนดว่าจะต้องกลับมาใน 7 หรือ 8 ปี หรือต้องครบ 10 ปีแล้วกลับมา มันเหมือนกับว่าชีวิตของทุกคนเริ่มเข้าที่เข้าทาง แต่ละคนเริ่มคิดถึงการเล่นดนตรีด้วยกัน ต้องบอกว่ามันเริ่มแรกจากการที่เราอยากกลับมาเล่นดนตรีด้วยกันก่อน ยังไม่ได้มองเลยว่าต้องมีคอนเสิร์ต ไม่ได้ต้องมีเพลง ภาพสมัยที่เด็กๆ ที่พวกเราซ้อมดนตรีด้วยกันมันย้อนกลับมา ภาพที่เราโดดโรงเรียนไปห้องซ้อม เราแค่อยากซ้อมดนตรีด้วยกัน เราเคยได้เล่นพร้อมกันนะ นั่นคือจุดเริ่มต้นสู่โปรเจ็กต์ที่ใหญ่กว่าตามมา


ระหว่างช่วงที่หรี่ไฟของ Clash ลง พวกคุณเคยกลับมาเล่นดนตรีกันพร้อมหน้าบ้างไหม

สุ่ม: มีบ้างเป็นงานแต่งงานเพื่อน เล่นกันแบบขำๆ ในหมู่เพื่อน 

แบงค์: เพื่อนเราก็คือเพื่อนกลุ่มเดียวกันตั้งแต่สมัยเรียนด้วยกันทั้งหมด

สุ่ม: จริงๆ มันก็ขำๆ เหมือนเรารู้อยู่แล้วว่าเล่นเสร็จมันก็จบ ไม่มีอะไร เพลงที่เราเอาไปเล่นก็เป็นเพลงที่คุ้นเคย ไม่ได้ทำอะไรขึ้นมาใหม่ งานแต่งงานน่ะครับก็จะต้องเป็นเพลงสมหวังในความรัก แล้วก็อวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาวเพื่อนเรา แต่มันจะมีช่วงที่พอเล่นไป แล้วหันหน้ามาเจอคนที่เราคุ้นเคย มองไปข้างหน้าเจอแบงค์ ทางซ้ายเจอพล ทางขวาเจอแฮ็ค ด้านหลังมียักษ์ และเราเล่นเบสอยู่ เฮ้ย…ความรู้สึกเก่าๆ มันย้อนกลับมา

ไม่ได้เล่นกันครบทุกคนอย่างนี้มานาน เขินบ้างไหม

ยักษ์: ไม่เขินนะ มันสนุกมากกว่า พอได้เจอกันมันมีไฟบางอย่างที่ทำให้ความสนุกวัยเด็กกลับมา เพราะต้องบอกตรงๆ ว่าเรามีช่วงที่เบื่อหน้ากันเองเหมือนกัน ไฟมันถูกเผา จนมอดลงเรื่อยๆ บางครั้งเห็นหน้ากัน เจอกันแทบไม่ทักกันเลย พอตอนขึ้นเวที เอ้า…ไปสนุกกัน แต่พอจบแล้ว แยกย้ายไปนอน จนวันนี้เรากลับมารวมอีกครั้ง เฮ้ย สนุก กลับมาเล่นดนตรีกับเพื่อนแล้วมันสนุกมาก เหมือนช่วงที่ผ่านมาต่างคนต่างก็ไปเติมไฟกันมาแล้ว 

แบงค์: เล่าให้ฟังเล่นๆ เลยว่าสมัยก่อนเวลาไปทัวร์คอนเสิร์ต ผมจะนอนกับสุ่ม ห้องเรามันจะเงียบบบบบ เงียบมากกก คือไม่มีอะไรคุยกันเลย ต่างฝ่ายต่างเงียบ อยู่ในโลกส่วนตัวของตัวเอง นานวันยิ่งเงียบต่อเนื่อง

พล: เมื่อก่อนเรานอนกันเป็นคู่ๆ พอนอนคู่กับแฮ็ค ส่วนยักษ์นอนกับคนขับรถตู้ที่เขาสนิทกัน จนช่วง 2-3 อัลบั้มหลังๆ เราขอแยกห้องนอนแล้ว นอนคนละห้องนะ มันถึงจุดที่เป็นแบบนี้เลย 


ถ้าเปรียบเทียบกับชีวิตคู่ นี่เรียกว่าเป็นสัญญาณของคนกำลังจะเลิกกันหรือเปล่า 

แบงค์: ผมว่ามันเหมือนผัวเมียจริงๆ นะ เหมือนคู่ชีวิตที่ถึงจุดต้องแยกห้องนอน ไม่ใช่เพราะหมดรัก แต่หลีกเลี่ยงการกระทบกระทั่งกัน 

สุ่ม: มันเหมือนต่างคนต่างต้องการพื้นที่ส่วนตัวบ้าง 

พล: มันมีช่องว่างนั้นด้วย มันมีจุดที่พวกเราต้องมานั่งคุยกันว่าจะทำยังไงดี สุดท้ายเราเลยนอนคนละห้องดีกว่า (หัวเราะ)


จริงหรือเปล่าว่าช่วงท้ายๆ ของ ‘Clash’ เกิดวิกฤติถึงขั้นต้องมีคำพูดปลุกใจกันเองแบบติดปากว่า “ไปทำงานที่เรารักกันเถอะ” 

พล: เออ รู้ได้ยังไง มันเป็นประโยคที่เราพูดทุกครั้งก่อนขึ้นรถตู้

แบงค์: ใช่ ผมเพิ่งให้สัมภาษณ์ไปอย่างนั้นเมื่อไม่นานมานี้ 

ยักษ์: บางทีผู้จัดการมารับที่หน้าบ้านตอนเช้ามืด เรายังสะโหลสะเหลอยู่เลย แต่เราทำได้แค่…ป้ะ! (ยักษ์ทำท่าตบมือประกอบ) ทำงานที่เรารักกัน! 


ต้องปรับตัวเองมากไหมเพื่อกลับมาทำงานที่เรารักกันอีกครั้ง 

พล: เราเอาเรื่องดนตรีเป็นตัวเชื่อมอย่างที่สุ่มบอก เราเริ่มจากมาซ้อมดนตรีร่วมกันอยู่เป็นปีก่อนจะมีความคิดที่จะทำคอนเสิร์ตและทำอัลบั้ม มันต้องย้อนกลับไปช่วงปี 59 ช่วงนั้นเรานัดซ้อมกันบ้างประปราย เอาเวลาว่างมาแจมกัน จนปีที่แล้วเริ่มวางแผนซ้อมแบบมีตารางจริงจัง ตามเจตนารมณ์ของแฮ็คที่อยากให้พวกเรากลับมาใช้ชีวิตร่วมกัน (ยิ้ม) มากินข้าว มาคุยกัน เริ่มแลกเปลี่ยนเรื่องที่ต่างคนต่างเจอกันมามากขึ้นเรื่อยๆ หรือแม้แต่ความผิดพลาดของ Clash ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เราเคยทำอะไรที่เวิร์ก เอามันมาแผ่ดูกัน เรามาอุดรอยรั่วนั้น โดยมีดนตรีเชื่อม จากการเล่นดนตรีของพวกเรา นอกจากนี้วิธีคิดของพวกเราก็โตขึ้น คุยกันเข้าใจมากขึ้น น่าจะเป็นความโชคดีที่พวกเรารับฟังกัน และพร้อมจะแก้ไขเพื่อให้วงมันดำเนินไปได้ 


การเอารอยรั่วที่ผ่านมากางแผ่ดู พวกคุณพบว่าแผลที่ใหญ่ที่สุดของ Clash คืออะไร

พล: ถ้าสำหรับผมในวันนี้ ผมว่ามันคือความเอาแต่ใจบางอย่างที่เลยขอบเขต ซึ่งวันนี้เราก็ยังเอาแต่ใจเหมือนเดิมนะ เพลงใหม่ที่เราทำก็เอาแต่ใจ แต่ตอนนี้เราเอาแต่ใจในจุดที่พอดี เรารู้แล้วว่าการเอาแต่ใจประมาณไหนที่คนไม่มองว่าเราดื้อมาก แต่มันก็พูดยากนะ เพราะการทำเพลงสมัยนั้นไม่เหมือนตอนนี้ เมื่อก่อนเราทำเพลงกันเป็นอัลบั้มมันมีหน้า A หน้า B

หน้า A ก็เป็นเพลงที่แน่นอนว่าออกมาแล้วฮิตแน่ๆ เป็นเพลงที่คนร้องตามได้ ส่วนหน้า B เป็นหน้าสำหรับให้เราได้เอาแต่ใจ ศิลปินทุกคนอยากจะมีงานเจ๋งๆ สำหรับพวกเขา โดยที่เราไม่สนใจว่าคนจะฟังหรือไม่ฟังก็ได้ 

สุ่ม: ก็คงเหมือนประโยค “ไปทำงานที่เรารักกันเถอะ” ในตอนนั้นทุกอย่างมันอาจจะเกิดขึ้นด้วยความเหนื่อย ความล้ากับงานเยอะ บางทีตอนนั้นมันทำให้เราลืมช่วงเวลาที่เราเคยโหยหาว่าเมื่อไหร่จะได้ทำอัลบั้ม เมื่อไหร่จะได้ออกเทป นานวันเข้าเราลืมความรู้สึกนั้น จนมันเป็นแผลจนเราลืมสิ่งที่เราต้องการ เหลือไว้แต่ความเบื่อ เหมือนวันนี้เราได้เห็นแล้วว่ามีคนที่อยากเข้ามาทำตรงนี้ แต่เขาไม่มีโอกาส ทำให้เรานึกได้ว่าเราโชคดีขนาดไหนแล้วที่ได้ทำ 

ถ้าคุณหนีคุณก็ต้องแพ้จนตาย สิ่งที่ฝันมากมาย คงจะคล้ายเพียงแค่ฝุ่นควัน ในวันเวลาที่ลมหายใจ สมองยังดี อย่าไปหนีต้องฝ่าฟัน- ไม่หนีไม่แพ้ 


อะไรที่นำไปสู่การเกิดขึ้นของคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งนี้ 

แบงค์: ไม่รู้สิ ผมว่าเรามีแฟนคลับที่น่ารักด้วยแหละ (ยิ้ม) เราว่าแฟนคลับของ Clash มีความเหนียวแน่น และเราเองไม่ได้ทำตัวเป็นศิลปินที่เข้าถึงยาก ทุกคนแตะต้องเราได้ พวกเราคือพรรคพวกเดียวกัน เพื่อนพ้องน้องพี่ที่เจอกันแล้วเล่นกันได้ การกลับมาก็เหมือนได้กลับมาปาร์ตี้ร่วมกันอีกครั้ง และผมว่าทุกคนก็อยากจะเห็นภาพปาร์ตี้นั้น และเราไม่ได้คิดว่าจะทำเพลงก่อนหรือหลังคอนเสิร์ต มันดูไม่ใช่วาระสำคัญในวันที่เราตัดสินใจทำคอนเสิร์ตนี้ 

คอนเสิร์ตใหญ่นี้ต่างหากที่สำคัญที่จะพิสูจน์เราว่ายังสดใหม่อยู่ไหม พวกเขาแอบมองเราอยู่ พี่ชายทุกคนของเขากลับมาแล้วยังซ่าไหวไหม จะมารุ่นใหญ่แก่ๆ ไม่มีแรงไม่ได้นะ เรากลับมาแล้วต้องยังแก่นเซี้ยวอยู่ มันคือการพิสูจน์ให้คนรู้ว่าเราเหมือนเดิมแม้เวลาจะผ่านไปก็ยังเหมือนเดิม 


ทำไมต้องเป็น Clash Awake Concert

พล: เราทำงานกับป๋าเต็ด (ยุทธนา บุญอ้อม) แกบอกว่าสิ่งที่เห็นระหว่างที่ Clash นั่งประชุมคือคำว่า ‘บ้าน’ มันคือความสุขที่ได้กลับมานั่งคุยกันอีกครั้ง เออ…มันใช่เลย การกลับมารวมตัวกัน บรรยากาศครอบครัวมันกลับมา แต่เรายังรู้สึกว่า ‘Home’ ยังไม่พอ แล้วคำว่า ‘Awake’ ก็เกิดขึ้น แล้วทุกคนก็รู้สึกว่าจริง นี่คือ 7 ปีที่ผ่านมาพวกเราหลับไป ตอนนี้พวกเราตื่นจากความหลับใหลนั้นแล้ว


ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นจากวันนั้น จะไม่เหนื่อยกว่าเมื่อก่อนเหรอ

แบงค์: ทุกคนเป็นนักกีฬานะ สุ่มเป็นนักกีฬาจักรยาน หุ่นเขาลีนขนาดนี้ เขาออกกำลังกายหนัก คิดดูว่าต้องปั่นจักรยานหนักแค่ไหนถึงมีหุ่นที่ลีนได้ขนาดนี้ พลเองก็เหมือนกัน เขาก็ปั่นที่บ้านขายจักรยานด้วยซ้ำ 

สุ่ม: จริงๆ มันเป็นเทรนด์ด้วยแหละ ทุกวันนี้ทุกคนดูแลตัวเอง ยักษ์ก็ไปวิ่ง แฮ็คก็เตะฟุตบอล สร้างยิมในบ้าน แล้วก็เริ่มวิ่งด้วยแล้ว ทุกคนเริ่มหันมาออกกำลังกายกัน 

พล: ผมว่าเผลอๆ ฟิตกว่าเมื่อก่อนอีก อย่างเมื่อก่อนตอนเราวัยรุ่น เราอาจจะมีเที่ยวกลางคืน ออกไปแฮงเอาต์กับเพื่อน เราดื่มกันเยอะ ไหนจะสูบบุหรี่อีก แต่ตอนนี้เราเลิกเรื่องแบบนั้นไปหมดแล้ว ผมว่าเราอายุมากขึ้นก็จริงแต่ความฟิตเราก็มากขึ้นกว่าเดิมอีก

แบงค์: ตอนนี้เราเหมือนแข่งกับตัวเอง เรื่องกินดื่มเที่ยวแทบจะตัดขาดเลย ส่วนบุหรี่ยังมีผมที่ยังตัดไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ก็พยายามอยู่ 

พล: เขายอมจำนนแล้วเว้ย (หัวเราะ) 


มีคนเป็นล้าน ต้องหยุดตัวเอง ยอมพ่ายแพ้ และทิ้งฝันไป ไปไม่ถึง ฝันอันยิ่งใหญ่ เพราะเขาท้อใจตัวเอง เธอเองก็จงอย่ายอมแพ้ จงแปรเปลี่ยนความทุกข์เป็นความสดใส – หยุดฝันก็ไปไม่ถึง 


Clash วันนี้จะยังเป็นวิถีร็อกเช่นเดิมไหม

พล: จริงๆ แล้วมันเป็นร็อกแบบ Clash นะ อย่างที่ผ่านมาเราจะเห็น Clash อย่างเพลงใส่ร้ายป้ายสี, ไฟรัก, สัจอธิษฐาน ซึ่งเป็นเพลงหนักๆ ทั้งหลายเนี่ยเราก็มี ขณะที่เพลงสำหรับเอ็นเตอร์เทนคนดูอย่าง ยิ้มเข้าไว้, โรคประจำตัว มันก็มี หรือแม้แต่เพลงสไตล์บัลลาดหน่อยๆ หรือเพลงช้าโรแมนติก Clash ก็มี ผมว่าวันนี้ Clash ก็คงไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมขนาดนั้น หรือพลิกไปจนทำให้รู้สึกไม่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นบนความเปลี่ยนแปลงในทุกวันนี้คือเรื่องของความเป็นแฟชั่น ซาวนด์ดีไซน์มันต้องวิ่งให้ทันโลก โลกเปลี่ยนไปจากเดิมเมื่อ 7 ปีที่แล้วแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ผมเชื่อว่าหลายคนก็ฟังเพลงร็อกที่เปลี่ยนไปจากวันนั้น เพลย์ลิสต์ของเราเปลี่ยนไป 


กลัวไหมว่าการกลับมาจะไม่เหมือนเดิม การตอบรับจะน้อยลง

แบงค์: ผมรู้สึกว่าแค่เจอคนเดิมๆ ก็พอแล้ว ถ้ามันจะได้อะไรเพิ่มต่อจากนี้ก็คือของแถมแล้ว

พล: เราเข้าใจยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป เราเข้าใจว่าพวกเราหายไปตั้ง 7 ปี เราไม่ได้อยู่ในแฟชั่นดนตรี เด็กวัยรุ่นโตขึ้นทุกวัน อีกอย่างคนที่โตขึ้นมากับเราเขาก็ไม่ได้มีชีวิตมานั่งฟังเพลงเยอะแยะเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ไม่ได้ตามเราเหมือนเมื่อก่อน หลายคนมีครอบครัว มีลูกกันหมดแล้ว เรายังกลัวเลยว่าจะมาดูคอนเสิร์ตเราได้ไหม (ยิ้ม) เราก็ต้องเข้าใจเรื่องความเปลี่ยนแปลง ก็จริงอย่างที่แบงค์บอก เราอยากให้มีคนกลุ่มใหม่เข้ามาอยู่แล้ว แต่ก็ไม่ได้กังวลว่าคนจะหายไปเยอะมั้ย เราเข้าใจทุกความเปลี่ยนแปลง 


ในส่วนของการทำเพลงยุคปัจจุบันเปลี่ยนไปจากเดิมมากแค่ไหน

สุ่ม: อย่างตอนนี้เราไม่ทำอัลบั้มกันแล้ว ถ้าเป็นเมื่อก่อนเราทำเพลงออกมาทีทั้งอัลบั้ม จะมาทำทีละ 2 เพลงแบบนี้ต้องมีอาการไฟลนก้นกันแล้ว แต่ว่าครั้งนี้มันสบายๆ มี 2 เพลง ก็ปล่อยเพลงแรกไปก่อน ผ่านไปสัก 2 เดือนค่อยปล่อยเพลงที่ 2 ออกมา แต่มองในอีกด้านหนึ่ง ปล่อยทีละเพลงแบบนี้หมายความว่าคุณต้องทำให้สำเร็จทุกอันนะ ยิ่งน้อยต้องยิ่งมีคุณภาพ นี่คือความกดดันที่เราไม่เคยเจอ

ยักษ์: วิธีคิดคงคล้ายๆ เดิม แต่มันต่างออกไปตรงที่เรื่องของอุปกรณ์ เครื่องมือ และเสียงที่เกิดจากอุปกรณ์นั้นๆ ที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย มีการพัฒนาขึ้นหลายๆ อย่าง แต่สุดท้ายวิธีคิดพอมารวมเป็น Clash เนี่ยก็กลายเป็นหนึ่งเดียว ก็เป็นเสน่ห์ของมันอยู่ เป็นลายมือของแบงค์ตั้งแต่แรก เพียงแต่เราพัฒนาซาวนด์ขึ้น 

พล: เรารู้สึกว่าตอนนี้ตลาดเพลงมันโตขึ้น ในทิศทางที่น่าสนใจมากขึ้น การแยกกลุ่มก็ชัดเจนขึ้น ตอนนี้ทุกคนบนโลก รวมทั้งคนไทยมันชัดเจน เฮ้ย…นี่อินดี้นะ แต่อินดี้ลึกแค่ไหน ผมว่าเราทุกคนเห็นแล้วว่าตลาดมันชัดเจนขึ้น เพราะฉะนั้นการทำเพลงมันง่ายขึ้น บวกกับการทำเพลงระบบซิงเกิ้ล เพราะฉะนั้นทุกคนมีเวลา มีโอกาสให้แก้ได้ แต่ถ้าเป็นเมื่อก่อนทำอัลบั้มโป้งเดียวออกมา 10 เพลง ต้องไปวัดกันว่าเพลงที่เราโปรโมตมันติดเทรนด์มั้ย 

แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเรายังอยากทำเป็นอัลบั้ม เพราะเราตั้งใจแน่นอนแล้วว่าเราจะกลับมาทำเพลงกัน แต่ในอัลบั้มจะมีทั้งหมดกี่เพลงค่อยว่ากัน เพราะผมถือว่างานเพลงก็คืองานศิลป์มันต้องจับต้องได้ เราอยากให้มีงานอาร์ตเก็บไว้ในมือมากกว่าการเป็นสตรีมมิ่งที่ลอยอยู่บนอากาศ ผมเชื่อว่ายังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ยังซื้อแผ่นเพลง แต่ว่าชิ้นงานของเราต้องเคี่ยวให้มากขึ้นจริงๆ คนถึงจะยอมซื้อ 


Clash เป็นอีกวงดนตรีที่มีเอกลักษณ์ในการพรีเซ็นต์ชัดเจนมาก จนมีคนนำไปก๊อบปี้เต็มบ้านเต็มเมืองมาโดยตลอด วันนี้พวกคุณกลับมาอีกครั้ง รูปแบบเหล่านั้นจะเปลี่ยนไปไหม 

แบงค์: ผมว่ามันก็เป็นวงเรานะ เปลี่ยนไม่ได้หรอก แต่พออยู่บนเวที ก็อาจจะมีอะไรใหม่ๆ เข้ามา อาจจะมีต่อมอะไรบางอย่างที่เราไม่เคยใช้ มันก็คืออะไรใหม่ๆ ท่าต่างๆ ที่เคยเห็นที่คนชอบเอาไปล้อเลียน (ยิ้ม) เราก็ไม่ได้เตรียมไว้เป็นคอมโบเซ็ตในทุกคอนเสิร์ต มันออกมาเองตามจังหวะและความรู้สึกตอนนั้น นอกจากลีลาบนเวทีคอนเสิร์ตที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว เพลงของ Clash ก็ยังคงอยู่ในใจแฟนเพลงหลายเพลง และเพลงเหล่านั้นยังคงดังขึ้นมาอยู่เสมอ ถ้าให้แทนช่วงเวลาที่ Clash ห่างหายไปด้วยเพลงของพวกคุณ มันคือเพลงอะไร

พล: ในหัวผมวิ่งมาเลย ต้องท่อนนี้ หนาวใจจะขาด เพราะขาดเธอคนดี…ของเพลง ‘หนาว’ (หัวเราะ) เออ โมเมนต์นั้นที่พวกเรา 5 คนไม่ได้เจอกันเลย ต่างคนต่างอยู่ ต่างทำงานที่ตัวเองเคยฝันไว้ แต่มันมีช่วงว้าเหว่แหละ   

แบงค์: ตอนนั้นแต่ละคนก็ออกไปตามเส้นทางของตัวเอง บางคนวิ่ง บางคนเดินช้าๆ หรือเดินเร็วหน่อย หรือขับรถ มันทำให้นึกถึงเพลง ‘หยุดฝันก็ไปไม่ถึง’ 

สุ่ม: เรานึกถึงเพลงหน้า B ในชุดอัลบั้ม Emotion เพลงยากๆ อย่าง ‘ไม่หนีไม่แพ้’ จำเนื้อไม่ค่อยได้หรอก (ยิ้ม) แต่มันคือเพลงหนึ่งที่มีเทคนิคเต็มที่ในเพลง เป็นเพลงที่เล่นยาก ไม่ได้ชมกันเองนะ แต่สำหรับผมคือซาวนด์เราดีมาก จนต้องคิดว่าเราเคยทำได้ดีขนาดนี้เลยเหรอ 

ยักษ์: เพลงที่กำลังจะบอกเนี่ยมันเหมือนเราพูดกับแฟนคลับ แฟนเพลงทุกคนก่อนที่เราจะกลับมาวันนี้ เพลงนี้คือ ‘เพลงผีเสื้อ’ ครับ ทุกคำในเพลงมันบ่งบอกด้วยตัวเองแล้วว่าวันนั้นเรามีบางอย่างที่ต้องทำ แล้ววันหนึ่งเราจะกลับมา 

แฮ็ค: ของผมเป็นเพลง ‘นางฟ้าคนเดิมครับ’ ผมไม่ได้นึกถึง 5 คนนี้นะ (ยิ้ม) แต่ผมนึกถึงแฟนเพลง โดยเฉพาะท่อนที่ร้องว่ามีแต่เธอนั้น ไม่จากไปไหน ถึงฟ้าจะไม่สดใส เธอนั้นก็ยังอยู่… ผมว่าพวกเขาก็ยังอยู่กับเราเสมอไม่ว่าเราจะทำอะไร 

ไม่ได้ดั่งใจก็แคปหน้าจอไปประจาน ไดเร็กแมสเสจเธอก็แคปไปประณามถ้าร้ายแรงกว่านี้เธอคงฟ้องรัฐบาล ไม่พอใจเธอก็ Live พ่นไฟเล่านิทาน- ใจเย็นเย็น 


จากวงที่ผ่านเวทีการประกวดมาก่อน ถ้าลองจินตนาการว่าพวกคุณกลายเป็นวัยรุ่นในยุคนี้ คิดว่าจะยังประกวดวงดนตรีกันอยู่ไหม 

แบงค์: ผมไม่แน่ใจว่าเรื่องอิทธิพลการทำเพลงจะไปทิศไหน มันคิดไม่ออก เพราะถ้าย้อนไปตอนประกวด ตอนนั้นแรงบันดาลใจเราแรงมาก กว่าจะได้อะไรมาสักอย่างเราต้องวิ่งและตะกุยมันจนมือถลอกปอกเปิก เท้านี่เต็มไปด้วยตะปูมากมาย แต่ทุกวันนี้มันง่าย โดนเสิร์ฟไปหมด พอเสิร์ฟง่ายเราก็ไม่รู้ว่าถ้าเราเป็นแบบนี้เราจะยังตะบี้ตะบันขยันขันแข็งเหมือนเมื่อก่อนไหม บางทีความง่ายมันอาจจะทำให้รู้สึกว่ากลายเป็นงานอดิเรกไปเลยก็ได้มั้ง 

พล: หรืออาจจะไม่เลือกประกวด อาจจะทำเพลงกันแล้วปล่อยลงในเฟซบุ๊กหรือยูทูบเลยทุกวันนี้มีวงแบบนั้นค่อนข้างเยอะ ถามว่าเขาสนใจวงประกวดกันเหรอ…อย่างเมื่อก่อนตอนเราเด็กๆ มันไม่มีให้ดูหลากหลายแบบนี้ไง อย่างตอนประกวด Hot Wave มันต้องรอ เสาร์-อาทิตย์จะประกาศรางวัลกัน ผมเชื่อว่าเพื่อนๆ ตามโรงเรียนต้องอยู่หน้าวิทยุแล้วลุ้นว่าเพื่อนกูจะได้เข้ารอบมั้ยวะ


ช่วยขยายความคำว่ายากให้คนรุ่นใหม่เห็นภาพมากขึ้นสักหน่อยได้ไหม

แบงค์: อย่างเมื่อก่อนแค่คิดจะเรียนร้องเพลงก็หมดสิทธิ์เลยนะ เราไม่มีเงิน แต่สมัยนี้เราเปิดดูวิธีร้องเพลงจากที่บ้านได้เลย หรือสมัยก่อนเราต้องกรอเทปแกะเนื้อเพลง แกะดนตรีนะ ถ้าอยากเล่นเพลงฝรั่ง ก็ต้องซื้อแท็บมาแกะ ซึ่งราคามันไม่ถูกเลยนะ

พล: การกรอเทปมันเป็นยุคเรา พวกคนอายุ 30 ขึ้นไปจะเห็นภาพชัด เราจะต้องเคยกรอเทป หรืออัดเพลงใส่เทปให้สาว เราจะทำเพลย์ลิสต์ใส่เทปคาสเซ็ตต์กัน ถ้าไม่ซื้อเทปมาแกะ ก็ต้องซื้อแท็บ แท็บคือมันจะบอกทั้งโน้ตและตัวเลขเฟร็ตสำหรับเล่นดนตรี อันนี้จะง่ายหน่อย

สุ่ม: บางทีซื้อแท็บที่ซีร็อกซ์มาด้วย ไม่ใช่เล่มจริงนะ เพราะมันแพง (ยิ้ม) 

พล: ขายที 400-500 บาท แต่เดี๋ยวนี้ไม่ต้องซื้อเลย เสิร์ชอินเทอร์เน็ตก็เจอ แถมมีหลายเวอร์ชั่นให้เลือกเลย 

แบงค์: สมัยนี้มีให้ลองฟังก่อนด้วยเข้าไปใน Apple Music กดฟังดูก่อน แล้วค่อยว่ากันว่าจะซื้อมั้ย แต่สมัยก่อนต้องซื้อทั้งอัลบั้ม โดยที่ไม่รู้ว่าดีหรือเปล่า 

พล: สื่อทุกวันนี้ก็ไวด้วย แล้วที่ถามว่าถ้าประกวดทุกวันนี้จะเป็นแบบไหน มีอย่างหนึ่งที่ผมหวั่นใจมากคือเด็กสมัยนี้เก่งมากนะ เด็กที่เล่นดนตรีในยูทูบทั้งหลาย ผมเห็นแล้วแบบโอ้โห… วัยนี้ตัวแค่นี้เล่นกันเก่งขนาดนี้เลยหรอ 


นับตั้งแต่ ‘Lucifer’ วงดนตรีประกวดเวทีมัธยมฯ จนถึง ‘Clash’ ที่เป็นอยู่ ถ้าเปรียบเทียบกับผู้ชายคนหนึ่ง คุณคิดว่าเขาคือผู้ชายแบบไหน 

ยักษ์: ก็เป็นเด็กที่ผ่านประสบการณ์สูงใช้ได้เลยนะ ผ่านทั้งวัยกระเตาะกระแตะ แล้วโตมาเป็นเด็กผู้ชายเกเรอยู่ช่วงหนึ่ง มีตีรันฟันแทงบ้าง จนวันหนึ่งมันรู้แล้วว่าอะไรดี อะไรไม่ดี ทุกวันนี้มันคือผู้ใหญ่ที่ยังมีความเป็นเด็กซ่อนอยู่ ยังมีไฟและยังอยากผจญภัย ไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่เข้าใจโลกถึงจุดที่เตรียมบวช 

แฮ็ค: ผมว่าน่าจะเป็นเด็กที่โตขึ้นมาแล้วมีระเบียบวินัยในตัวเอง เพราะเขาทำงานกันมาตั้งแต่อายุยังน้อย แล้วก็ไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นอย่างจริงจัง ก็คือโตมาก็ทำงานแล้ว ผมว่าต้องเป็นเด็กอายุ 20 ที่มีระเบียบวินัยในตัวเองที่ดีทีเดียว 

พล: สำหรับผม ผมเห็นเด็กที่ชื่อ ‘Clash’ มีรอยสักเต็มตัว แต่เขาเป็นคนสุภาพ พร้อมจะเดินไปข้างหน้าไม่ว่ามันจะผิดหวังหรือสมหวัง ผมว่าเด็กคนนี้มันพร้อมจะเจอกับทุกสิ่งในอนาคตแล้ว 

สุ่ม: คงเป็นเด็กอายุ 20 ที่น่าจะนิ่งกว่าเด็กหลายคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะว่ามีประสบการณ์มาเยอะ และไม่ใช่ประสบการณ์ด้านเดียวด้วย เหมือนช่วงหนึ่งเด็กคนนี้อาจจะออกไปทำนู่นนี่ 4-5 อย่าง แต่สุดท้ายมันก็กลับมาทำงานหลักของตัวเอง มันได้ประสบการณ์หลากหลายในชีวิต 

แบงค์: ผมขอเอาคำพูดของเพื่อนทั้งหมดมายำรวมกัน เพราะตอบครบไปหมดแล้ว (ยิ้ม) ผมว่ามันก็เป็นเด็กคนหนึ่งอย่างที่ยักษ์บอกว่าผ่านอะไรมาเยอะ ส่วนแฮ็คบอกว่านี่ 20 แล้วนะ โตขึ้นแล้ว ความรับผิดชอบมากขึ้น ส่วนพลบอกว่ารอยสักเต็มตัว และพร้อมจะไปสู้ต่อ สุ่มบอกว่าเป็นคนที่ลองซ้ายลองขวามาหมดแล้ว จากฝึกงานจนมาบรรจุเป็นพนักงานบริษัทหนึ่ง แล้วก็ไปฝึกงานต่อ มีช่วงเวลาที่หยุดไปเพื่ออยู่เฉยๆ ดูว่าต้องการอะไรจริงๆ แล้ววันนี้มันก็กลับมาทำงานที่รักที่สุดแล้ว น่าจะประสบความสำเร็จที่สุด โดยที่ยังไม่ถึงอายุ 25-30 ก็ถือว่าตกผลึกไวกว่าคนอื่นนิดนึง