Stay Hungry Stay Foolish – เจมส์ ธีรดนย์

“อยากได้อะไรต้องไขว่คว้าเอา คงไม่มีใครประเคนมาให้ทั้งชีวิตหรอก” คงจะเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ช่วงนี้‘เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ’ ดูจะโหมงานอย่างหนักหน่วงไม่ว่าจะโปรเจ็กต์ 9×9, ละครเรื่อง เลือดข้นคนจาง และภาพยนตร์ ‘Homestay’ เราเชื่อว่าเขาน่าจะมีเป้าหมายสำหรับเส้นทางของการเป็นนักแสดงอยู่แล้ว และระหว่างทางการก้าวไปถึงเป้าหมาย เขาเลือกเก็บทุกโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพของตัวเอง เราคงได้แต่เอาใจช่วยให้เจมส์ไปถึงเป้าหมายของเขาอย่างสวยงาม


การรับบทบาทในหนังเรื่อง Homestay เป็นอย่างไรบ้าง

ผมได้ยินมาว่าทาง GDH กำลังจะมีโปรเจ็กต์ Homestay ผมก็เข้าไปแคสติ้งตามปกติของนักแสดงทั่วไป วันที่เข้าไปแคสต์แล้วทีมแคสต์เขาบรีฟสคริปต์มาคร่าวๆ ว่าจะต้องเข้าซีนยังไง เจออะไรบ้าง ก็กระหายขึ้นมาทันทีเลย ยิ่งกว่าหิวน้ำตอนเช้า (หัวเราะ) เหมือนเราเจอหลักไมล์อันใหม่ของอาชีพการแสดง เราต้องคว้าบทมาให้ได้ อยากได้มาก หลายคนอาจจะเห็นว่าผมอยู่กับ GDH คงไม่ต้องแคสต์แล้วมั้ง แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่นะครับ ผมยังต้องไปแคสติ้งกับคนอื่นๆ เหมือนกัน เด็กนาดาวทุกคนก็ต้องแคสต์ เด็ก GDH ก็ต้องแคสต์ ผู้กำกับก็จะบอกมาว่าอยากได้แบบไหน ต้องการกี่คน ไม่มีการเอาเด็กเราก่อน 

ผมแคสต์อยู่ 3 รอบนะกว่าจะลงตัว คือเฌอปรางเขาน่าจะลอยลำมาแล้วล่ะ ส่วนผมมารู้ว่าได้บทนี้ในวันที่แคสติ้งรอบที่ 3 รู้วันนั้นเลย แล้วพอได้อ่านบทก็ยิ่งอยากเข้ากองถ่ายเร็วๆ เพราะพล็อตเรื่องมันน่าสนใจมาก เนื้อเรื่องมันน่าสนใจสำหรับฝั่งคนดู และตัวละครมันก็ครบเครื่องสำหรับฝั่งนักแสดง ผมเลยอยากได้บทนี้มากกกก (ลากเสียง)

ผมว่าการแคสติ้งมันเป็นเสน่ห์ของอาชีพนี้ด้วย เราต้องพัฒนาตัวเองตลอดให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อจะได้รับโอกาส ถ้าผมเล่นห่วย เล่นไม่ได้ ยังไงผู้กำกับก็ไม่เอาอยู่แล้ว กว่าทีมงานจะปั้นตัวละครขึ้นมามันใช้เวลา ใช้ความสามารถ มันก็เป็นเรื่องที่เราต้องพิสูจน์ตัวเองว่าเราดีพอสำหรับบทที่เราอยากได้ไหม มันก็เป็นเรื่องที่ผมตระหนักว่าถ้าอยากได้อะไรต้องไขว่คว้าเอา คงไม่มีใครประเคนมาให้ทั้งชีวิตหรอก

เล่าถึงตัวละครและการทำงานในภาพยนตร์เรื่องนี้หน่อย 

ตัวละครตัวนี้ชื่อว่า ‘มิน’ เรื่องย่อประมาณว่ามีวิญญาณที่ได้รับรางวัลจากสวรรค์ให้กลับมาเกิดในร่างชั่วคราวคือร่างของมิน โดยมีเงื่อนไขว่าต้องหาให้ได้ว่ามินตายเพราะอะไร และห้ามให้คนอื่นรู้เด็ดขาดว่าคนที่อยู่ในร่างไม่ใช่มิน แต่เป็นวิญญาณของเราเอง โดยทั้งหมดเนี่ยต้องทำภายในระยะเวลาร้อยวัน ถ้าหาไม่ได้ก็จะตาย ประมาณนี้ แล้วเฌอปรางเป็น ‘พาย’ รุ่นพี่ของมิน 

ด้วยการทำงานของผม ผมจะเป็นคนทำการบ้านก่อนเข้าบทกันอยู่แล้ว อย่างพัฒน์ ในหนัง ฉลาดเกมส์โกง บทมันเข้ามือก็จริง เป็นเด็กบ้านรวย ตัวละครไม่ต้องแบกรับอะไรไว้มาก แต่เราก็ยังต้องทำการบ้าน ไม่อย่างนั้นตัวละครมันก็จะเรียบๆ แบนๆ มันก็รวย แต่รวยแล้วไม่น่าหมั่นไส้ บางฉากนี่คือผมอิมโพรไวส์เอาเลยนะ ผมก็ไปรีเสิร์ช เวลาสตีฟ จ๊อบส์ พูดบนเวทีเขาพูดยังไง ดูว่าเวลาต้องพูดต่อหน้าคนเยอะๆให้พูดจาดูฉลาดๆ พูดจาเล้าโลมคน หว่านล้อมคน แต่จริงๆ แล้วเราไม่มีอะไรเลย ดูหนังหลายเรื่อง Jobs, Steve Jobs, The Wolf of Wall Street และ The Big Short

แต่เรื่องนี้ผมได้คุยกับพี่โอ๋ (ภาคภูมิ วงศ์ภูมิ-ผู้กำกับ) ว่าผมอยากทำคาแร็กเตอร์ เพราะผมเป็นคนทำการบ้านอยู่แล้ว แต่พี่โอ๋บอกว่าไม่ต้องทำเลย เพราะพี่โอ๋อยากได้ความสดของตัวละครมิน มันเป็นเหมือนวิญญาณที่เข้ามาในร่างใหม่ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับมินคือสิ่งใหม่ทั้งหมด ก็ตามนั้นเลยครับ ผมไม่ทำเลย (หัวเราะ)

 

พัฒนาการของเจมส์คืออะไร

เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 2 ของผมแล้ว เรื่องแรกก็ ฉลาดเกมส์โกง พอมาเรื่องนี้คิดว่าจะเทกน้อยลง ที่ไหนได้เยอะกว่าเดิมอีก คิวของผมต้องเข้าซีนเกือบทุกซีน…ทุกซีนเลยดีกว่า แล้วถ่ายวันหนึ่ง 6 โมงเช้า-4 ทุ่ม แล้วช่วงที่สองมันมีส่วนที่ต้องใช้ร่างกายหนักมากด้วย ต้องเล่นกับกรีนสกรีน ขึ้นสลิง ผมต้องมองกำแพงขาวแล้วจินตนาการว่ามีอะไรสักอย่างที่มันน่ากลัวมากแล้ววิ่งหนี มองฉากเขียวแล้วคิดว่าเป็นตึก เป็นถนน มันใช้แค่จินตนาการไม่พอ มันต้องเชื่อไปแล้วจริงๆ หลายๆ อย่างค่อนข้างเป็นสิ่งใหม่สำหรับผมเหมือนกัน แล้วผมรู้สึกว่าช่วงแรกผมจูนไม่ค่อยติด คือผมพยายามปรับกับผู้กำกับ ปรับกับทีม กับกล้อง ก็เหมือนได้เติมความรู้ใหม่เข้ามา เติมทักษะการแสดงเข้ามาให้เราอยู่เรื่อยๆ

 

การร่วมงานกับเฌอปรางเป็นอย่างไรบ้าง

ดีมากครับ รู้สึกดีมาก เราเจอกันตั้งแต่ก่อนที่ BNK48 จะปล่อยเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย รู้จักกันตั้งแต่ช่วงแคสติ้ง เวิร์กช็อป และก็ช่วงถ่าย รวมๆ นี่ก็จะครบปี พอได้ทำงานร่วมกันก็ชอบความเป็นมืออาชีพของเฌอปราง เขาจริงจัง ซีเรียสกับการทำงาน และก็เต็มที่กับการทำงานด้วย 

พูดอย่างจริงใจเลยการแสดงมันก็ต้องมีการถูกเนื้อต้องตัวกันบ้างอยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้เราก็คุยกันกับเฌอปรางค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่แรกเลยว่าเราก็เคารพเขาในฐานะเพื่อนร่วมงาน ในส่วนของความเป็น BNK48 เราก็เคารพกฎของทางนั้นด้วย 

มีงานหนึ่งผมต้องเต้นเพลง คุกกี้เสี่ยงทาย ในปาร์ตี้ ผมก็ให้เฌอปรางช่วยแกะท่าเพิ่มให้ ก็มารู้ว่าอ๋อออ มันมีจังหวะของมันอยู่ งานนั้นผม MVP ไปเลย 

คนอื่นอาจจะติดภาพของเฌอปรางว่าเป็นคนนิ่งๆ ขรึมๆ แต่จริงๆ เฌอปรางรั่วมากนะ ผมเคยลองเล่นมุก 5 บาท 10 บาท กับเขา ตอนแรกก็ยังไม่เข้าใจ หลังๆ เฌอปรางเริ่มเล่นกลับบ้างแล้ว แต่เป็นจังหวะแบบมุกคนฉลาดนะ จะมีความทวิสต์นิดหนึ่ง


จากที่คุยกันล่าสุดเจมส์บอกว่าอยากลองรับบทของผู้หญิงดู ทำไมถึงอยากลองล่ะ

ต้องเคลียร์ก่อน เดี๋ยวจะเข้าใจผิดไปใหญ่อีก (หัวเราะ) อยากลองรับบทเป็นผู้หญิงไม่ได้หมายความว่าอยากเป็นนะ แค่อยากลองสวมบทบาทนั้นดู มันก็เป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่งของการแสดง ผมมองผู้หญิงเป็นเพศที่
น่าค้นหา ระบบความคิดของเขาไม่น่าจะเหมือนกันกับผู้ชาย อยากลองเป็น อยากเข้าใจว่าทำไมถึงคิดแบบนี้ ทำไมถึงทำแบบนี้ ตอนเขาเข้าใกล้ผู้ชายจะรู้สึกเหมือนที่เรารู้สึกไหม มันน่าสนุกนะ น่าลองสวมบทบาทตรงนั้น 

และผมมองว่าตัวละครไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชายมันก็เป็นตัวละครเหมือนกัน เราทำอาชีพนักแสดง มีหน้าที่จะต้องสวมบทบาทนั้นและทำให้คนดูเชื่อ สิ่งที่แตกต่างกันคือเรื่องรูปร่าง ระบบความคิด ถ้าผมได้บทผู้หญิงน่าจะสนุกแน่ๆ 

 

เหมือนเจมส์จะไม่กังวลเรื่องเส้นแบ่งระหว่างเพศหญิงเพศชาย

ไม่ทั้งหมดนะ มันก็มีบ้าง แต่บางเรื่องก็ไม่มี เช่น เรื่องแต่งตัว เสื้อผ้าของผมหลายชิ้นเป็น Unisex เลยนะ บางทีไปหยิบกางเกง รองเท้าของฝั่งผู้หญิงมาใส่เหมือนกัน ด้วยความที่เราชอบแต่งตัวอยู่แล้วด้วย เราชอบใส่แบบนี้ ไม่ค่อยแคร์คนอื่นมากด้วย มันมีนะ…อุ้ย แต่งตัวแบบนี้เหมือนตุ๊ดเลย ตุ๊ดแล้วทำไม มันก็ไม่เห็นมีอะไรผิดเลยนี่ 

อาจจะเป็นเพราะผมตัวเล็กด้วยแหละ เคยไปลองกางเกงยีนส์ของผู้ชายกลายเป็นว่าหลวมไปทุกตัว แต่พอไปลองฝั่งผู้หญิงมันพอดีและมีทรงให้เลือกเยอะกว่า ไม่ซ้ำใครอีก เคยมีครั้งหนึ่งผมไปขอลองกางเกงของฝั่งผู้หญิงนี่แหละ พนักงานก็งงๆ แต่ก็ค่ะๆ ได้ค่ะ เรื่องรองเท้าก็เหมือนกัน ถ้าเป็นของผู้หญิงมันใหญ่สุดที่ 40-41 ซึ่งมันพอดีกับเท้าผมเลย แล้วผมชอบใส่บู๊ตมีส้น ซึ่งก็ตอบโจทย์ผมพอดีเลย บังเอิญจัง (หัวเราะ) จริงๆ มันไม่ได้แค่เรื่องเสื้อผ้านะ ผมชอบซื้อเครื่องสำอางด้วย ชอบมาก

 

เปิดเรื่องมาขนาดนี้ต้องเล่าซักหน่อยแล้ว 

ก็กลับมาเรื่องเดิม เรื่องของผู้หญิงผู้ชายอีกแหละ ผมก็ยังยืนยันว่ามันไม่ผิดในเมื่อผู้หญิงแต่งหน้าได้ ผู้ชายก็ต้องแต่งหน้าได้ แต่เราก็ไม่ได้ลงรองพื้นหนาๆ ฟาดคอนทัวร์หนักๆ ปัดแก้มสีแดง เราก็ลงคอนซีลเลอร์บางๆ เขียนคิ้วนิดหนึ่ง ปัดคิ้วให้เป็นทรง แต่งให้มันเป็นแบบ No makeup makeup ได้ คือผมก็มีรอยสิว รอยดำนะ หน้ามันก็ไม่ได้เนียนขนาดนั้น แล้วเราทำงานในวงการใครจะอยากเห็นว่าหน้าเรามีรอย แค่ให้มันดูดีขึ้น แบบ…เฮ้ย เจมส์ไปทำอะไรมาทำไมดูสุขภาพดีจัง อย่างผมก็จะมีไอเท็มกันตายเป็นคุชชั่น มันจะทำให้ผิวโกลว์ ดูสุขภาพดี ไม่ดูหนาเกินไปด้วย

ไม่ใช่แค่เครื่องสำอางนะ สกินแคร์ก็มี แต่คราวนี้จะมาแบบยกเซ็ตเลยมีความสุขมากเวลาอยู่หน้ากระจกแล้วมีสกินแคร์ตั้งไว้เป็นเซ็ตของมัน ฝั่งสีดำล้วน ฝั่งนี้สีขาวล้วน เวลายืนตามเคาน์เตอร์เครื่องสำอางนี่คือโดนป้ายยาง่ายมาก เซรั่มสำหรับผิวหน้า เซรั่มดวงตา ตัวโลชั่น เข้าไปทีก็เสียหายเยอะอยู่ 

มีน้ำหอมอีกนะ ผมติดน้ำหอมมาก กลิ่นประจำตัวต้อง Bleu de Chanel เลย มันจะมีแบบพกพาขวดเล็กๆ หน่อย ผมฉีดทั้งวันเลย วันไหนไม่ได้ฉีดจะไม่มั่นใจ แล้วเพื่อนก็ด่าผมทุกครั้งเวลาหยิบมาฉีด (หัวเราะ)

แล้วรอบตัวผมเนี่ยมีแต่พวกใจร้อน ผมไปเจออะไรสวยๆ แล้วตัดสินใจไม่ได้  ก็จะส่งไปถามเจเจ (กฤษณภูมิ พิบูลสงคราม) บ้าง ต้าเหนิง (กัญญาวีร์ สองเมือง)  บ้าง ซึ่งคู่นี้เนี่ยดีทุกอย่าง สวยทุกอย่าง (หัวเราะ) โอเค โอนเลย ไม่มีเบรกกันเลย สนับสนุนกันไปหมด

 

บทบาทครั้งนี้ เจมส์ตั้งเป้าหมายของการแสดงอะไรไว้บ้าง แล้วพึงพอใจหรือยัง

ผมพอใจตั้งแต่ได้บทแล้วนะ อย่างที่บอกคือผมอยากได้บทนี้มาก และผมถือคติในการทำงานว่าเราทำงานที่หน้ากองถ่ายให้เต็มที่ ผมเต็มที่ไปกับทุกเม็ด เก็บรายละเอียดไปหมดแล้ว ปล่อยของสุดแล้ว ไม่มีตรงไหนให้เสียดายแล้วสเต็ปต่อไปก็อยู่ที่คนดูแล้วครับ