ซีรี่ส์เรื่อง ‘Make It Right Side Story รักออกเดิน’ นิยายวัยรุ่นเรื่องดังที่ถูกนำมาสร้างเป็นซีรี่ส์ ถือเป็นการเริ่มต้นก้าวแรกบนเส้นทางวงการบันเทิงของสองหนุ่มคลื่นลูกใหม่ บูม–กฤตภัค อุดมพานิช และพีค–ภีมพล พาณิชย์ธำรง เด็กหนุ่ม 2 คนนี้คือเจเนอเรชั่นล่าสุดที่กำลังเริ่มต้นเดินทางต่อยอดความฝันของตัวเอง ความน่ารักสมวัย รวมถึงพัฒนาการด้านการแสดง ยังคงเป็นสิ่งที่เรารอคอยจะได้เห็นผลงานเรื่องต่อไปของพวกเขาทั้งคู่
การเจอกันครั้งแรก
พีค: “บูมดูเป็นเด็กหิวข้าวครับ ยังจำได้เลยวันนั้นพอลงจากเครื่องมา บูมก็กินข้าวมันไก่สองจานเลยครับ”
บูม: “ช่วงนั้นระบบย่อยอาหารมันดีครับเลยกินเยอะไปหน่อย ตอนเจอพีคผมก็รู้สึกธรรมดานี่แหละ ส่วนตัวผมเป็นเด็กต่างจังหวัดมาจากจังหวัดอุดรธานี มานี่ก็เหมือนเจอเพื่อนใหม่ในกรุงเทพฯ ก็ดีนะครับ จะได้มีเพื่อนหลายๆจังหวัด”
บทบาทการแสดงครั้งแรก
พีค: “ช่วงแรกที่ถ่ายก็มีติดขัดอยู่บ้าง แต่พอช่วงหลังผมเริ่มรู้สึกสนุกไปกับมัน ตอนเวิร์คช็อปผู้กำกับเขาก็จะสังเกตว่า ชีวิตแต่ละคนเป็นอย่างไร คาแรกเตอร์ของเราจะเข้ากับตัวละครหรือเปล่า ผมรับบทเป็น ฟิวส์ เด็กผู้ชายสดใสยิ้มเก่ง รักเพื่อน เป็นเหมือนเด็กโลกสวยที่มีความสุขในทุกสิ่งที่ทำ รักเพื่อน รักครอบครัว บทนี้ค่อนข้างจะเหมือนผม ถ้ารู้จักพีคจริงๆ ก็น่าจะเป็นคนประมาณนี้แหละ”
บูม: “ผมรับบทเป็น ธีร์ เขาจะเป็นคนมีมาด เด็กดีตั้งใจเรียน และรักเพื่อนฝูง อบอุ่น เป็นคนรักครอบครัว ซึ่งค่อนข้างเหมือนนิสัยจริงซะส่วนใหญ่ครับ (หัวเราะ) บทนี้ค่อนข้างตรงคาแรกเตอร์ผมนะ รู้สึกว่าเหมาะกับตัวละครนี้ครับ โชคดีที่เราทั้งคู่จูนกันได้อัติโนมัติครับ เราไม่ต้องมานั่งคอยบอกกันว่า ต้องทำแบบนี้ อยู่ด้วยกันเรารู้กันเอง ลื่นไหลไปได้เรื่อยๆ เวลาท้อก็ช่วยให้กำลังใจกัน”
ตอนตัดสินใจรับบทนี้ เคยรู้มาก่อนไหมว่าต้องจิ้นกัน
พีค: “ไม่รู้เลยครับ ตอนแรกที่ติดต่อมาเพื่อคัดเลือกนักแสดง เขาบอกแค่ว่า จะเป็นซี่รี่ส์ผู้ชายแนวน่ารัก ตอนนั้นผมก็คิดอยู่หมือนกันว่า น่ารักยังไงวะ พอรู้ก็เหมือนมันเริ่มไปแล้วแหละครับ และพวกเราก็สนุกกับการทำอะไรใหม่ๆ ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ ผมก็ไม่ได้อะไร เพราะมันเป็นการแสดงและยังเป็นบทแรกในชีวิตเลยครับ”
บูม: “ของผมตอนแรกเขาเกริ่นมาว่า จะได้เล่นซีรี่ส์เกี่ยวกับพลังวิเศษ บอกว่าให้ไปดูหนังเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ มาเลยนะ แล้วผมก็ไปดูมา ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เรียกว่าตั้งหน้าตั้งตารอคอย สรุปวันถ่ายจริงก็รู้สึกตกใจครับ ตื่นเต้นหนักกว่าเก่าอีก เพราะดันกลายเป็นอีกบทที่คาดไม่ถึง เป็นพลังเหนือชาย พลังโคตรบุรุษครับ (หัวเราะ) ซึ่งพี่เขาไม่ได้หลอกเรามาเล่นบทนี้หรอกนะครับ มันเป็นอีกโปรเจกต์หนึ่งที่ถูกเลื่อนไปก่อน”
ฝึกฝนและทำการบ้าน
พีค: “เราก็เป็นเด็กทั่วไป อาจจะไม่มีความรู้และประสบการณ์การแสดงสักเท่าไหร่ ที่ผ่านมาเราทำการบ้านเยอะพอสมควรครับ มีไปเรียนแอ็คติ้ง เวิร์คช็อปกันอยู่ 2-3 เดือนครับ
บูม: “เราเรียนตั้งแต่พื้นฐานเลย พี่ๆ เขาก็สอนเราเยอะอยู่ครับ เราก็ต้องกลับไปตีบทให้แตก ซ้อมบท แล้วก็ทำความเข้าใจตัวละครของเราครับ”
นิยามการทำงานของคลื่นลูกใหม่
บูม: “ต้องมีกำลังใจให้มากๆครับ ทำวันนี้ให้ดี ตั้งใจทำงาน ขยันๆ ถ้ามีโอกาสสำหรับบทใหม่พวกผมก็ยินดีนะครับ คงแล้วแต่โอกาสที่เข้ามาแหละครับ”
พีค: “สำหรับพีคก็เหมือนกับบูมนี่แหละ ทำวันนี้ให้ดีครับ ไม่ต้องคิดไปถึงอนาคตว่าจะเดินไปในทิศไหน ทำตอนนี้ให้ดีที่สุด วันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรก็อยู่ที่เรานี่แหละครับ เป้าหมายในวงการบันเทิง ผมอยากแสดงบทคนที่ไม่ดีบ้าง บทที่แตกต่างไปจากตัวเราที่เป็นคนดี (หัวเราะ) อีกอย่างหนึ่งคือ อยากเล่นดนตรี แต่ก็ได้เล่นกับเรื่องล่าสุดไปแล้ว”
ระหว่างบูม–พีค คิดว่าใครแสดงเก่งกว่ากัน
พีค: “เราก็ต้องชมอีกฝ่ายหนึ่งแหละครับ แต่ถ้าจะให้พูดจริงๆ ก็คือเก่งเท่ากันแหละ แต่ละคนก็จะมีวิธีการแสดงไม่เหมือนกัน”
บูม: “ใช่ แต่เราก็เพิ่งเริ่มต้นก็ยังต้องเรียนรู้อีกมากครับ งานนักแสดงเป็นเหมือนโอกาสที่ผมไม่เคยคิดจะได้รับ เพราะผมพูดไม่ค่อยเก่งเลย แต่ต่อไปก็คิดว่า ถ้าตัวเองขยันและฝึกฝนไปเรื่อยๆ ก็น่าจะดีขึ้นได้”
ชอบการเป็นนักแสดงไหม
พีค: “ส่วนตัวผมมองว่าการเป็นนักแสดงไม่ใช่เรื่องง่าย ชีวิตส่วนหนึ่งของเรามันจะหายไปแน่ๆ เวลาสนุกสนานกับเพื่อนๆ เวลาเรียน แต่พอเราได้มาทำงานด้านนี้ ผมก็สนุกในการแสดงเพิ่มขึ้นมาแทน”
วิธีละลายพฤติกรรม
พีค: “พวกเราต้องเวิร์คช็อปกันอยู่หลายเดือนเลย ทุกคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน บูมเป็นคนที่เราต้องเข้าคู่ด้วย ตอนนั้นผมยังไม่เคยเจอเขามาก่อน เราก็แอบลุ้นนิดนึงว่าเขาจะเป็นคนอย่างไร แต่ตอนนี้ก็สามารถเข้าขากันได้ดีแล้วครับ จริงๆ ผมต้องเป็นพี่ แต่ให้บูมเขามองว่าเราเป็นเพื่อนดีกว่า ต้องสนิทกันครับเลยต้องเป็นเพื่อนกัน เรียกกูมึงตามปกติ พอได้อยู่ด้วยกันไปเรื่อยๆ เราเริ่มรู้จักนิสัยกันมากขึ้น เรารู้ว่าทำแบบนี้ถึงจะชอบนะ แบบนี้ไม่ชอบนะ”
บูม: เหมือนพวกเราจูนกันได้อัตโนมัติครับ ไม่ได้มานั่งแบบว่าต้องทำแบบนี้ อยู่ด้วยกันมันรู้เองก็ลื่นไหลไปเรื่อยๆครับ รู้กันเอง ปกติก็ช่วยให้กำลังใจกันครับ สู้เว่ย! บางทีเป็นฉากยาก เราก็ต้องใช้อารมณ์ทางดราม่า”
พีค: “ฉากยากที่สุดคือ ฉากเลิฟซีน ตอนแรกก็อาจจะมีเกร็งๆ หน่อย เพราะพวกเรายังไม่ได้สนิทกัน จะเขินมาก แต่พอภายหลังเริ่มคุ้นเคยกันมากขึ้นก็เต็มที่ครับ (หัวเราะ)”
ความสนิทในจอกับนอกจอแบบไหนสนิทกว่ากัน
พีค: “นอกจอครับ เพราะว่าในบทพวกเราแทบจะไม่ได้คุยกันเท่าไหร่ ได้แค่มองตา ออกแนวงอนๆ กันมากกว่า”
บูม: “สิ่งที่ทำให้เราสนิทกันก็คงเป็นเพราะได้เจอกันบ่อยๆ นี่แหละครับ พวกผมเจอกันบ่อยที่สุดในกอง ไม่ได้เจอหน้าใคร (หัวเราะ) ด้วยความที่ต้องเข้าฉากพร้อมกัน ออกงานด้วยกัน เรียกว่าพวกเราอยู่ด้วยกันจนรู้จักนิสัยกันหมดเปลือกแล้ว เวลาทำงานด้วยกันทุกครั้งพวกเราก็จะให้กำลังใจ อาจจะไม่ได้เข้ามาพูดกันตรงๆ แต่เป็นเหมือนความรู้สึกที่รู้กันเอง สู้ไปด้วยกัน”
ความหมายของคำว่า มิตรภาพ
พีค: “สำหรับผม มันคงเป็นความรักที่แต่ละคนมีให้กันครับ ความห่วงใย เป็นสิ่งที่รวมหลายๆอย่างเข้าไว้ด้วยกัน”
บูม: “มิตรภาพคือความจริงใจที่มีให้กันครับ เราสามารถพึ่งพากันได้ โดยไม่ต้องไปบังคับใจอีกฝ่าย ช่วยเหลือกัน”
บูมมองว่า พีคเป็นเพื่อนแบบไหนในชีวิต
บูม: “เขาเป็นเพื่อนที่ดีครับ ช่วยเหลือกันได้เสมอ พีคจะเป็นคนที่เราคุยได้ เข้าใจกันได้ เหมือนเรารู้ด้วยตัวเองว่าเพื่อนคนนี้สามารถพึ่งพาได้ อยู่ด้วยกันก็รู้กันเอง”
แล้วพีคมองว่าบูมเป็นคนอย่างไร
พีค: “อย่างที่บอกครับว่า ตอนช่วงเวิร์คช็อป บูมเป็นคนที่ต้องเข้าคู่ด้วย เราก็เลยลุ้นนิดนึงว่าเขาเป็นคนอย่างไร เจอครั้งแรกเขาก็ดูเป็นเด็กปกติดี พอได้อยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆ ผมก็รู้สึกแฮปปี้ครับ”
บูม: “ของผมก็รู้สึกปกติครับ ตั้งแต่แรกจนถึงวันนี้ ก็ยังดูเหมือนเดิมครับ ดูเป็นคนดีครับ (หัวเราะ) แล้วก็ดูจิตใจดีครับ ละเอียดอ่อน (หัวเราะ) รักครอบครัว แล้วก็ชอบไปทัวร์กินอาหาร สายกิน”
พีค: “บูมนี่เป็นที่พึ่งที่ดีเลย สมมติว่าเราไม่ได้เอาสบู่แชมพูมา เราก็สามารถยืมบูมได้ครับ พูดได้ว่าเป็นคนอนามัย ต้องนอนครบเจ็ดชั่วโมง เวลาเราไปต่างประเทศ ถ้าเราอยู่กับเขา เราจะได้นอนเต็มที่ ถ้าเราอยู่กับเพื่อนคนอื่นไม่ได้พักผ่อนเต็มที่แบบนี้หรอกนะครับ แล้วบูมจะเป็นคนชอบทำอาหารครับ ส่วนผมเป็นสายกิน (หัวเราะ)”
เรียกว่าบูมได้เข้ามาเปลี่ยนชีวิตอะไรไปบ้างหรือเปล่า?
พีค: “ก็อาจจะเปลี่ยน..บางทีเราก็อยากดูแลตัวเองให้ได้เหมือนเขาบ้าง เป็นตัวอย่างที่ดีครับ”
บูม: “ใช่ครับ (หัวเราะ)”
ถ้าครีเอทเมนูอาหารขึ้นมาหนึ่งเมนูให้พีค บูมจะทำจานไหน?
บูม: “ไข่ต้มครับ (หัวเราะ) เป็นเมนูที่มีสารอาหารเยอะ โปรตีนสูง”
พีค: “ดีครับ ผมเป็นคนชอบกินไข่ต้มครับ ชอบไข่ต้ม เพราะบูมทำให้กินครับ (หัวเราะ)”
ถ้าสลับตัวกันได้หนึ่งวัน เราอยากเข้าไปเห็นอะไรในตัวอีกคน
พีค: “อยากเห็นความคิดของบูมว่า เขากำลังคิดอะไร เพราะบางทีเราก็เดาไม่ออกเลย”
บูม: “อยากเห็นการใช้ชีวิตของพีคครับ เวลาเขาไปร้านอาหารอร่อยๆ เราก็อยากตามไปลองกินบ้าง พีคจะชอบกินไปเรื่อยๆ พีคชอบกินอะไรหลายอย่างเลยนะครับ”
พีค: “ผมอยากกินเนื้อย่างครับ”
พีคจะมีโอกาสได้กินเนื้อย่างฝีมือของบูมไหม
บูม: “เดี๋ยววันไหน ถ้าได้เนื้อดีๆ มา ผมจะทำให้บูมกินแน่นอน (หัวเราะ)”
โมเมนต์น่ารักของแฟนคลับที่ประทับใจ
บูม: “ยังน่ารักเหมือนเดิมทุกคนครับ ทุกครั้งที่เจอกันพวกเขาจะมีขนมนมเนยมาฝากให้กันตลอดเลย ทำให้เราอิ่มท้อง แค่ได้ของกินมาก็ร่าเริงแล้ว พอได้มาทีก็แบ่งกันปาร์ตี้ภายในกอง”
พีค: “ซีรี่ส์เรื่อง ‘Make It Right Side Story รักออกเดิน’ เป็นนิยายที่เคยดังในเว็บไซต์มาก่อน คนก็อยากจะรู้ว่าภาพในหัวที่จินตนาการจะตรงกับคนที่มาแสดงหรือเปล่า ที่ผ่านมาเราก็แอบเข้าไปส่องกันบ้าง เสียงตอบรับก็ค่อนข้างดี มีคนบอกว่า คนนี้ก็เหมาะกับการเป็นฟิวส์ คนนี้เหมาะกับการเป็นธีร์ ผมก็อยากขอบคุณสำหรับการติดตามมากครับ”
INTERVIEW 112 – ออฟกันต์
เรื่อง: เสาวภัคย์ อัยสานนท์
Puppy Honey
#ปิ๊กโรม ติดชาร์จอันดับแฮชแท็คยอดฮิตบนโลกโซเชียลอยู่ช่วงหนึ่ง แต่นี่คงไม่ได้เป็นเพียงบทบาทเดียวที่การันตีถึงความสำเร็จอย่างถล่มทลายของตัวละครคู่จิ้นรุ่นพี่–รุ่นน้อง ออฟ–จุมพล อดุลกิตติพร และ กัน–อรรถพันธ์ พูลสวัสดิ์ จากซีรี่ส์เรื่อง ‘รุ่นพี่ Secret Love’ ตอน Puppy Honey เพราะนอกจอพวกเขาทั้งคู่ยังได้รับบทบาทให้เป็น ‘ป่าปี๊–ม่ามี๊’ ของแฟนคลับที่เปรียบเสมือนครอบครัวอันแสนอบอุ่น
การเจอกันครั้งแรก
ออฟ: “ไม่ชอบหน้ากันครับ (หัวเราะ) วันแรกที่พวกเราเจอกันเป็นวันทำบุญของตึกแกรมมี่ ซึ่งส่วนตัวผมจะไม่ค่อยชอบหน้าเด็กที่เข้ามาใหม่อยู่แล้ว ผมนิสัยไม่ค่อยดี ตอนเห็นเขาครั้งแรก ก็คิดในใจว่า ไอ้เด็กนี่มันเป็นใคร เข้ามาใหม่อีกแล้วหรอ แต่พอได้อยู่ด้วยกันมาเรื่อยๆ เราก็สนิทกันมากเลยครับ”
กัน: “ผมมองว่าพี่ออฟเป็นคนนิ่ง ดูเงียบๆ แต่พอได้รู้จักถึงรู้ว่าพี่เขาเป็นคนตลกมาก แล้วเราสองคนชอบเรื่องเสื้อผ้าการแต่งตัวเหมือนกันด้วยเลยทำให้คุยกันง่าย วันไหนว่างๆ เราก็จะชวนกันออกไปซื้อของบ่อยๆ”
#ปิ๊กโรม คาแรกเตอร์ในละครกับนิสัยในชีวิตจริง
กัน: “ในเรื่องผมรับบทเป็นรุ่นน้องปี 1 ที่เรียนคณะนิเทศศาสตร์ คาแรกเตอร์ของกันต์จะเดินตามคนอื่นเขาไปมา ตอนแรกก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย พอมาซีซั่นสองถึงเริ่มรู้สึกว่าตัวเองชอบพี่คนนี้ ชอบตื๊อ อยากรู้ความจริงว่าเราเป็นอะไร บท ‘โรม’ ค่อนข้างเหมือนผมนะครับ โรมจะเป็นสายแหย่และขี้เล่นเหมือนกัน (หัวเราะ)”
ออฟ: “คาแรกเตอร์ของปิ๊กในเรื่องจะเป็นคนปากหมานิดนึง ปากไม่ค่อยดี กวนประสาทเล็กน้อย แต่จะเป็นคนเรียนเก่ง เรียนคณะสัตวแพทย์ ของผมก็เหมือนกันนะ ไม่ได้ต่างกันเยอะมาก เพราะส่วนหนึ่งของตัวละครนี้ก็สร้างขึ้นมาจากตัวตนของเรานี่แหละ เพราะเขาสัมภาษณ์เราก่อนที่จะไปเขียนบท ซึ่งผมว่าก็ดีนะ ถ้าเราได้เล่นสิ่งที่ใกล้เคียงกับเรา มันจะทำออกมาได้ดี อินกับมันครับ”
ทำไมถึงตัดสินใจรับเล่นบทนี้
กัน: “ผมเคยเล่นเล่นบทแนวคู่จิ้นมาก่อนหน้านี้แล้ว ตอนแรกเราเองก็เคยคิดจะพอแล้วกับบทคู่จิ้นนะ แต่พอได้คุยถึงเรื่องราวในเรื่อง นักแสดงที่จะมาเล่นคู่ด้วย ผมรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้จิ้นจ๋าหรือน่ากลัวอะไรขนาดนั้น พอได้ฟังก็อยากลองเล่นดูอีกสักเรื่อง ซึ่งพอได้เล่นความรู้สึกมันค่อนข้างต่างจากเรื่องก่อนๆ ที่เคยเล่นมา ที่ผ่านมาจะออกแนวจริงจังและเครียดหน่อย แต่เรื่องนี้จะเป็นความน่ารักวัยรุ่นใสๆ”
ออฟ: “ผมไม่คิดที่จะปฏิเสธบทนี้เลยนะครับ สำหรับผมนี่เป็นอีกหนึ่งบทที่เราไม่เคยได้เล่นมาก่อน ผมไม่เคยมองว่า คู่ที่เป็นแบบนี้ไม่ดี ถือเป็นความท้าทายใหม่ของเรา ก็เลยตัดสินใจรับเล่นบทนี้ครับ”
กลัวคนติดภาพคู่จิ้นไหม
กัน: “ไม่เคยกลัวเลย ถ้ากลัวคงจะไม่รับเล่นบทนี้ตั้งแต่แรก ผมกลับคิดว่า ถ้าเราเล่นถึงคนดูจริงๆ ต่อไปไปเล่นเรื่องอื่นคนก็สามารถเชื่อว่าเราเป็นอีกบทหนึ่งได้เหมือนกัน ถ้าจะติดว่าเป็นคู้จิ้น จริงๆ ก็ดีนะที่คนจะจดจำพวกเราสองคนได้ว่าครั้งหนึ่งเคยรักกัน เราสามารถเล่นได้หลายแบบก็อยากให้ทุกคนลองดู”
ออฟ: “ผมมองว่าเป็นข้อดีด้วยซ้ำที่เราสองคนสามารถเล่นได้แล้วคนสามารถจำได้ ผมไม่ได้กลัวเลยว่าคนจะติดภาพคู่จิ้นเพราะมันเป็นผลงานของเรา ถ้าเราทำออกมาดี แล้วเขาจำได้ มันเป็นข้อดีเสียอีกที่เขาสามารถจำเราได้ในจุดๆ นี้ เรื่องนี้เราก็ต้องทำให้ได้ดีเหมือนกัน ให้เขาจำเราได้ ไม่ใช่แค่เป็นเรื่องนี้เรื่องเดียว”
กัน: “ถ้าจะพูดถึงข้อเสียก็คงจะเป็นเรื่องคนอาจเข้าใจผิดว่าเราเป็นเกย์จริงๆหรือเปล่า แตเราเลิกคิดเรื่องนี้ไปแล้ว เคยมีคนมาทักนะ (หัวเราะ) พอมาเป็นแบบนี้เราเห็นข้อดีมากกว่าข้อเสีย มีคนรักเรามากขึ้น ตอนนี้คนที่เขาชื่นชอบพวกเราทั้งคู่ ไม่ได้หมายความเขาอยากเห็นเราอยู่ด้วยกัน แต่ถึงเราแยกกันเขาก็ยังจะตามพวกเราทั้งคู่อยู่ดีครับ เป็นกัน เป็นออฟ”
มุมมองความรักเพศเดียวกัน
ออฟ: “ผมมองว่าเป็นเรื่องปกติมากครับ คนเหล่านี้เขามีความสามารถเยอะกว่าเราด้วยซ้ำ ลองสังเกตดูว่า ตอนประถมใครเป็นคนจัดบอร์ด ตอนมัธยมใครเป็นคนจัดนิทรรศการ ตอนมหาวิทยาลัยใครเป็นหลีด ก็คนแบบนี้ทั้งนั้นแหละครับ คนเราจะเป็นแบบไหนก็เป็นเถอะ จะรักใครก็รักไปเถอะ มันเป็นเรื่องของคนสองคน เราจะไปห้ามเขาทำไม”
กัน: “ผมรู้สึกว่ามันก็คือความรัก ไม่จำกัดเพศ นี่มันยุคไหนสมัยไหนกันแล้ว เรื่องความรักมันไม่ได้ระบุหรอกว่า ต้องเป็นหญิงกับชายรักกันถึงจะถูก ตอนนี้เราก็เห็นว่ามีคู่รักหลากหลายเพศผุดขึ้นมาให้เห็นกันเยอะมากบนอินเตอร์เนต มันก็เป็นเรื่องของความรักน่ะครับ ถ้าเราอยู่กับเขาแล้วรู้สึกดี เขาสามารถดูแลเราได้ ใช้ชีวิตคู่แล้วมีความสุข เกื้อหนุนกัน ไม่ได้ดึงใครให้ตกต่ำลงมา ผมว่า แค่นั้นก็พอแล้ว อีกอย่างหนึ่งคือ เดี๋ยวนี้สังคมเปิดรับมากขึ้นด้วย ผู้หญิงส่วนมากชอบเห็นความสัมพันธ์แบบผู้ชายกับผู้ชายดูแลกัน บางคนอาจจะเป็นผู้ชายแท้ๆ แต่มาดูแลกัน ผู้หญิงก็จะคิดว่าทำไมเขาดูแลกันแล้วดูน่ารักดี ฝั่งบ้านเราก็เริ่มมีคู่จิ้นมากขึ้น คนสมัยนี้เลยเห็นว่ามันน่ารักมากขึ้น”
#ออฟกัน กับเคมีที่เข้ากันอย่างลงตัว
ออฟ: “สนิทขนาดที่ว่าผมสามารถเล่าในสิ่งที่เราไม่สามารถเล่าให้คนอื่นฟังได้ ก็มีเรื่องความลับเยอะเหมือนกันครับที่มันรู้ ผมก็รู้ของมันบ้างนิดหน่อย ผมอาจจะบอกได้หมดเลยนะในทุกเรื่อง”
กัน: “คิดว่า คงเป็นแบบนี้เป็นกันต์กับปาปี๊ไปเรื่อยๆ ถึงเราจะไม่ได้เล่นซี่รี่ส์ด้วยกัน มีงานร่วมกัน เราก็ยังติดต่อ เจอกันบ่อยๆ เวลาอยู่ด้วยกันมันก็สนุกดี ไม่ได้แบบว่าอยู่ด้วยกันแล้วต้องมานั่งเครียด”
ออฟ: “โชคดีที่เราทั้งสองคนสนิทกันนอกจอด้วยครับ สนิทจริงๆ สนิทกันไปแบบไปไหนมาไหนด้วยกัน นัดออกมาเที่ยวเล่นด้วยกัน มิตรภาพของเราก็คงจะยาวๆไป ไม่เหมือนคู่อื่นที่อาจจะในจอเป็นอีกอย่างหนึ่ง นอกจอเป็นอีกอย่างหนึ่ง
เรื่องน่าเป็นห่วงของอีกคนที่รู้สึกกังวลใจ
กัน: “เขารู้เองแหละครับ โตแล้ว”
ออฟ: “เรื่องที่ดูแลน้องนั่นแหละ ตอนนี้กันต์เขาเป็นหัวหน้าครอบครัวแล้ว มีน้องสาว แม่ก็ไม่อยู่แล้ว นี่ก็ต้องเป็นคนคอยดูแลน้อง น้องพิมอยู่ไหน น้องไปไหน ไปรับส่ง ซื้อของให้น้อง ก็ดีกว่าก่อน เมื่อก่อนเขาอาจจะมีแม่คอยดูแลแต่ตอนนี้ต้องเป็นเขาคนเดียวแล้วที่ดูแลน้อง วางอนาคตไว้ว่าน้องจะเป็นอย่างไร”
กัน: “สองปีแล้วที่ได้รู้จักพี่ออฟ เขาโตขึ้นเยอะเหมือนกันครับ ตอนนี้เขาเริ่มคิดถึงอนาคตมากขึ้นว่าจะวางแผนชีวิตทำอะไร เก็บเงินเอาไปใช้อย่างไร”
ออฟเป็นที่พึ่งของกันต์ได้ไหม
กัน: “ก็พึ่งได้ถ้าสามารถรับโทรศัพท์เร็วขึ้นกว่าเดิม ชอบรับโทรศัพท์ช้า ป่าปี๊ไม่ค่อยชอบรับโทรศัพท์ (หัวเราะ)”
บทบาทรุ่นพี่–รุ่นน้องที่มากกว่าในจอ
ออฟ: “ตอนไปมีทแอนด์กรี๊ดที่เกาหลีใต้ครั้งแรกครับ พอไปอยู่ที่โน่น เรารู้สึกว่า ชีวิตเรามาถึงจุดนี้เลยเหรอวะ มีคนต่างชาติมาชอบ เราจัดงานให้คนต่างชาติ เราก็ประทับใจร้องไห้กันทั้งคู่ ว่าวันหนึ่งมาถึงจุดนี้กันได้ยังไงวะ”
กัน: “จำได้ว่า ล่าสุดเลยคงเป็นคอนเสิร์ต Y มั้ง วันนั้นต้องขึ้นคู่กัน เราก็ต้องช่วยกัน เขาบอกว่า เดี๋ยวทำแบบนี้ มึงตามกูมานะ กอด เพราะกันต์ตื่นเต้นมากที่ซ้อมมาพอวันแสดงจริงกลัวลืมมาก”
ออฟ: “กันต์จะชอบตื่นเต้นเวลาเจอสถานการณ์ใหญ่ๆ แล้วเขาจะล่ก เราก็ต้องพูดให้ความมั่นใจน้องว่า สบายมาก ทำได้อยู่แล้ว ไม่งั้นเตลิดแน่ ซึ่งอันที่จริงเราก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่เราก็ต้องแกล้งปกติในฐานะพี่”
กระแสตอบรับจากแฟนคลับเป็นอย่างไรบ้าง
ออฟ: “เสียงตอบรับดีมากครับ มีอยู่ช่วงนึงที่พวกเราติดอันดับแฮชแท็กยอดนิยมในทวิตเตอร์ด้วย คำว่า #รุ่นพี่secertlove #puppyhoney และ #ปิ๊กโรม ติดอันดับพร้อมกันเลยครับ ทำเอาตกใจกันเลย เพราะที่ผ่านมาผมเล่นกับผู้หญิงมาประมาณ 4-5 เรื่อง ไม่เคยมีแบบนี้ แต่พอได้มาเล่นกับผู้ชายเรื่องแรกก็มีเลย“
กัน: “พี่ออฟก็จะเป็นป่าปี๊ของทุกคน (หัวเราะ)”
#ป่าปี๊ของกัน คำว่า ‘ป่าปี๊’ มาจากไหน?
กัน: “คำว่า ป่าปี๊ มาจากซีซั่นแรกเลยครับ ‘Puppy Honey’ ผมเป็นคนเริ่มต้นเรียกพี่ออฟแบบนี้ก่อน จนคนติดเรียกตามกัน”
ออฟ: “ตอนแรกก็งงมาก อยู่ๆ แฟนคลับก็เรียกป่าปี๊ เวลาโดนเรียกแล้วจะรู้สึกเขินๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นพ่อคนแล้วหรอ แล้วจริงๆ พวกเรามีชื่อประจำด้อมด้วยนะ ชื่อว่า ‘เบบี๋’ ด้อมเป็นบ้านที่แฟนคลับของเราทั้งคู่รวมตัวกัน อย่างผมก็จะเป็นป่าปี๊ ส่วนกันก็จะเป็นม่ามี๊ แฟนคลับก็จะเรียกแทนตัวเองว่า เบบี๋ (หัวเราะ)”
#เบบี๋ของออฟกัน เหล่าแฟนคลับที่เปรียบเสมือนครอบครัว
ออฟ: “ไม่อยากพูดถึงเลยเดี๋ยวร้องไห้ (หัวเราะ) ผมอยากขอบคุณทุกคนที่ติดตามกัน รักกันตั้งแต่วันแรก ไม่คิดหรอกว่า วันหนึ่งจะมีคนมาชอบเรา มาติดตามเราเยอะขนาดนี้ แล้วผมรู้สึกว่า เขาให้ใจเราจริงๆ นะ จากที่เราสองคนเป็นใครไม่รู้ วันนี้ก็มีคนมาติดตามพวกเรามากขึ้นเรื่อยๆ อยากขอบคุณจริงๆครับ”
กัน: “เคยมีคนรีทวิตมาหาเราถึงความรู้สึกที่มีต่อบ้านออฟกัน บ้านออฟกันเป็นบ้านหลังหนึ่งที่รักเราสองคนจริงๆ เขาเห็นใจเรา แคร์เราสองคนมาก เขาพยายามทำให้บ้านหลังนี้ไม่เครียด บางครั้งมันมีปัญหานะ แต่เขาพยายามทำให้เราไม่รู้ว่ามีปัญหา ซึ่งบ้านหลังนี้มันอบอุ่นมากเลยครับ จากคนที่ไม่รู้จักกันก็ทำให้เป็นครอบครัวใหญ่ขึ้นมาได้ ขอบคุณมากๆเลยครับ”