PRETTY YOUNG THING – บทสัมภาษณ์ เจ้านาย จินเจษฎ์ วรรธนะสิน

Written by  
22.02.18 4,640 views

        ไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ ที่เราได้เห็นและได้ฟัง เจ้านาย – จินเจษฎ์ วรรธนะสิน ร้องเพลง เพราะสำหรับหลายๆ คนที่เป็น “ติ่งผู้มาก่อนกาล” ของบ้านวรรธนะสิน คงคุ้นเคยกันดีกับภาพของพ่อเจ – เจตริน และลูกชายทั้ง 3 เจ้า (เจ้านาย, เจ้าขุน, เจ้าสมุทร) รวมถึงแม่ปิ่น – เก็จมณี วรรธนะสิน ด้วยเช่นกัน ที่มักมีกิจกรรมร้องรำทำเพลงแบบ Live ให้ดูอย่างสม่ำเสมอ

        จนเมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี่เอง ทันทีที่ซิงเกิ้ล “คนละชั้น” ของจินเจษฎ์ ถูกปล่อยออกมาสู่หูผู้ฟัง สมทบด้วยมิวสิควิดีโอที่ขายความหล่อใสของเขาโดยเฉพาะ ที่ช่วยตอกย้ำกระแสความแรงของเพลงนี้ให้มียอดวิวทะลุหลักสิบล้านในเร็ววัน ส่งผลให้ปรากฏการณ์ “สะใภ้มโน” ระบาดไปทั่วหัวระแหง เพราะนี่คือส่วนผสมที่ลงตัวอย่างถึงที่สุด ทั้งแนวเพลงอาร์แอนด์บีฟังเพราะ ร้องตามง่าย สอดรับไปกับเสน่ห์ของนักร้องหนุ่มคนแรกแห่งสังกัด Jay Midi ของเจตริน ที่ไม่ว่าเจ้านายจะขยับตัวในองศาใดก็น่ามองไปหมดทุกมุม 

          จึงไม่น่าแปลกใจอีกเช่นกัน ที่ความสำเร็จในชั่วข้ามคืนของ “เจ้านาย” ในวัย 16 ปี จะเป็นหมุดหมายสำคัญแห่งช่วงชีวิต ที่เมื่อเขาเติบโตขึ้นแล้วมองกลับมา คงอดแปลกใจไม่ได้เสียเอง

          ส่วนสิ่งที่ Hamburger ทำได้ นอกจากฟังและฮัมเพลงตาม ควบคู่ไปกับการมองใบหน้าหล่อๆ ของเขาอย่างไม่วางตา ก็คือ การเก็บตกบทสนทนากับเขาในวัยนี้ เพื่อบันทึกไว้ แล้วรอวันที่จะได้คุยกับ จินเจษฎ์ วรรธนะสิน อีกครั้งในวันหน้า เมื่อเขาเติบโตขึ้นเป็นซูเปอร์สตาร์คนหนึ่งของเมืองไทย เช่นเดียวกับที่คุณพ่อเคยสร้างปรากฏการณ์นั้นมาแล้ว และเราเชื่อว่าเจ้านายก็ทำได้เช่นกัน


ที่มาของซิงเกิ้ล “คนละชั้น” เกิดขึ้นได้อย่างไร

  บ้านเราเป็นคนชอบร้องเพลง ชอบดนตรีอยู่แล้ว นายเคยนั่งคุยกับพ่อว่าถ้าทำเพลงจะเป็นแนวไหนดี ก่อนหน้านี้ก็เคยลองพลาดมาบ้างแล้ว สุดท้ายผลออกมาก็น่าจะเป็นแนวอาร์แอนด์บีอย่างเพลงที่ออกไป ตอนแรกก็ไม่ได้กำหนดว่าจะต้องออกในช่วงเวลานี้ เพราะเราก็พยายามหาคนมาทำเพลงดีๆ ให้ ซึ่งนายชอบพี่ๆ Room39 มากอยู่แล้ว แล้วพ่อก็ไปได้เบอร์มาจากไหนไม่รู้ ก็โทรติดต่อไป ตอนแรกเจอพี่มน (ชุติมน วิจิตรทฤษฎี) ก่อน  แล้วค่อยได้เจอพี่แว่นใหญ่ (โอฬาร ชูใจ) ขั้นตอนการทำงานก็เริ่มจากพี่ๆ ทั้งวงมาเจอกับนายที่บ้าน เพื่อพูดคุยทำความรู้จักแบบเป็นกันเองก่อน ตอนแรกพี่ๆ เขาคิดว่าเราเป็นเด็กที่ร้องเพลงไม่ได้ แต่อยากจะร้อง พอนายร้องเพลงให้พี่ๆ ฟัง ก็ดีใจที่พวกเขาโอเคกับเรา จากนั้นก็ไปร้องในห้องอัดจริงๆ โดยมีพี่ทอม (อิศรา กิจนิตย์ชีว์) ช่วยร้องไกด์ให้ รอบแรกนายร้องไม่ผ่าน ก็กลับไปทำการบ้าน หัดร้องให้คำมันเข้าปาก มีเปลี่ยนคำบ้างจนลงตัว


ก่อนมาเป็นเพลงนี้ พี่ๆ ต้องรู้จักเจ้านายแค่ไหน ทำไมเนื้อหาถึงออกมาเป็น “คนละชั้น” 

  พี่ๆ เขาก็ไม่ได้บอกนายเหมือนกัน ซึ่งนายว่าที่เขาไม่บอกขนาดนั้น เพราะอยากให้เรามาหาเองมากกว่า นายต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจตัวเพลงเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ เพื่อหาอารมณ์ในการร้องให้เจอ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มจะรู้แล้วว่าจะต้องมู้ดไหน อารมณ์ตอนร้องเป็นยังไง เพลงนี้เป็นเพลงจีบมากกว่าเพลงเศร้า 


เริ่มทำเพลงต่อไปรึยัง

  ยังไม่ได้แพลนครับ


ที่บอกว่าบ้านเราชอบร้องเพลงอยู่แล้ว คือ เราชอบของเราเอง หรือคุณพ่อปลูกฝัง

  ไม่มีการบังคับอะไรใดๆ ทั้งสิ้น พวกเราชอบร้องเพลงกันตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว ได้ยินเพลงก็ต้องโยกหัวตามตลอดเวลา เอนจอยกับดนตรีมาก


เมื่อไรที่เจ้านายรู้สึกว่าอยากลองเล่นดนตรีเอง อยากเริ่มร้องเพลงเองบ้างแล้ว

  เริ่มเล่นกลองตอนประมาณ 8 ขวบ ขอพ่อไปเรียนตีกลอง รู้สึกว่ามันก็มีบีทเป็นของตัวเอง จากนั้นก็ขยับไปจับเครื่องดนตรีอื่นๆ เช่น คีย์บอร์ด กีตาร์ ส่วนร้องเพลงก็ร้องเล่นๆ อยู่แล้ว เป็นไปตามธรรมชาติมากกว่า


ทำไมเลือกกลองเป็นอย่างแรก

  รู้สึกว่ามันต้องมีจังหวะ ไม่งั้นก็ไปเล่นอย่างอื่นไม่ได้ 


ตีกลองยากไหม

  คงเพราะเราชอบก็เลยทำได้ ทุกวันนี้นายก็ยังตีกลองอยู่ มีไปเรียนเพิ่มที่ KPN ด้วย ส่วนตอนนี้ชอบเล่นกีตาร์ มันก็เท่ดี 


อยากเรียนทักษะอะไรเพิ่มเติมอีก

  ร้องเพลง อยากให้แข็งกว่านี้นิดนึง 


ก่อนหน้านี้มีใครสอนร้องเพลงไหม

  ไม่มีเลย ฝึกร้องเอง


พ่อสอนไหม

  ไม่สอน นายชอบฟังเพลง แล้วก็ร้องตาม


พี่ทอมสอนไหม

  พี่ทอมจะอยู่ในห้องอัด แล้วคอยคุมว่าตรงนี้ขอเบาๆ ตรงนี้ขอแรงๆ พี่ทอมเก่งครับ เขาเค้นความเป็นนายออกมาได้เยอะมาก 


ครั้งแรกที่ขึ้นคอนเสิร์ตกับพ่อตอนอายุเท่าไร

  คอนเสิร์ตเจ เจตริน 20 ปี (J20 Anniversary) นายน่าจะอายุ 11 ขวบ ตอนนั้นตื่นเต้นมาก เพราะยังงงๆ ว่าการขึ้นคอนเสิร์ตคืออะไร แต่พวกเรา 3 คน ก็เตรียมตัวมาดีพอสมควร ซ้อมแล้วซ้อมอีก จำได้ว่าตื่นเต้นจนต้องฉี่กันหลังเวทีทั้ง 3 คนเลย แต่สุดท้ายก็ผ่านไปได้ด้วยดี


ตื่นเต้นแล้วติดใจไหม

  ติดใจครับ ชอบ ชอบเห็นคนยิ้มแย้ม กรี๊ดกร๊าด ชอบเห็นคนมีความสุข


แล้วเมื่อไรที่เราชักอยากจะมีเพลงเป็นของตัวเอง

  ตอนแรกแค่อยากลอง แต่ไม่ได้ถึงขั้นอยากมีเพลงออกอัลบั้ม แต่ตอนนี้ก็สนุกดี 


เช็กฟีดแบ็กเพลง คนละชั้น อย่างไรบ้าง

  อ่านเอาตามคอมเมนต์ต่างๆ ก็ทั้งแบบที่ดีๆ และมีคำแนะนำต่างๆ


ตอนทำเพลงนี้คาดหวังอะไรไหม

  มันไม่ใช่ความคาดหวังหรือกดดัน แต่ลุ้นมากกว่า เพราะยังไงเราก็ตัดสินใจว่าต้องทำอยู่แล้ว แค่จะเช็คว่าเพลงแบบนี้คือแนวของเรานะ คนฟังชอบไหม ซึ่งนายคิดว่าผลตอบรับก็ออกมาดี 


ไปถ่ายมิวสิกวิดีโอที่ไหน

  กระบี่ นายก็ยังงงๆ ว่าการถ่ายเอ็มวีเป็นยังไง ต้องลิปซิงค์แบบไหน สื่ออารมณ์ทางตายังไง พ่อก็ให้คำแนะนำตลอด ถามว่าเหนื่อยไหม ก็เหนื่อยครับ แต่ก็สนุก 


พ่อแนะนำว่าอะไรบ้าง

  ในห้องอัดพ่อจะไม่ค่อยยุ่ง เพราะถ้ามาคุมจะกลายเป็นพ่อมากเกินไป ส่วนในเอ็มวีพ่อก็สอนเรื่องการส่งสายตาให้กล้อง แต่ก็ไม่ได้สอนเยอะ พ่อสอนให้เราเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด และเน้นว่าอย่าลืมตัว อย่าลืมว่าใครพาเรามาถึงจุดนี้ และอย่าลืมแฟนคลับ แม่ก็สอนแบบนี้เหมือนกัน


แล้วท่าชี้นิ้วมาได้ยังไง

  มันออกมาเองครับ ตอนอยู่ตรงหัวเรือแล้วนายเผอิญทำท่านี้ พี่ๆ ก็บอกว่า เฮ้ย อันนี้ซื้อ เลยยาวเลย (หัวเราะ)


จุดมุ่งหมายระยะใกล้ในตอนนี้คืออะไร อยากทำอะไรให้สำเร็จ

  ตอนนี้ก็ได้ไปแล้วหนึ่งโกล คือ มีคนร้องเพลงเราเยอะๆ อีกอันคือ อยากขึ้นป้ายบิลบอร์ดหน้าแอร์พอร์ท ลงเครื่องที่สุวรรณภูมิแล้วเจอหน้าเราเลย อันนั้นคือเป้าหมายที่สอง มันเท่ดี เป็นเจ้านาย “ที่โรงเรียน”


แนะนำเมืองที่เจ้านายไปเรียนให้คนไทยรู้จักหน่อย

  ซอมเมอร์เซ็ท (Somerset) เป็นเมืองเล็กๆ มีโรงเรียนอยู่ไม่กี่แห่ง 2-3 โรงเรียน ห่างจากลอนดอน 2 ชั่วโมงครึ่ง เหมือนหัวหินพัทยา จะมีก็แค่โรงแรมเล็กๆ เป็นเมืองแห่งคนที่รีไทร์แล้ว เราก็ไปเรียนโดยเฉพาะ แต่วันหยุดเสาร์อาทิตย์ก็เข้าลอนดอนได้ ว่างๆ ก็ไปบ้าง ซอมเมอร์เซ็ทเป็นที่ที่เราไปเรียนได้อย่างเดียว แต่ก็พอจะมีร้านอาหารอิตาเลียนดีๆ อยู่บ้าง พอจะนั่งชิลล์ได้

 

เลือกไปเรียนที่อังกฤษเอง หรือพ่อแม่เลือกให้

  เกิดจากการคุยกันว่าอยากให้นายกับขุนไปลองอะไรใหม่ๆ ตอนนั้นเราก็เลอะเทอะหน่อย ไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไร พ่อกับแม่เลยบอกว่าไปอยู่โน่นดีกว่า ไปเริ่มต้นใหม่ ก็เลยไปเริ่มเรียน year 10 ที่ Millfield School ไปพร้อมกับเจ้าขุนเลย แล้วเดี๋ยวเจ้าสมุทรตามไปปีนี้ 


ไปแพ็กคู่ก็ไม่น่าจะเหงามาก

  ตอนแรกอยู่คนละที่ ตึกเด็กเล็กกับตึกเด็กโต ก็มีเหงา คิดถึงบ้านบ้าง


บรรยากาศการเรียนที่โน่นเป็นยังไงบ้าง

  ไม่ได้แตกต่างจากเมืองไทยมากนัก เราก็เล่นกีฬากับเรียนหนังสือ แค่ห่างจากบ้านไปไกลหน่อย อาจจะโหวงเหวงช่วงแรก แต่หลังๆ ก็ชินแล้ว


เรียนหนักไหม

  สบายๆ ออกไปทางให้เด็กทำกิจกรรมโน่นนี่มากกว่า hands on activity ให้เราเรียนรู้ด้วยตัวเอง 

เจ้านายเลือกเรียนวิชาอะไรบ้าง

  ที่โน่นมีวิชาบังคับคือ เลขกับอังกฤษ สองวิชานี้ต้องผ่าน ส่วนวิชาที่เลือกพิเศษมีดราม่า, มิวสิค, ไอซีที และภาษาจีน 


วางแผนการเรียนล่วงหน้าถึงมหาวิทยาลัยรึยัง

  ยังครับ ขอเวลาอีกปี น่าจะเลือกบิสสิเนสกับดนตรี ยังไม่แน่ใจ


มีเพื่อนสนิทที่โน่นกี่คน

  ในแก๊งมี 4 คน ผู้ชายล้วน 


เป็นแก๊งแบบไหน

  ซนๆ ตามประสาเด็กนักเรียน เหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ


แหกกฎระบียบบ้างไหม

  มีบ้าง แต่นายเชื่อว่านายเป็นเด็กดี (หัวเราะ) 


เล่าถึงการเรียนดราม่าให้ฟังหน่อย

  ออกแนวละครเวที นอกจากเรียนการแสดงก็ต้องเขียนเรียงความเกี่ยวกับละครเรื่องนั้นๆ ส่งครู


แล้วได้เล่นละครเวทีจริงๆ ด้วยไหม

  ได้เล่นบ้างเรื่องสองเรื่อง เพื่อสอบเก็บคะแนน มีคณะกรรมการ 3-4 คนนั่งให้คะแนน คนดูก็เป็นเพื่อนๆ ในโรงเรียน ผมเคยได้เล่นเป็นคนเมา เป็นผู้หญิง และเล่นเป็นวัยรุ่นใน
เรื่องเดียว 


ชอบการแสดงไหม

  ก็ทำได้นะครับ แต่อยากตั้งใจเรียนให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีก่อน 


คิดหรือยังว่าอยากทำอาชีพอะไร

  ยังไม่รู้ เคยนั่งคุยกับเพื่อนเหมือนกันว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ก็ยังตอบไม่ได้ 


ตอนนี้สนุกกับการเรียนวิชาอะไรที่สุด

  ดนตรี 


เขาสอนอะไรบ้าง

  มี 2 คอร์ส คอร์สที่สอนเกี่ยวกับการออกาไนซ์งาน 
เช่น ถ้าจะจัดคอนเสิร์ต จะดึงคนโน้นคนนี้มาช่วยงานได้ยังไง ติดต่องานแบบไหน ทำเอกสารยังไง ส่วนอีกคอร์สก็เป็นเรียนทำดนตรี สอนแต่งเพลง ทำเพลง ซึ่งผมถนัดคอร์สนี้มากกว่า


เคยอยากฟอร์มวงกับเพื่อนไหม

  เคยแล้ว ตอนเรียนอยู่เมืองไทย ตอนนั้นยังเด็ก 
ยังไม่ค่อยรู้เรื่อง ตอนนี้ก็ยังอยากทำอีก แต่หาคนยาก 


เจ้านายชอบฟุตบอลไหม

  ผมชอบดูบอล เคยได้อยู่ในทีมฟุตบอลโรงเรียนด้วย แต่โดนเขาเตะออกจากทีม เพราะเราขี้เล่นเกินไป (หัวเราะ) จริงๆ แล้วผมชอบเล่นบาส ตอนนี้ได้อยู่ทีม โรงเรียน ต้องซ้อมเยอะเหมือนกัน เจ้าขุนตอนแรกไปลองรักบี้ ตอนนี้พอถึงรุ่นโตแล้วพ่อก็บอกว่าพอเถอะ เพราะเป็นกีฬาที่เสี่ยงและเจ็บตัวง่ายมาก ตอนนี้ขุนก็เลยเล่นบาสเหมือนกัน เดี๋ยวพอเจ้าสมุทรมาเรียนที่นี่ก็จะมีปีนึงที่พวกเราได้อยู่ทีมบาสด้วยกัน 3 คน


เคยดูละครที่พ่อเล่นไหม

  ยามเมื่อลมพัดหวน (หัวเราะ)


ผ่านตาหรือตั้งใจหามาดู

  มันขึ้นมาในเน็ต เราก็นั่งดูเป็นตอนๆ ไป


ดูแล้วรู้สึกยังไงบ้าง

  ก็คนเป็นพ่อน่ะครับ ดูแล้วก็เขินๆ 


แล้วละครที่แม่เล่นล่ะ

  แม่เล่นละครเป็นปกติอยู่แล้ว เราดูจนชินแล้ว 


เวลามีวันว่างที่อังกฤษ ชอบทำอะไร

  ก็ไปเดินเล่นข้างนอกโรงเรียน นั่งเล่นกับเพื่อน ชิลล์ พักสมอง สูดอากาศ ดูบรรยากาศดีๆ เห็นมุมสวยๆ ก็ถ่ายรูป นายไม่ใช่แนวที่จะว่างแล้วหยิบหนังสือมาอ่าน เป็นแนวทำแอ็กทิวิตี้โน่นนี่มากกว่า



เด็กที่โน่นติดโซเชียลไหม

  คล้ายๆ เด็กไทย ก็มีเทรนด์ใหม่เกิดขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้ชัดว่ายังชอบเล่นโซเชียลอยู่


อะไรที่ผ่านตาแล้วเจ้านายจะหยุดดูหรือหยุดอ่านนานเป็นพิเศษ

  เป็นเรื่องสไตล์มากกว่า ชอบดูรูปดีๆ สวยๆ หรือถ้าอีกเชิงเลยก็เป็นคลิปตลกๆ 


เจ้านายใช้สื่อโซเชียลอะไรบ้าง

  เฟสบุ๊กกับอินสตาแกรม  ติดไอจีที่สุด ชอบดูมากกว่าชอบลงเอง


ติดตามไอจีใครเป็นพิเศษ

  พ่อครับ (หัวเราะ)


เจ้านายเป็นพี่ชายแบบไหน

  เป็นเพื่อนมากกว่า ขุนกับหมุดก็ไม่เรียกนายว่าพี่ เรียกชื่อไปเลย เราคุยกันได้ทุกเรื่อง ใครมีเรื่องอะไรก็มาปรึกษา ไม่ต้องดูแลอะไรกันเป็นพิเศษ พวกเขาดูแลตัวเองกันได้ พวกเราไม่ค่อยทะเลาะกัน เน้นคุยกันมากกว่า ซนบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน 


เจ้าสมุทรมีแชนเนลยูทูบของตัวเอง เจ้านายมีไหม

  ไม่มีครับ นายว่าการเอากล้องถ่ายตัวเองมันเขินๆ มันไม่ใช่แนวเรา แต่นายว่าหมุดควรจะทำต่อ เขาคิดเก่ง พูดเก่ง เจ้าขุนก็ไม่มีแชนเนลนะ มีแค่หมุดกับพ่อ ตัวเองเป็นลูกชายแบบไหนของพ่อแม่ มีความกดดันอะไรจากการเป็นลูกชายคนโตไหม

  ต้องดูแลน้อง ต้องเป็นคนที่ดูแลครอบครัวได้ เพราะพี่คนโตต้องเป็นตัวอย่างที่ดีให้น้องๆ อยู่แล้ว


คำสอนของพ่อแม่ที่สอนบ่อยๆ จนเราจำขึ้นใจ

ต้องเป็นสุภาพบุรุษ 


อย่างไร

  ต้องดูแลคนอื่น คิดถึงความรู้สึกคนอื่น และต้องคิดก่อนทำ พ่อแม่สอนพวกเรา 3 คนแบบนี้เสมอ


พ่อกับลุง (โจ นูโว – จิรายุส วรรธนะสิน) เป็นแบบอย่างให้เจ้านายด้านการทำงานในแง่ไหนบ้าง

  ทั้งคู่ทุ่มเทกับงานร้อยเปอร์เซ็นต์ 


นิสัยอะไรของตัวเองที่เหมือนพ่อ และเหมือนแม่

  ส่วนที่เหมือนพ่อคือ อารมณ์ขึ้นเร็ว ลงเร็ว ขี้รำคาญ แต่ก็หายเร็ว และเฟรนด์ลี่กับทุกคน ส่วนที่เหมือนแม่ก็คือ อยู่คนเดียวได้ ไม่มีมุมเหงา ทำอะไรของเราไปได้เรื่อยๆ เพราะแม่เป็นคนที่มีความสุขกับทุกที่ ผมเป็นคนคิดบวกเหมือนแม่


เคยฟังเพลงแม่ไหม

  เคย (หัวเราะ) เพลงเก๋ๆ คลาสสิกดีครับ