Shining Star – จีน่า วิรายา ภัทรโชคชัย

แม้การประกวด The Face Thailand ซีซั่น 4 All Stars จะจบลงไปแล้ว และผู้ที่ได้ตำแหน่งชนะเลิศก็คือสาวผู้อกหักจากซีซั่น 2 จีน่า-วิรายา ภัทรโชคชัย แต่เส้นทางในวงการแฟชั่นและบันเทิงของเธอยังไม่จบเพียงแค่นั้น เธอยังคงเฉิดฉายอยู่บนรันเวย์และหน้ากระดาษนิตยสาร เป็นหนึ่งในนางแบบที่มีงานชุกที่สุด เช่นเดียวกันกับบทบาทใหม่ในการเป็นนักแสดง ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจากแคมเปญต่างๆ ในบ้าน The Face นั่นเอง บทบาทที่จีน่าบอกว่าเธออยากทำมากที่สุดอีกหนึ่งอย่าง และเป็นการเริ่มต้นชีวิตนอกรายการของเธอที่ต้องเรียกว่าต่อไปนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การประกวดอีกต่อไปแล้ว


ถามตรงๆ ตอนที่จบรายการ The Face ซีซั่น 2 ซึ่งไม่ได้ตำแหน่ง กับตอนที่ได้ตำแหน่ง The Face Thailand ซีซั่น 4 All Stars อันไหนปังกว่ากันในด้านการงาน

ถ้าด้านการงานต้องบอกว่า All Stars ปังกว่า เพราะเราได้มีโอกาสเล่นซีรีส์ของ GMM และตอนนี้ก็มีคิวละครอีก 3 เรื่อง ทั้งช่อง 3 และช่อง 7 คิวถ่ายปีหน้าค่ะ ปีหน้าน่าจะได้ดูกันทั้งหมด 3 เรื่อง 


แปลว่าตำแหน่งช่วยใช่ไหมในการทำงาน

ช่วยค่ะ หนูได้ขึ้นปก HAMBURGER ด้วยนะคะ (หัวเราะ) ตอนซีซั่น 2 ได้ขึ้นปกนิตยสารก็จริง แต่เป็นปก 3 คน นอกนั้นก็เป็นงานเดินแบบปกติ แต่พอมาแข่ง All Stars เราไม่คิดอะไรเลย พอไม่คิดอะไรเลยมันเลยเป็นธรรมชาติ ไม่กดดัน พอคนเห็นตัวตนเราว่าอ้าวอีบ้านี่ก็บ๊องเนอะ อะไรอย่างนี้ จากนั้นคนก็กล้าที่จะเดินเข้ามาขอเราถ่ายรูป กล้าที่จะเข้ามาพูดคุย กล้าที่จะเข้ามาชื่นชม หรือว่าติมากขึ้น และงานในวงการคือดีขึ้นมากๆ  


ที่เขาติคือติอะไร

ส่วนมากมักจะบอกว่าจีน่าลดความเป็นกะเทยหน่อยนะลูก (หัวเราะ) แต่ส่วนมากจะเป็นผู้หญิงที่เข้ามาพูดนะ แต่ถ้าเป็นคนที่มีอายุนิดหนึ่งเขาก็มักจะบอกว่าพูดมากจัง ทำไมพูดมากอย่างนี้ ลดลงนิดหนึ่งนะ จะได้มีความเป็นกุลสตรี เพราะว่าผู้ใหญ่เขาชอบแบบนั้นไงคะ สวยหวาน แต่เราไม่ใช่แบบนั้น เขาก็จะติเรื่องพวกนี้  แต่ว่าส่วนมากหนูจะมีแฟนคลับที่เป็นกะเทยหรือตุ๊ดเด็ก เสียมากกว่า แล้วก็เป็นผู้ชาย ผิดคาดมากเลยนะคะ The Face ผู้ชายดูเยอะมาก หนูตกใจมาก ผู้หญิงบางคนเดินมาแบบ มึงใครอะ อะไรอย่างนี้ แต่ว่าถ้าผู้ชายก็จะหันมาแบบจีน่า The Face ไง อะไรอย่างนี้ เราก็แบบเฮ้ย…


แล้วด้วยความที่ทุกคนเห็นตัวตนของเรา หรือคาแร็กเตอร์ของเราที่ชัดเจนและจริงจัง ห่วงหรือเปล่าว่าสุดท้ายแล้วคาแร็กเตอร์ของเราไม่ใช่คาแร็กเตอร์นางเอก เราจะไม่ได้เล่นบทนางเอกนะ 

ตอนแรกเครียด เพราะว่าเราต้องยอมรับนิดหนึ่งว่าในแคมเปญของ The Face All Stars เนี่ย ส่วนมากจะเป็นกึ่งโฆษณาและพรีเซ็นเตอร์เสียมากกว่า แล้วเราทำไม่ค่อยได้ ไอ้ที่เราชนะคือการเดินแบบ แล้วก็ละคร แอ็กติ้ง ช่วงอีพี 5 ก็เริ่มพูดกับพี่เกดกับพี่คริสแล้วว่าเฮ้ยแม่ ปีนี้เราจะชนะกันไหม มันจะเป็นทีมคริสเกดไหม คือเราไม่ได้หวังว่าเราจะได้ เพราะว่าเราหมดหวังไปตั้งแต่ซีซั่น 2 แล้วไง เราก็ไม่ได้คิดแล้ว ตั้งแต่อยู่ในรายการ The Face มาไม่เคยร้องไห้เลย อีพีนั้นเป็นอีพีเกือบสุดท้ายซึ่งพี่เกดมาเป็นเมนเทอร์ แล้วยังไม่ชนะเลย เราก็รู้สึกว่าเรายังดีไม่พอ หรือมันมีอะไรที่ผิดพลาดไปหรือเปล่า เลยร้องไห้ออกมา พี่เกดก็คงตกใจ ถามว่ายูร้องไห้ทำไม เรารู้สึกว่าพี่เกด เขาเป็นคนที่เก่งมาก แล้วทำไมเราทำให้เขาไม่ได้ พี่เกดเขาไม่มีทางผิดพลาด  เขาฉลาดมาก เขามองเกมออก มันต้องผิดที่เราแล้วล่ะ ที่เรายังไปไม่ถึงตรงนั้น เลยร้องไห้หนักมาก เครียดมาก 

จนแคมเปญสุดท้ายที่เราชนะซึ่งเป็นแอ็กติ้ง ที่จริงเป็นโฆษณาพรีเซ็นเตอร์นั่นแหละ แต่โจทย์มีไดอะล็อกให้เล่นยาวเป็นลองเทก ดีใจมาก เพราะมันเข้าทางเรา เราชอบแอ็กติ้ง ก่อนเข้าเซ็ตเดินไปกอดพี่เกดแล้วบอกว่าแม่ไม่ต้องห่วง หนูมาครั้งนี้หนูจะเอาให้ได้ ไม่สนอะไรแล้ว ทิ้งไว้ข้างหลังเลย แล้วก็เข้าไปทำแคมเปญ ทำได้แค่ประมาณ 4 เทก แล้วเทกสุดท้ายเราทำได้ครึ่งเดียว แต่พี่เกดเดินมาแล้วร้องไห้ เราก็คิด…เอาแล้วกูโดนด่าแน่เลย แต่พี่เกดเดินมากอดแล้วบอกว่า เขาภูมิใจในตัวเรามากนะ เขาบอกว่าเขาไม่เคยเห็นเราออกนอกกรอบได้แบบนี้เลย เขาบอกขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆ น้องได้ตั้งแต่เทกแรกแล้ว ตอนนั้นเองที่ทำให้เรารู้สึกว่าเฮ้ย มันแค่นี้เราไม่ต้องชนะก็ได้ แต่เราอยากได้ยินคำนี้จากเขา ซึ่งตลอดเวลาที่แข่งในรายการ The Face All Stars เรายังไม่ได้ยินคำนี้จากเขาเลย เราเลยรู้สึกว่าเฮ้ย เนี่ยกูบรรลุแล้ว มันอธิบายไม่ถูก แต่เหมือนเราอยากทำให้เขา เราต้องทำได้ตอนประกาศผลว่าเราได้ เราเลยพูดบนเวทีไปเลยว่าหนูทำได้แล้วนะแม่


แล้วกลัวไหมที่ความแต๊ดแต๋ของเรามันจะทำให้เราไปไม่ถึงระดับนางเอก หรือว่าไม่สนใจจะเป็นนางเอก

หนูไม่เคยวาดฝันตัวเองเป็นนางเอก หนูอยากเป็นนางร้ายเบอร์หนึ่ง เพราะหนูรู้สึกว่าการเล่นเป็นนางร้ายหนึ่งปีคุณไม่ต้องไปแย่งละครกับใครเลย เพราะว่าถ้าเป็นนางเอกปีหนึ่งคุณเล่นได้แค่เรื่องสองเรื่องเข้าใจไหมคะ แต่นางร้ายปีหนึ่งคุณจะรับกี่เรื่องก็ได้ หนูไม่ได้มองว่าตัวเองจะต้องไปถึงที่สุดขนาดนั้น แต่แค่คิดว่าทำอย่างไรให้คนตรงนี้ชื่นชอบเรา เห็นเราได้บ่อยที่สุด หนูคิดแบบนี้มากกว่า เพราะก่อนที่เราจะอยากเป็นอะไร เราต้องดูตัวเองก่อนว่าเราเป็นได้แค่ไหน และเราเป็นอะไรได้บ้างแค่นั้นเอง ถ้าเราเข้าใจตัวเองว่ารูปลักษณ์หน้าตาแบบนี้มันคือตัวร้าย มันไปไม่ถึงตรงนั้นนะ แค่นั้นเราจะมีความสุข ในความคิดหนูนะ 


หรือมันก็จะมีนางเอกที่เป็นแบบเรา

ก็อาจจะมี แต่ว่าหนึ่ง เสียงหนูไม่ได้ หนูรู้ตัวไงว่าเสียงเราไม่ได้ เสียงเราไม่ใช่แบบ…ที่รักคะ นึกออกไหม เราเข้าใจตัวเอง 


พอได้รางวัล The Face Thailand All Stars แล้วเข้าสู่สนามการทำงานจริงมันแตกต่างจากสิ่งที่เราเคยจินตนาการไหม

ตอนซีซั่น 2 หนูเคยเล่นละครกับกันตนามาแล้ว ทำให้คนเคยเห็นงานแสดงของหนูมาบ้างแล้ว แล้วก็มาเล่นอีกบทซึ่งเป็นร้ายตลก แล้วคนก็ติดภาพลักษณ์นี้มาก พอครั้งนี้กลายเป็นว่ามีนอกค่ายติดต่อเข้ามา เราเลยรู้สึกดีใจมาก สิ่งที่เราทำมันทำให้คนอื่นเห็นว่าเรามีความสามารถอย่างไรบ้าง วันที่ผู้จัดการโทรมาบอกว่ามีที่นี่ติดต่อเข้ามา ค่ายนี้ติดต่อมา เรารู้สึกว่าเฮ้ยดีใจจัง เพราะเราเคยเป็นแค่เด็กคนหนึ่งที่เคยดูละครช่องนี้ ของค่ายนี้ แล้วเคยมีความฝันว่าอยากเล่นจังเลย แล้วตอนนี้เราได้เล่นแล้ว เลยรู้สึกภูมิใจมาก 


แล้วพอไปกองละครจริงๆ ล่ะมันเป็นยังไง 

ไม่เหมือนที่เราเคยทำแคมเปญมาเลยค่ะ ไม่เหมือนตรงที่มันเป็นสนามจริง พอเป็นสนามจริงทุกคนเก่งหมดแล้ว หนูได้เข้าบทกับคนที่ค่อนข้างมีความสามารถมากๆ แล้วเราก็ใหม่มาก ทำให้รู้สึกว่าไม่อยากไปตัวถ่วง แต่ว่ามันก็ทำอะไรไม่ได้ นอกจากเราต้องทำให้ดีที่สุด มีครั้งหนึ่งหนูลืมบท ช็อกเลย อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้ ถ้าใครไม่ได้เจอเอง แต่หนูคิดว่านะดาราทุกคนที่เข้าไปแรกๆ ก็เป็นกัน แต่พอเวลาผ่านไปสักพัก เราเริ่มรู้จักคนอื่นๆ แล้วก็จะรีแล็กซ์มากขึ้น


เมื่อเข้ามาทำงานแล้ว สิ่งที่ไม่คาดหวังจะเจอ แล้วได้เจอ ได้ค้นพบคืออะไร

มันไม่ถึงกับไม่คาดหวัง แต่เรารู้สึกว่าเวลาเราไปทำงานกับคนใหม่ๆ หนูเป็นคนค่อนข้างกลัว เราก็จะเงียบก่อน พอเงียบ พอเขาเริ่มพูดเราก็ค่อยพูด เลยรู้สึกว่า โชคดีที่เราเป็นคนสนุกกับมัน เลยยังไม่ค่อยเจออะไรที่รู้สึกว่าอุ๊ย ทำไมต้องว่าเรา ยังไม่ได้เจออะไรขนาดนั้น คือหนูเป็นคนไม่ค่อยคิดมากด้วยค่ะ บางทีเขาอาจจะด่าแต่เราไม่รู้ตัวอะไรก็ได้ (หัวเราะ)


แล้วถ้าเป็นความคาดหวังส่วนตัวล่ะ ได้อะไรบ้าง 

อย่างแรกเลยคือหนูไม่คิดว่าตัวเองจะชนะแคมเปญแอ็กติ้ง เพราะว่า The Face ซีซั่นที่เข้าไปแข่งคือ All Stars ค่ะ ทุกคนผ่านงานกันมาหมดแล้ว พอมันมาถึงแคมเปญแอ็กติ้ง เราก็คิดมาก เราจะเป็นตัวตลกไหมวะ แฟนคลับจะชอบไหม คนดูจะเป็นอย่างไร แล้วพอเราชนะ มันทำให้ทีมชนะด้วย มันดีใจจัง มองย้อนกลับไปเราเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ววาดฝันว่าตัวเองอยากอยู่ในวงการ ไม่ได้วาดฝันว่าตัวเองต้องเป็นดาราหรือนางแบบนะคะ แค่วาดฝันไว้ว่าตัวเองอยากถ่ายแบบกางเกงยีนส์ยี่ห้อหนึ่งที่มีภาพแปะอยู่ที่ลิฟต์เซ็นทรัลเวิลด์ หนูเดินผ่านทุกวัน บอกพ่อแม่ว่าอยากถ่าย อยากเป็นนางแบบฝรั่งคนนี้ คือวาดฝันไว้แค่นั้นเลย แล้วอยู่ๆ วันหนึ่งเรามาถึงจุดนี้ รู้สึกว่าทำได้ไงวะ จนวัน Final Walk คืนนั้นหนูพูดกับตัวเองว่าไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่เราทำไม่ได้ หนูพูดแค่นี้เลย เวลาเราเริ่มงานอะไรใหม่ๆ เวลาเรากลัว หนูจะบอกกับตัวเองว่าไม่มีอะไรบนโลกนี้ที่จีน่าทำไม่ได้ แค่เราเชื่อว่าตัวเองทำได้ มันก็จะทำได้ แต่เราก็ต้องศึกษาด้วย เวลาจะไปทำงานอะไรก็ต้องศึกษาก่อน อย่างวันนี้โปรดักต์เป็นโน้ตบุ๊กนะ เราก็จะพยายามเปิดดูว่าโปรดักต์เป็นแบบไหน มีจุดเด่นตรงไหน บางที่สุดเหรอ เขาโชว์โปรดักต์กันอย่างไร เวลาโพสต้องไม่เอาตัวเองบัง ฯลฯ เพราะหนูรู้สึกว่าการที่เราไปนั่งดูหน้างานมันช้า แล้วเขาอุตส่าห์เลือกเราให้มาทำงานนี้แล้ว 


ปีที่ผ่านมาได้เรียนรู้อะไรบ้าง อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดและแย่ที่สุดของจีน่า 

สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นก็คือการได้เป็น Final Walk และชนะได้เป็น The Face Thailand ซีซั่น 4 All Stars เราเป็นคนที่เคยหมดหวังมาแล้ว ก่อนที่หนูจะเดินสู่เวที หนูพูดกับพี่เกดพี่คริสแล้วก็ดารัญว่าใครก็ได้ต้องชนะ ขอให้ปีนี้เป็นทีมคริสเกด แต่ถ้ามันไม่ได้ เราจงทำให้ทุกคนในฮอลล์นี้เห็นว่าทีมนี้ควรชนะ แค่นั้น แล้วหนูก็มองไปที่เวทีแล้วบอกกับตัวเองว่าเพื่อนทั้งหมดที่มาวันนี้ มาเพื่อมอบรางวัลให้หนู ตอนนี้เราชนะแล้วนะ แต่เราแค่มาหยิบรางวัล แล้วก็ลุย เวทีนี้เป็นของฉัน หนูรู้สึกแบบนั้น ความตั้งใจและความพยายามในวันนั้น วันนี้รู้แล้วว่ามันไม่สูญเปล่า ขอแค่ให้ทุกคนตั้งใจและพยายาม หนูเชื่อว่าต้องประสบความสำเร็จในชีวิตด้านใดด้านหนึ่ง 


ถือเป็นปีทองของตัวเองเลยไหม 

เชื่อไหมว่าไปดูดวงมา ไม่เคยดูเลยทั้งชีวิต ปีก่อนเป็นปีแรกที่ไปดูดวงก่อนที่จะเข้ามาถ่ายทำรายการ The Face ด้วยซ้ำ หมอดูบอกว่าดวงเราตั้งแต่ปีนี้ (2561) เป็นต้นไปนะจะดีจนถึงปี 2566 จะมีรถ มีบ้าน อุ๊ย ไม่พูดดีกว่า เดี๋ยวสรรพากรมา (หัวเราะ) เป็นปีที่เราได้ทุกอย่างที่เราไม่คาดคิด เพราะหนูตั้งเป้าหมายไว้ว่าอายุ 28 ปี เราจะมีทุกอย่างให้ได้ แต่ตอนนี้มีแล้ว มันเลยรู้สึก…บ้า อยากจะมีอีกเหรอ เดี๋ยวจะมาอีกเหรอ มันรู้สึกดีมากทุกเช้าที่ตื่นมา 


แล้วเรื่องความรักล่ะ เมื่อมาเป็นดารา แน่นอนต้องเสียความเป็นส่วนตัว เดี๋ยวสักพักคนจะต้องถามแล้ว ตกลงจีน่ามีแฟนไหม คนนั้นคือใคร เตรียมตัวอย่างไร

 จริงๆ หนูไม่ได้เตรียมตัวเลย เคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่ามีค่ะ มีแฟนแล้ว หนูไม่ได้ปิดนะ หนูเดินห้างฯ ปกติเลยนะ แต่เพียงแค่จังหวะที่หนูเดินห้างฯ อาจจะไม่ใช่แฟนคลับเราที่เดินผ่านมาเห็น หรือเขาอาจจะไม่รู้จักเรา ก็เลยไม่มีใครสนใจ แฟนเป็นคนขี้อายค่ะ

หนูค่อนข้างเป็นผู้หญิงเปิดเผย ไม่ได้ปิด แต่แฟนเป็นคนขี้อายนิดหนึ่ง และเราไม่ได้ประกาศตัวลงโซเชียลฯ ขนาดนั้น มีนักข่าวคนหนึ่งเคยถามว่าทำไมถึงไม่ลงรูปแฟนแบบติช่าเลย หนูเลยบอกว่าหนูเกรงใจที่บ้านค่ะ เราถูกเลี้ยงมาแบบหนึ่ง วัฒนธรรมเราเป็นแบบนี้ ผู้ใหญ่ที่บ้านเยอะ เกรงใจเขา ไม่ได้จะปิด แต่ว่าก็ไม่ได้ถึงขั้นแบบเปิดเผยมากค่ะ 


ปี 2562 มีงานอะไรที่เราต้องรอดูบ้าง

มีซีรีส์ทาง GMM นะคะ เรื่อง เจ้าหญิงเม็ดทราย ค่ะ แล้วก็มีละครอีก 2 เรื่อง ต้องรอติดตามค่ะ มันเป็นบทที่เรายังไม่เคยได้รับ เหมือนเราโตขึ้น แล้วเราได้บทที่โตขึ้นด้วย เป็นตัวสำคัญของเรื่องด้วย เราเลยรู้สึกดีใจที่ผู้ใหญ่ให้โอกาส อยากให้รอดู เพราะว่าแต่ละเรื่องไม่เหมือนกันเลย บางเรื่องก็ร้ายตลก บางเรื่องร้ายโรคจิต บางเรื่องก็ร้ายแบบร้ายลึกร้ายวางแผน แต่ก็ร้ายทั้งหมด อ๋อ…แต่มีเรื่องหนึ่งเป็นคนดี เล่นเป็นคู่ 2 แค่เรื่องเดียวค่ะ ท้าทายนิดหนึ่ง เพราะเป็นละครพีเรียด


คิดเห็นอย่างไรบ้างที่ตอนนี้เหมือนวงการแสดง มีช่องทางมากมาย ไม่ใช่แค่ช่องหลักอีกต่อไปแล้ว

หนูรู้สึกว่าไม่มีใครโดนแย่งโอกาสจากใคร เพราะช่องทางมันเยอะขึ้น ละครปัจจุบันนี้แต่ละเรื่องตัวละครก็เยอะขึ้น มีหลายคู่ มีหลายบทบาทอยู่ในนั้น แต่ละค่าย แต่ละช่อง ก็ต้องทำให้สามารถรองรับกับนักแสดงของตัวเองได้ สำหรับตัวหนูเองหากในโผมีตัวละครหนึ่งตัว แต่ว่ามี 2 ชอยส์ให้เขาเลือกอย่างนี้ แล้วหนึ่งในนั้นเป็นเรา แค่นั้นเราก็ดีใจแล้ว ที่เราติดเข้าไป เขาจะเลือกเราหรือสุดท้ายไม่เลือกไม่เป็นไร หนูเชื่อว่าทุกคนมีดีและรู้สึกดีใจ


คาดหวังอะไรบ้างในปีนี้ 

ขอให้ทุกอย่างดีขึ้นแล้วกัน ครอบครัวหนูจะได้สบาย หนูไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ก็คิดว่าขอให้มันดีอย่างนี้แล้วกัน ขอให้ทุกคนชื่นชมเราที่ผลงานและความสามารถของเราแบบนี้ไปเรื่อยๆ หนูยังอยากอยู่ในวงการอีกนาน ๆ แต่หนูเชื่อว่าหนูไม่ได้อยู่ได้ด้วยกระแส หนูอยู่ได้ด้วยความสามารถของตัวเอง