The Best Version Of Me – ธิชา วงศ์ทิพย์กานนท์

31.07.18 2,338 views

จากเด็กต่างจังหวัดธรรมดาๆ สู่บล็อกเกอร์สาวเจ้าของบล็อกความงาม ‘Thelittleteapot’ ที่มียอดคนติดตามทั้งในเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมกว่าแสนคน ‘ธิชา วงศ์ทิพย์กานนท์’ เล่าให้เราฟังว่าจุดเริ่มต้นในเส้นทางบันเทิงของเธอมาจากความใฝ่ฝันที่แค่อยากจะเป็นที่ยอมรับของใครสักคน เพราะความผิดพลาดในวัยเด็กทำให้เธอกลายเป็นคนใจแคบและไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม เธอจึงโหยหาการมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก จนมาถึงวันนี้ชื่อ‘ธิชา’ เริ่มเป็นที่รู้จักสำหรับใครหลายคนแล้ว แต่ที่สำคัญมากไปกว่าการมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของธิชาคือเธอได้เรียนรู้และเข้าใจ ‘ธิชา’ คนนี้จริงๆ สักที

 

เริ่มเข้ามาทำงานในวงการบันเทิงได้อย่างไร

ตอนนั้นธิพาเพื่อนไปประกวดเวทีหนึ่งแล้วเราก็นั่งรออยู่ข้างล่าง อยู่ดีๆ ก็มีพี่คนหนึ่งเดินเข้ามาพูดว่าเฮ้ยน้อง หน้าอย่างน้องสนใจไปแคสต์โฆษณาหรือเปล่า เราก็ปฏิเสธไป เพราะช่วงนั้นคือเราไม่เคยประกวดอะไรได้เลย เราเลยรู้สึกว่าไม่เอาดีกว่า คือธิเป็นคนไม่ค่อยหวังอะไรอยู่แล้ว ที่ไม่หวังเพราะส่วนหนึ่งไม่อยากผิดหวัง อีกส่วนหนึ่งคือเป็นคนไม่ค่อยใส่ใจอะไร เราเป็นคนมีดีเทลนะ แต่ไม่ใส่ใจว่าฉันทำแบบนี้แล้วจะต้องได้แบบนั้นนะ ไม่ได้เป็นแบบนั้น พอพี่เขามาชวนเราก็เลยให้เบอร์คุณพ่อไป หลังจากนั้นก็มีการเรียกไปแคสต์งานแรก ตอนแรกไม่อยากไป เพราะเราอยู่อุดรฯ
ใครจะอยากมากรุงเทพฯ ไกลจะตาย พ่อก็บอกให้ลองดู ครั้งหนึ่งในชีวิตบางคนเขาอยากทำเขายังไม่มีโอกาสได้ทำเลยนะ เรามีโอกาสอยู่ตรงนี้แล้วก็ลองคว้าไว้ พ่อเราเป็นสายซัพพอร์ต เขาก็ขับรถจากอุดรฯ มากรุงเทพฯ เพื่อมาส่งธิแคสต์งานงานเดียว แล้วธิก็ได้งานนั้น 

 

ตอนที่แคสต์งานได้ตอนนั้นรู้สึกยังไงบ้าง

ตอนแรกรู้สึกตกใจมาก รู้สึกแบบเชี่ย จะได้อยู่ในทีวีว่ะ คือเด็กต่างจังหวัด นึกออกปะ แต่พอถ่ายงานนั้นเสร็จก็อยากร้องไห้กลับบ้านแล้วไม่อยากรับงานอีกเลย (หัวเราะ) เพราะเราไม่เข้าใจว่าการถ่ายทำคืออะไร ไม่เข้าใจว่าคนในกองเป็นใคร ตอนนั้นคือกลัวไปหมด แล้วเราเป็นเด็กคนเดียวที่ไป ไปเจอช่างแต่งหน้าที่ดูดุจัง ไปเจอผู้กำกับดุอีกต่างหาก เดี๋ยวบอกให้ยืน เดี๋ยวบอกให้นั่ง งงไปหมด หลังจากวันนั้นธิก็คิดว่าธิจะไม่รับงานอีกแล้ว นี่มันไม่ใช่ตัวธิเลย พอเงินออกเท่านั้นแหละ งานนี้มันเป็นตัวฉัน มันเกิดมาเพื่อฉันเลยนะเนี่ย (หัวเราะ) พอได้เห็นเงินปุ๊บทุกอย่างจบค่ะมันเป็นเงินค่อนข้างเยอะนะสำหรับเด็กอายุ 17 ปีตอนนั้น ก็เลยเป็นจุดเริ่มต้นของการแคสต์งานตั้งแต่นั้นมา จนสุดท้ายแคสต์ไปเรื่อยๆ ถ่ายจนไม่มีอะไรให้ถ่ายแล้ว ก็เลยต้องผันตัวไปทำอย่างอื่น เลยมาทำบล็อกค่ะ เพราะธิเป็นคนชอบวาดรูป ชอบแต่งหน้า แล้วช่วงนั้นการเป็นบล็อกเกอร์ก็กำลังฮิตกัน เราก็เลยให้เพื่อนมาถ่ายรูปให้ ลองดูบ้างดีกว่า อยากเป็นบล็อกเกอร์บ้าง ก็เป็นความฝันในช่วงอายุหนึ่ง ซึ่งพอทำมาได้สักพักก็มาถึงจุดที่เขาเรียกไปแคสต์หนัง จนได้มาเล่นเรื่องนี้ค่ะ

 

ฝันอยากเข้าวงการบันเทิงตั้งแต่เด็กเลยรึเปล่า 

คือความฝันตอนเด็กๆ เราอยากเป็นพี่ทาทามาก อยากเป็นนักร้อง เปิดคอนเสิร์ตหน้าปากซอยทุกวัน ให้คุณยายเป็นคนดูแล้วคอยจับมือเหมือนเป็นแฟนคลับ ความฝันของเราเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอด อยากเป็นนักร้องบ้างล่ะ อยากเป็นนักแสดงบ้างล่ะ ถ้าพูดตรงๆ คือเราอยากเป็นใครสักคนที่มีคนยอมรับในตัวเรา ธิเชื่อว่าทุกคนมีจุดนั้นอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอาชีพไหนๆ ทุกคนมีจุดนั้น เพราะฉะนั้นในความฝันของธิมันวุ่นวายมากเลย มันเปลี่ยนมาเรื่อยๆ

 

ที่บอกว่าอยากเป็นใครสักคน ตอนเริ่มเล่นโฆษณารู้สึกว่าตัวเองเป็นใครสักคนหรือยัง

ไม่เลย เอาจริงๆ ธิไม่ได้ถ่อมตัวนะ แต่พอมาถึงจุดนี้ธิก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นซัมวัน ความคิดนั้นมันเป็นความคิดตอนเด็ก ประสบการณ์ตั้งแต่เด็กจนเราอายุมาถึงเท่านี้มันสอนให้เรารู้ว่าเราไม่ต้องเป็นใครเลย เราไม่ต้องเป็นคนสำคัญหรือเป็นที่รู้จักเลยก็ได้ เมื่อก่อนธิไม่เคยรู้จักตัวเองเลย แต่ทุกวันนี้ธิรู้จักตัวเองแล้ว ไม่ต้องมีคนรู้จักธิก็ได้ เพราะสำคัญที่สุดคือธิรู้ว่าตัวเองเป็นใคร รู้ว่าตัวเองต้องการอะไร รู้ว่าทุกวันนี้ความฝันของธิคืออะไร

 

จุดไหนที่ทำให้เราเลิกอยากเป็นใครสักคน

มันไม่มีจุดหักมุม มันเป็นจุดเล็กๆ น้อยๆ ที่สอนเรามาตลอด อาจจะเป็นจุดที่เราไม่เหลือใคร อาจจะเป็นบางวันที่เราได้ใครสักคนเข้ามา มันเป็นจุดเล็กๆ ในชีวิตที่ทุกอย่างมันหล่อหลอมเรามา ทำให้เรารู้ว่าสุดท้ายแล้ววันหนึ่งเราอาจจะเป็นซัมวันสำหรับใคร แต่นั้นไม่ได้มีผลกับเรา มันจะมีผลก็ต่อเมื่อเราเป็นคนพิเศษสำหรับใครมากกว่า เรารู้จักตัวเองเท่าไหร่ เราประมาณตัวเองได้ไหม หรือเรารู้หน้าที่ตัวเองแค่ไหน ธิรู้สึกว่าการประมาณตัวเองได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ธิเลยรู้ว่าธิไม่ได้ต้องการเป็นซัมวันแล้ว จนมาถึงจุดนี้จุดที่ธิได้เป็นนักแสดงเรื่อง App War ธิก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องมีคนมารู้จักหรือให้ความสำคัญกับธิ ธิแค่รู้สึกว่าธิได้ทำงานที่ธิรัก ธิได้เจอคนที่ธิรักในกอง ธิได้มีความสุขกับเพื่อนๆ ได้ทำตามความฝันในจุดหนึ่งของชีวิตเท่านั้นเอง

 

อย่างนี้การมีชื่อเสียงก็ไม่จำเป็นสำหรับธิชาแล้วสิ

ต้องถามว่าเราต้องการมันเพื่ออะไรมากกว่า ธิว่าความต้องการของคนมันไม่มีจำกัดอยู่แล้ว เดี๋ยวเราก็ต้องการอันนั้นอันนี้ ความต้องการสมัยเราเด็กคือเราต้องการให้คนยอมรับ แต่ความต้องการสมัยนี้คือเราไม่ได้อยากให้คนยอมรับแล้ว มันคือเม็ดเงิน ถ้าเรามีชื่อเสียงเงินก็จะมา ในวันที่เรามีภาระที่ต้องรับผิดชอบ เราก็จะคิดอะไรที่กว้างและไกลกว่านั้น ถ้าถามธิว่ามันยังจำเป็นอยู่ไหม ธิว่ามันยังจำเป็น แต่ธิไม่ได้หวังว่าจะต้องดังมากดังน้อยอะไรขนาดนั้น ธิหวังแค่ว่าธิอยากจะดังในกลุ่มคนที่เขารักความเป็นตัวธิจริงๆ หรือคนที่เขายอมรับในตัวเราแบบที่เราเป็นเรามากกว่า ถ้าธิดังในกลุ่มคนเหล่านั้นได้ธิก็ถือว่าธิประสบความสำเร็จ 

 

คิดยังไงที่คนจับตามองหนังเรื่องนี้มาก 

ธิไม่ค่อยกดดันหรอก แต่ไม่รู้ว่าเพื่อนกดดันรึเปล่า มันไม่เชิงกดดันนะ แต่ธิแค่หวังว่านักแสดงทุกคนจะแฮปปี้กับสิ่งที่ตัวเองทำออกมา นั่นคือสิ่งที่ธิคิดว่าสำคัญที่สุด เพราะถ้าเราไม่ชอบผลงานตัวเอง เราก็จะคิดว่าคนอื่นไม่ชอบ แต่ถ้าเราชอบเมื่อไหร่ เราก็จะคิดว่าเออ มันก็ดีนะ คนอาจจะชอบก็ได้ เพราะฉะนั้นธิเลยรู้สึกว่าไม่ได้กดดันขนาดนั้น รู้สึกตื่นเต้นด้วยซ้ำ รู้สึกดีใจว่าคนให้ความสนใจเยอะขนาดนี้เลยเหรอ เราก็อยากจะเห็นหนังตัวเต็มเร็วๆ แล้วเหมือนกัน เพราะเราเองก็ยังไม่ได้ดู 

 

ตั้งแต่เริ่มทำงานในวงการมา ได้ข้อคิดอะไรบ้าง

ธิว่าหลักๆ มันคือการได้เจอผู้คนมากมาย การที่เราได้เรียนรู้ว่าคนลักษณะต่างๆ เป็นอย่างไร คนแบบไหนที่เราควรอยู่ด้วยหรือไม่ควรจะเอาเป็นแบบอย่าง ธิรู้สึกว่าความโชคดีของการได้ทำงานในสายนี้คือธิได้เป็นคนหลากหลายแบบธิได้แสดงเป็นคนหลายอาชีพ อยู่ดีๆ ก็ได้เป็นโปรแกรมเมอร์ เป็นฝ้าย เป็นพนักงานอะไรก็ไม่รู้ เหมือนเราเข้าใจคนมากขึ้น อาชีพนี้มันทำให้ธิใจกว้างขึ้นนะ เมื่อก่อนธิเคยเป็นคนใจแคบ ใจแคบจนไม่กล้าพูดในสิ่งตัวเองคิด เพราะเราคิดว่าคนอื่นจะไม่เข้าใจเรา อาชีพนี้มันทำให้ธิเปิดใจ มันทำให้ธิรู้สึกว่า เฮ้ย เขาไม่ได้เป็นแบบที่เราคิดนี่ ชีวิตในวงการมันอาจจะฟังดูดราม่านะ แต่สุดท้ายแล้วธิว่าเรื่องนี้มันแฮปปี้เอ็นดิ้งธิใจกว้างขึ้น มีความสุขกับตัวเองและมองโลกในแง่ดีมากขึ้น ธิว่าแค่นี้ธิก็มีความสุขแล้ว อนาคตจะเป็นยังไงยังไม่รู้ แต่ ณ ตอนนี้ ธิแฮปปี้กับสิ่งที่เกิดขึ้นและเป็นไป ธิขอบคุณทุกอย่างในชีวิตไม่ว่าจะเป็นบล็อกเกอร์ วงการบันเทิงหรืออะไรก็แล้วแต่ ทุกอย่างมันสอนให้ธิเป็นธิชาทุกวันนี้

 

คิดยังไงกับเด็กรุ่นใหม่ที่ใช้โซเชียลมีเดียเป็นพื้นที่ที่ทำให้ตัวเองดัง

ก็ไม่ผิดนะ ยิ่งถ้าเป็นเด็กคนหนึ่งที่ไม่มีคนยอมรับเลยซึ่งธิเคยเป็นเด็กที่ไม่กล้าแสดงความคิดเห็น ไม่กล้าที่จะแสดงตัวตนออกไป ธิเคยเป็นตัวประหลาดในโรงเรียน เป็นคนที่เพื่อนไม่ชอบโดยหาเหตุผลไม่ได้ว่าทำไม ธิไม่มีเพื่อนเลยสักคน คือมักจะพูดในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้คิดและทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ได้อยากทำ เหมือนเราอยากเป็นคนอื่น เรากำลังชอบเป็นคนอื่น เราไม่ได้ชอบเป็นตัวเอง เราอยากเป็นที่ยอมรับ เพราะฉะนั้นถ้าเด็กสมัยนี้หรือสมัยไหนก็ตามมาทำบล็อก มาใช้โซเชียลฯ ให้ตัวเองมีชื่อเสียง ธิก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ ถ้าเราใช้โซเชียลฯ แสดงความเป็นตัวตนในทางที่ดีมันก็ไม่ผิด เพราะว่าโซเชียลฯ มันเป็นสื่ิอที่ให้ความสะดวกสบายแก่เราในโลกปัจจุบัน ถ้าใช้มันในทางที่ถูก มันทำให้ตัวเราได้รับสิ่งดีๆ กลับมา ทุกคนอยากจะเป็นใครสักคนเสมอแหละค่ะ อาจจะมีคนที่เขารู้สึกว่าฉันไม่ต้องเป็นใครเลยก็ได้ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังจะอยากเป็นใครสักคนของใครบางคน ธิส่งเสริมด้วยซ้ำนะถ้าทำในสิ่งที่ชอบและมีความสามารถ ทำให้คนได้เห็นว่าเขาถนัดด้านนี้นะ ธิรู้สึกว่าทำถูกแล้ว ก็ทำต่อไป

 

ถ้าให้ธิชาตอนนี้บอกอะไรได้กับเด็กหญิงธิชาในวันนั้นจะบอกว่าอะไร

จะบอกว่าทำในสิ่งที่อยากทำ เพราะว่าถ้าธิเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างในอดีต ธิอาจจะไม่เป็นธิอย่างทุกวันนี้ก็ได้ ธิอาจจะไม่ได้เข้าใจ ธิอาจจะไม่ได้เรียนรู้ ธิอาจจะไม่เคยโดนด่า ธิอาจจะไม่เคยโดนตอกหน้าแรงๆ โดนนินทา หักอก อาจจะไม่เคยโดนเพื่อนทิ้ง ทุกอย่างคือธิรู้สึกว่าคนเราเรียนรู้จากความผิดพลาด ธิผิดพลาดเยอะตอนเด็ก ธิพูดได้เลยนะ เพราะฉะนั้นเป็นอย่างที่เป็นแหละดีแล้ว

 

หลังจากจบเรื่องนี้อยากเล่นหนังอีกไหม

อยากรับนะ แล้วก็อยากเรียนด้วย เพราะธิรู้สึกว่าชอบการแสดง ธิหลงรักการแสดงมาก ถ้ามีโอกาสที่จะได้รับเล่นบทบาทต่อๆ ไปในหนังเรื่องอื่นๆ ธิก็ยินดีที่จะรับแล้วก็ยินดีที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ

 

ถ้าหนังเรื่องนี้ฉายไปแล้วดังมากๆ มุมมองการทำงานในวงการบันเทิงของธิชาจะเปลี่ยนไปไหม

ธิว่าคนเราเปลี่ยนไปทุกวันแหละ ธิคิดว่าสิ่งที่เปลี่ยนมันอาจจะเป็นเรื่องของเวลาการทำงาน ความรับผิดชอบ การตรงต่อเวลา สิ่งเหล่านี้ธิอาจจะต้องมีมากขึ้น พยายามมากขึ้น แต่ในส่วนของลึกๆ ภายในธิว่ามันไม่เปลี่ยนไปหรอก มันก็ยังเป็นเรา
นั่นแหละ เพียงแต่ว่าเราอาจจะต้องทำอะไรที่มันหนักขึ้นแค่นั้นเอง 


Tags :