แหกกกก...พชร์ อานนท์ ต่อ ไม่รอแล้วนะ - พชร์ อานนท์

Written by
05.12.18 2,088 views

ถ้าจะนับคนเก่าคนแก่ของวงการบันเทิงไทย ชื่อ พชร์ อานนท์ (หรือพจน์ อานนท์ คนเดิม) เป็นหนึ่งในรายชื่อที่คนไทยจดจำได้เป็นอย่างดี คนวัย 40 อัพ จะจำพชร์ อานนท์ ได้ในฐานนะอดีตบรรณาธิการนิตยสาร เธอกับฉัน ซึ่งรุ่งเรืองสุดๆ ในยุค 90s แต่ถ้าอายุน้อยกว่านั้น เขาคือผู้กำกับที่งานชุกมากที่สุดคนหนึ่งในวงการหนังไทย และก็โดนแหกกก...มากที่สุดคนหนึ่งด้วยเช่นกัน ถามว่าพชร์แคร์มั้ย? ในโอกาสที่หนังแฟรนไชส์  หอแต๋วแตก แหกต่อไม่รอแล้วนะภาคสุดท้ายของพชร์เข้าฉายแล้ววันนี้ HAMBURGER ชวนพชร์ อานนท์ มาตอบทุกปัญหาที่คุณข้องใจ

 

Q : ใจหายมั้ยที่ หอแต๋วแตก ภาคนี้จะเป็นภาคสุดท้ายแล้ว

พชร์ : ไม่นะ เพราะวางไว้ว่าเป็นภาคสุดท้าย เพราะมันครบ 6 ภาคแล้ว แม้จริงๆ ยังมีอะไรที่อยากจะเล่าอีก มีอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้เล่า แต่ก็ขอเป็นภาคสุดท้ายดีกว่า ตั้งใจให้เป็นภาคสุดท้าย เพราะมีอะไรประจวบเหมาะไปหมด แพนเค้กถึงเวลาไปเกิดแล้ว เจ๊แต๋วก็เจอบทสรุปของตัวเอง หรือนักแสดงท่านอื่นๆ ภาคนี้ขาดอาจารย์ยิ่งศักดิ์ไปคนเดียว  อาจารย์แกป่วย อายุมากแล้วด้วย จะให้มาวิ่งมันก็ไม่ไหวแล้วนะ แกบอกว่าเป็นโรคหมอนรองกระดูก มาแสดงไม่ไหวจริงๆ เลยต้องเขียนบทให้แกแต่งงานไปอยู่กับฝรั่งที่เมืองนอก เพิ่มตัวละครอื่นเข้ามา และตั้งใจว่าจะทำเป็นภาคสุดท้าย

 

Q : แฟนๆ หอแต๋วแตกฯ คงเสียดายแย่เลยนะ เพราะว่าก่อนหน้านี้คุณเคยโพสต์ขึ้น Facebook ว่า ระหว่าง มูเตลู กับแหกต่อไม่รอแล้วนะ อยากดูอันไหนก่อน แล้วเสียงส่วนใหญ่ก็เลือกแหกต่อ

พชร์ : ใช่ๆ จะมี มูเตลู กับ แหกต่อไม่รอแล้วนะ แต่ส่วนใหญ่เลือกอันหลังนะ แล้วพี่ก็มานั่งคิดว่ามูเตลูเนี่ย คนเข้าใจยาก หลายคนเข้าใจว่า มูเตลู คือไสยศาสตร์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนทรงเจ้า ช่วงก่อนก็มีข่าวเยอะ คนศรัทธาก็เยอะ พี่ก็มาคิดดูว่า อย่าไปยุ่งกับเขาเลย เพราะคนที่เขาศรัทธาและนับถืออาจจะไม่พอใจ ก็มาได้ชื่อ แหกต่อไม่รอแล้วนะ เพราะว่าพี่สนิทกับสิตางศ์ เขาดังมาจาก สะบัดต่อไม่รอแล้วนะ เคยชวนเขาเล่นหนังหลวงพี่แจ๊สด้วยกัน ก็ขอเขาว่า เออ พี่ขอมาใช้เป็นแหกต่อไม่รอแล้วนะได้ไหม เขาก็บอกว่าได้ เราก็เอามาเปลี่ยนแหกต่อไม่รอแล้วนะ แล้วเรื่องราวก็จะมีกลิ่นอายแบบแขก แต่งตัวเป็นแขก สนุกสนาน แต่ต้องไปดูว่า ทำไมเราต้องแต่งตัวแขกกัน

 

Q : เป็นกิมมิกของเรื่องนี้เลยทีเดียว

พชร์ : ใช่ๆ หนังหอแต๋วแตกฯ ทุกภาคจะมีสไตล์ของมันอยู่แล้วไง ภาคนั้นจะเป็นไทยๆ ภาคนั้นไปเกาหลี เป็นคอนเซ็ปต์ของแต่ภาค ส่วนภาคนี้เราอยากจะทำแขก ก็ให้ส้มโอ ที่ทำชุดรถตุ๊กตุ๊กรางวัลชนะเลิศจากเวทีมิสยูนิเวิร์ส  มาช่วยออกแบบเครื่องแต่งกายของชุดแขกให้ทั้งหมด แต่จริงๆ เนื้อเรื่องมันจะไม่ได้เป็นแขกทั้งเรื่องนะ มันจะเป็นแค่ช่วงหนึ่ง ช่วงที่พวกเจ๊แต๋วเข้าไปเจอเหตุการณ์อะไรบางอย่าง

 

Q : หนังหอแต๋วแตกทุกภาคจะต้องมีซิกเนเจอร์บางอย่าง นอกจากกะเทยแต่งหญิงแล้ว ก็ต้องมีผู้ชายแซ่บ มีผู้ชายแก้ผ้าบ้าง ภาคนี้มีไหม

พชร์ : มีๆ มีผู้ชายแซ่บอยู่ แต่ว่าภาคนี้จะไม่เน้นผู้ชายแก้ผ้า มีแต่ผู้ชายถอดเสื้อเฉยๆ มีเป็นผู้ชายหล่อๆ เป็นเด็กในหอ เป็นยมทูต เป็นแฟนเจ๊พะยูน แล้วเรื่องนี้จะทะลึ่งน้อยหน่อย จะเป็นแบบตลกแบบสไตล์ภาค 1 ภาค 2 ภาค 3 มารวมกัน แต่แต่งชุดแขกนี่จะเว่อร์วังอลังการ รับประกันได้ว่า คนดูต้องหัวเราะ หัวเราะเยอะกว่าที่ผ่านมาแน่นอน

 

Q : ถ้าย้อนกลับไปถึงตอนที่เราเริ่มทำหอแต๋วแตกครั้งแรก เราเคยคิดไหมว่า มันจะมาได้ถึง 6 ภาค

พชร์ : เราเริ่มทำหอแต๋วแตก .. 2550 ตอนนั้นเราถ่าย เพื่อน...กูรักมึงว่ะเสร็จ กำลังอยู่ในขั้นตอนโพสต์โพรดักชั่น ซึ่งทำกับเสี่ยเจียงอยู่ในตอนนั้น ก็เอาโปรเจ็กต์หอแต๋วแตกฯ ไปเสนอเสี่ยเจียง เสี่ยเจียงครับ ผมอยากทำโปรเจ็กต์ใหม่ ชื่อหอแต๋วแตกเสี่ยเจียงก็บอกว่า อย่าเพิ่งๆ ชื่อมันไม่ผ่าน ชื่อหอแต๋วแตกอะไรคนไม่เข้าใจ เสี่ยเจียงบอกอย่างนั้น เราก็บอกว่าอย่างนั้นอาทิตย์หน้าผมมาใหม่นะครับ พออาทิตย์หน้า เสี่ยบอกเสี่ยจะตั้งชื่อให้ พอไปถึงเสี่ยก็บอกว่า เฮ้ย พชร์กูได้ชื่อหนังมึงแล้ว โกยเถอะกะเทยเราก็เอ๊ะ เสี่ยมันจะไปซ้ำกับโกยเถอะโยมหรือเปล่า เพราะตอนนั้นมีหนัง โกยเถอะโยม ออกฉายไง เราก็บอก ไม่เอาได้ไหมครับ ผมยังชอบหอแต๋วแตกอยู่เสี่ยบอกมึงนี่ดื้อจริงๆ ไปเอาใหม่ เดี๋ยวอาทิตย์หน้ามาตั้งให้ใหม่ เราก็รอ พอไปถึงวัน เสี่ยก็บอกว่า กูไม่ทำแล้ว เราเลยบอกว่าถ้าเสี่ยไม่ทำ ผมขออนุญาตไปทำที่ไฟว์สตาร์นะครับ เสี่ยก็บอกแล้วแต่มึง แล้วเราก็โทรศัพท์ไปหาคุณเชน ไฟว์สตาร์ คุณเชนครับ ผมมีโปรเจ็กต์หนึ่งจะเสนอ เรื่องหอแต๋วแตก เป็นกะเทยวิ่ง กะเทยเจอผี สนุกสนานเฮฮาตามสไตล์ผม คุณเชนบอกมาเลย เอาโปรเจ็กต์มาคุยเลยคุยแป๊บเดียวก็ได้ทำ เปิดกล้องเลย เป็นหอแต๋วแตก ก็รีบๆ ถ่าย เพื่อจะฉายให้ทันช่วงตรุษจีน แต่ตอนนั้นดันไปชนกับหนังพี่หม่ำเรื่อง บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยมภาคแรก ชนกันโครมใหญ่ พี่ก็อ้าว ชนก็ชน แต่หนังเราถึงจะได้ประมาณ 45-50 ล้าน หนังของพี่หม่ำเขาได้ 90 ล้าน แต่เงินลงทุนมันผิดกันไง ของเราลงทุน 10 กว่าล้าน ของพี่หม่ำเขาเป็นร้อยล้าน โอเค ถือว่าประสบความสำเร็จ เราก็ไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากนั้นก็ย้ายค่าย มาทำภาค 2 ที่พระนครฟิล์ม คือไม่คิดว่า โปรเจ็กต์นี้จะประสบความสำเร็จ คนจะชอบกันถึงขนาดนี้

 

Q : พอย้ายมาทำกับพระนคร ก็มีมาอีกหลายภาค

พชร์ : ตอนมาอยู่พระนครฯ ก็ทำเรื่องอื่นก่อนนะ ทำ เหยิน เป๋ เหล่ เซมากูเตะก่อน พอทำเสร็จแล้วสักพักหนึ่งก็อยากทำหอแต๋วแตก แฟนๆ บอกคิดถึงหอแต๋วแตก เราก็ทำเป็น หอแต๋วแตกแหกกระเจิงตอนนั้นก็คิดคอนเซ็ปต์ให้มันแตกต่างไปจากภาคแรก มีอิงภาคแรกนิดหน่อย แล้วก็มาเปิดหอใหม่ เพราะหอเก่าที่เคยถ่ายเขาไม่ให้ถ่ายแล้ว จากนั้นก็มีตุ๊กกี้เข้ามา เจ๊พะยูนก็มา สายป่านก็มา เราก็ทำให้มันเป็นไทยๆ ย้อนยุคไปว่า เจ๊พะยูนคือใคร เจ๊พะยูนมาได้อย่างไร พอภาค 2 มันประสบความสำเร็จมากกว่าภาคแรก ได้เกือบ 70 ล้าน คนตอบรับแน่นมาก เกิดคำฮิตๆ ในหอแต๋วแตกเยอะ อย่างภาคแรก มีพี่น้องเป็นพม่า เจ้าแม่ยองยองข่งค้งคนก็เอาไปเล่นกัน พอมาภาค 2 ก็มี ใครฆ่าอารยาที่คนก็เอาไปเล่นกัน มันก็กลายเป็นกิมมิก แต่ในภาค 2 ที่ดังที่สุดคือมุกตุ๊กตา ที่บอกว่า นี่ตุ๊กตาหนู หนูจะเรียกชื่ออีแต๋วก็กลายเป็นคำพูดที่ฮือฮา ทุกวันนี้ยังมีคนเล่นกันอยู่ พอมาทำภาค 3 เราก็คิด เฮ้ย มันจะแตกต่างไปจากภาคอื่นยังไงดี ตอนนั้นหนังแฮร์รี่พอตเตอร์ดัง เราก็ทำให้มีหมาป่า มีแท่งทอง (แทค ภรัณยู) เป็นเรื่องเหนือจริง แต่ก็ยังมีคำสนุกอยู่ คำฮิตก็มี อีช็อกกะรีไง แต่พอภาค 4 เราก็จะกลับไปหาภาค 1 ภาค 2 อีก แต่ตอนนั้นหาหอไม่ได้เลย หอเก่าเขาไม่อนุญาตให้ถ่าย เลยต้องไปใช้ที่ออสการ์แทน ก็ล้อบุปผาราตรีหน่อย ผีเราก็ชื่อ อีราตรี ของเขาชื่อบุปผา พอภาค 5 นี่มันจะออกเป็นละครนิดๆ แนวละครพีเรียด ภาคนี้อาจจะไปเน้นความสวยความงามมากเกินไป พิสูจน์แล้วว่าแฟนหอแต๋วแตกชอบอะไรที่มันจับต้องได้ ด่ากันไฟแลบ ประชดประชัน แฟนหอแต๋วแตกชอบอะไรติดดิน ไม่ไฮ จากนั้นก็หยุดไป 2 ปีกว่า พอมาถึงภาคนี้เราก็เลยเคี่ยวหมอลำเลย เต้นหน้าห้างกันไปเลย ให้มันดูสัมผัสได้ เป็นเหมือนภาค 1 ภาค 2 ภาค 3 มารวมกัน

 

Q : ทีมคอสตูมนี่ตามมาตั้งแต่ภาคแรกหรือเปล่า

พชร์ : เราไม่เคยใช้ทีมคอสตูมเลยนะ ตั้งแต่ภาคแรกเราทำเองหมด หน้าผมอยากได้อย่างไร เป็นคนทำเอง มีลูกน้องมาคอยช่วยแต่งตัว ภาคแรกนี่เราทำเองหมดเลย ภาค 2 ค่อยมีคนมาช่วย แต่เขาจะช่วยแค่บางชุด ไม่ได้มาช่วยทั้งหมด แต่ส่วนใหญ่เราจะเป็นคนวางเองทั้งหมด แต่ภาค 6 นี่ได้ ส้มโอ มาช่วยออกแบบเฉพาะชุดแขก แต่ชุดอื่นๆ เราก็ทำเอง จะมีลูกน้องคอยวิ่งหาให้

 

Q : ยากไหมกับการเป็นผู้กำกับต้องคิดสตอรี่ด้วย แล้วยังต้องมาคอยดูเสื้อผ้าหน้าผม

พชร์ : อุ๊ย หนังทุกเรื่องเราทำเองหมดนะ เสื้อผ้าหน้าผม ไม่ว่าจะเป็นหลวงพี่แจ๊ส จริงๆ เราอยู่ตำแหน่งเป็นโปรดักชั่นดีไซน์ด้วย จะดีไซน์ทั้งหนังทั้งเรื่องว่าเป็นอย่างไร ทำเองมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ อย่างโปรดักชั่นตุ๊ดตู่กู้ชาติ เราก็ดีไซน์เอง ต้องเป็นอย่างนี้ๆ หาโลเคชั่นเอง ทุกเรื่องเราทำเองหมด หาโลเคชั่น ทำฉาก ต้องการอย่างไรก็เรียกลูกน้องมาคุย แล้วก็ให้ไปหามา แล้วเราก็จะเป็นคนเซ็ต 

 

Q : ในบรรดานักแสดงหอแต๋วแตกฯ ทั้งหมด นอกจากจตุรงค์ โก๊ะตี๋ เอกชัย ศรีวิชัยอาจารย์ยิ่งศักดิ์ ก็ยังมีน้องอาโคย (วีรดิษฐ์ ศรีมาลัย) ที่ตามติดมาตลอด คนนี้ลูกรักหรือเปล่า เพราะหนังเกือบทุกเรื่องของพชร์ อานนท์ ต้องมี

พชร์ : ไม่นะ กัสเล่นหนังกับเรามาตั้งแต่อายุ 19 เรื่องแรกคือไฉไล แล้วก็มาเล่น เพื่อน...กูรักมึงว่ะ ก่อนเล่นหอแต๋วแตกอีก ตัวจริงกัสเป็นคนขี้อายนะ ในหนังมันเป็นอย่างไร ตัวจริงก็เป็นอย่างนั้นแหละ เคยมีคนติดต่อให้ไปเล่นละคร มันก็ไม่กล้าไป มันเป็นคนเรียบร้อย แต่มีถ่ายโฆษณาบ้าง เขาก็ทำได้ แต่จริงๆ เขาไม่ไปไหนไง ไม่ไปแต่ก็จะเล่นแต่บทอาโคยนี่แหละ เราก็เออโอเค เพราะเขาก็เคยเล่นหนังเรื่องอื่นของเราด้วย แต่เขามาดังในบทอาโคย ทำให้คนรู้จัก แต่ภาคนี้อาโคยผอมมาก เพราะอาโคยไปลดความอ้วน ไปอยู่ต่างจังหวัด ชีวิตจริงของกัสนะ พอกลับมาหนังจะเปิดกล้อง มันก็ดำไง ซึ่งก็มันไม่ทันละ ก็เลยให้ไปหาหมอเลเซอร์หน้า ทำไปถ่ายไป ตอนหลังๆ อาโคยจะสดใสขึ้น ถ้าไปดูในหนังจะรู้เลย จะมีช่วงที่อาโคยโทรมกับช่วงที่อาโคยแข็งแรง แล้วกัสก็เล่นเก่งขึ้น

 

Q : ถือว่าเป็นหนึ่งในลูกรักของคุณเช่นเดียวกับน้องนิก (คุณาธิป ปิ่นประดับ) หรือเปล่า

พชร์ : เขาก็เป็นลูกรักนะ เป็นเด็กที่เราดูแลอยู่ แล้วเขาไม่ยอมไปไหน เราก็ดูแลเขาต่อไป อย่างนิก เขาเป็นเด็กที่เราปั้นขึ้นมา เราก็ต้องป้อนงานเขา ก็ต้องดูแลกัน และมีหลายคน ไอ้โต๊ด ไอ้เทป ส่วนใหญ่เด็กเราก็จะได้เล่นหนังของเรา เพราะว่าเขาเซ็นสัญญาอยู่กับเรา แต่ถ้าคนอื่นจะเอาไปเล่นเราก็ให้เล่น ไม่ได้หวง

 

Q : คุณรู้สึกอย่างไร ถ้ามีคนด่าว่า อุ๊ย พชร์ทำเป็นแต่หนังกะโหลกกะลา หนังตลาด

พชร์ : ไม่นะ แสดงว่าเขาไม่รู้จักเราจริงๆ เพราะก่อนหน้านี้เราก็ทำหนังที่ไม่กะโหลกกะลานะ เพื่อน...กูรักมึงว่ะ, 18 ฝนคนอันตราย, เอ๋อเหรอ หนังไม่กะโหลกกะลานะ ปล้นนะยะก็ไม่กะโหลกกะลานะ มันมีสตอรี่ แต่พอดีตระกูลหอแต๋วแตกมันดังไง คนก็เลยคิดว่าเราทำแต่หอแต๋วแตก อย่าง ศพเด็กฯ เราก็ทำ มันก็สอนสังคมได้เยอะ แต่คนจำได้แต่ หอแตวแตกไง และจริงๆ แล้วเราไม่ได้เกิดมาจากหนังกะเทยตระกูลนี้นะ เราเกิดมาจากหนัง 18 ฝนคนอันตราย มีว้ายบึ้มฯ มีปล้นนะยะ หนังวัยรุ่นแบบ มอ 6/5  ก็มี เราจะทำหนังสลับกันออกมา คือถ้าเขาได้ดู ถ้าไม่อคติ หนังเราไม่ได้เลวร้ายในสายตาคนดูหรอก แต่หลายคนเขาอคติไง ทำอะไรก็ไม่ดีไปหมด ต่อให้เราไปได้รางวัลออสการ์มา คนมันไม่ชอบ อคติ ก็บอกว่าหนังไม่ดีเหมือนเดิม

 

Q : เคยถามไหมว่าทำไมเขาถึงเกลียดขี้หน้าคุณนัก

พชร์ : ไม่ถาม ไม่ได้ใส่ใจด้วย เพราะว่าถ้าเรามัวแต่ไปใส่ใจคนพวกนี้ เราก็ไม่ต้องทำมาหากินน่ะสิ แล้วที่สำคัญไม่ใช่ว่าเพิ่งจะมาโดน โดนมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ทำหนังเรื่องแรกก็โดนมาตลอด เขาน่าจะคิดนะว่า ทำไม พชร์ อานนท์ ถึงได้ทำหนังเยอะ อยู่ในวงการมานานขนาดนี้ 20 กว่าปี  มีทั้งหมด 40 เรื่อง  เฉลี่ยแล้วปีละ 2 เรื่อง ทำไม  พชร์ อานนท์ ถึงได้ทำ ทำไมเขาถึงไม่คิดถึงข้อนี้ แล้วก็ไปเลียนแบบกันว่า เอ๊ะ มันทำอย่างไรวะมันถึงได้เงินทำหนังตลอดเวลา ศึกษาแล้วเอาสิ่งดีๆ ของเราไปเลียนแบบสิ เพราะคนสมัยนี้ก็อยากเป็นผู้กำกับกันเยอะ ไม่ใช่มานั่งด่า ด่ายังไงกูก็ไม่จมหรอก เพราะยิ่งด่าคนก็ยิ่งไม่ลืม ยิ่งด่าก็ยิ่งดัง คนก็ยังคิดถึง พชร์ อานนท์ ตลอดเวลา ขนาดเรื่องถ้ำ 13 คน หมูป่าอะไรนั่น เราไม่ได้ยุ่งอะไรกับเขาเลยนะ ก็ออกมาพูดกันจนเรากลายเป็นกระแสไปกับเขาด้วย แล้วเราก็ไม่เคยพูดว่าจะทำ ก็ดูข่าวตามปกติ เอาใจช่วยเด็กๆ เราเคยพูดแค่ครั้งเดียว ตอนที่เขาออกมาจากถ้ำแล้ว แค่บอกว่าประวัติของโค้ชเอกน่าเอามาทำเป็นหนังเนอะ ทำไมเขาถึงไม่มีพ่อแม่ เป็นเด็กกำพร้า แต่ทำไมเขาถึงเป็นคนดี เข้าถึงได้ดีถึงขนาดนี้  เราแค่พูดว่ามันน่าทำ ไม่ได้บอกว่ากูจะไปทำ คนสมัยนี้ถ้าทำเรื่องธรรมดาปกติคนไม่จำ ต้องเป็นอะไรที่พิสดารคนถึงจะจำ อย่างน้อยคนด่าก็ยังดีกว่าคนไม่คิดถึงเราเลย เราก็เฉยๆ ไม่ได้ใส่ใจอะไร แต่ถ้าด่าเราหรือหมิ่นประมาทเรามากๆ เราก็ฟ้อง ตอนนี้มีคดีอยู่ในศาลประมาณ 10 คดี ก็เป็นพวกที่ด่าเราเนี่ยแหละ แล้วก็พวกเพจที่ด่าเรา เราก็ฟ้องเลย ถ้ามันเข้าข่ายหมิ่นประมาท

 

Q : มีข้อกล่าวหาไหนที่ได้ฟังได้ยิน ปุ๊บ จี๊ดขึ้นมาทันทีจนต้องไปฟ้องทันที

พชร์ : ไม่มีๆ แต่ถ้ามันเกินไป ด่าพ่อล่อแม่เราเราก็ฟ้อง เพราะเราก็รักพ่อแม่เราใช่ไหม ด่าอะไรที่ไม่ได้เกี่ยวกับหนัง ด่าเรื่องส่วนตัว เราฟ้อง คือเราไม่เข้าใจว่า ทำไมไม่ดูสิ่งดีๆ ของเราบ้าง เรามาจากเด็กสลัมพระโขนง ซอยนานา บ้านจน เราถีบตัวเอง ทำงานสู้ชีวิต จากทำหนังสือจนกลายมาเป็นผู้กำกับ แล้วเราอยู่ได้ถึงทุกวันนี้ ทำไมเขาไม่ไปศึกษาตรงนั้น ทำไม พชร์ อานนท์ ไปคุยกับนายทุนโดยไม่มีบท ไม่มีอะไรเลย ไปปากเปล่า แต่ได้เงิน ทุกบริษัทเราเคยร่วมงานมาหมดแล้ว ไฟว์สตาร์ อาร์เอส สหมงคล พระนคร เมเจอร์ โมโน ทำมาหมดทุกบริษัทแล้ว ทำไมไม่คิดกันว่า เฮ้ย มันต้องมีอะไรดีของมันนะ มันถึงได้ทำใช่ไหม ทุกบริษัทถึงไว้ใจ  เสี่ยครับ เฮียครับ ผมอยากทำหนังแบบนี้ๆ  งบเท่าไร ไปทำมา เป็นแบบนี้ทุกบริษัท ไม่เคยเอาสมุดเอากระดาษเข้าไป เพราะทำไม่เป็น แต่ก็ถ่ายทอดออกมาเป็นคำพูดได้

 

Q : หรือเป็นเพราะว่าเขาหมั่นไส้หรือเปล่า เพราะว่าในยุคหนึ่ง คุณโตมาจากการทำนิตยสาร เธอกับฉัน ซึ่งตอนนั้นปั้นเด็กผู้ชายหล่อๆ หลายคน และมาพร้อมข้อครหาว่า พชร์ อานนท์ กินเด็กหรือเปล่า?

พชร์: ไม่หรอก ถ้าเรากินเด็ก เราไม่อยู่มาถึงป่านนี้นะ แล้วเธอดูเด็กเราแต่ละคน ไอ้มอส ไอ้เต๋า ไปกินมันได้เหรอ มันเตะเราตายเลยนะ เราไม่ชอบและไม่เคยคิดที่จะมีแฟนเป็นเด็กในสังกัดด้วย ไม่เคยมี เพราะว่ามันจะไม่เคารพกัน เด็กเราแต่ละคนจิ๊กโก๋จะตาย แอนดริวอย่างนี้ ไปกินมันสิ มันตบเอา มันไม่ใช่เกย์ไง เราคบกันแบบพี่น้อง มึงทำอะไร กูช่วยเหลือได้กูช่วย ถ้าเราทำแบบนี้เราไม่อยู่ถึงป่านนี้หรอก แล้วเด็กเราทุกคน ทุกวันนี้ยังอยู่ในวงการนะ เพราะว่าเขารับผิดชอบในหน้าที่ไม่ต้องมาคิดอิจฉาหมั่นไส้ว่าเราได้ผู้ชาย ไม่เลย อดเหมือนกัน พวกเธออดอย่างไร ฉันก็อดอย่างนั้นเหมือนกัน ไม่ค่อยมีผู้ชายตกถึงท้องเท่าไร ไม่กล้าด้วยแหละ เพราะว่าพอมันมีชื่อเสียงแล้วใช่ไหม เดี๋ยวโดนเม้าท์ ก็ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่

 

Q : ประสบการณ์กว่า 30 ปี ทั้งทำหนัง แล้วก็ปั้นเด็กมาด้วย เด็กสมัยนี้มันสอนยาก มีวิธีการจัดการอย่างไร

พชร์ : เด็กสมัยนี้เราไม่ค่อยยุ่ง เพราะตอนนี้ต่างคนก็ต่างปั้นกัน บริษัทนี้ก็ปั้น บริษัทโน้นก็ปั้น ตอนนี้มันเลยยั้วเยี้ยไปหมด ดาราเยอะไปหมด ไม่รู้ใครเป็นใคร เราไม่เอาดีกว่า ให้เขาปั้นกันไป จะหาคนมาเล่นหนังก็ไปแคสต์มาเล่น เล่นได้ก็มาเล่น เล่นไม่ได้ก็ปล่อยเขาไป อย่างรุ่น มอ 6/5 เราก็ช่วยเหลือกันได้ก็ช่วยกันไป เรียกมาเล่นหนังก็มา ไปอยู่ช่อง 7 บ้าง ไปอยู่ช่องโน้นบ้าง ช่องนี้บ้าง ก็ไป เราไม่ได้หวงอะไร แต่อย่าให้งานเสีย อย่าไปรับงานถ่ายโป๊โชว์จู๋ เราไม่สนับสนุน เราถึงเซ็นสัญญาไว้ ถ้าคุณทำอย่างนั้นปุ๊บ เราก็มีสิทธิ์ไล่คุณออก

 

Q : ทำไมพี่ถึงไม่สนับสนุนให้ถ่ายแบบเซ็กซี่ล่ะ โป๊กับเซ็กซี่นี่ไม่เหมือนกันนะ

พชร์ : ใครที่ถ่ายเซ็กซี่แล้วดังบ้างล่ะ ไม่มีเลยนะ

 

Q : นิกกี้พริ้มไง

พชร์ : นิกกี้มันเละไปแล้ว ไม่ดังแล้วนะ และนิกกี้นี่เป็นนักร้องมาก่อน เด็กผีไง ก่อนมาถ่ายโป๊ ตอนนี้ก็หายไปแล้วนะ เห็นไหม สังคมมันยังไม่ยอมรับ สมัยก่อนเราทำหนังเกย์ เห็นไหมล่ะว่าโดนด่าอยู่คนเดียว สนองตัณหาตัวเองบ้างละ สนองนี้ดบ้างละ จะดูตูดเด็กบ้างละ จะขออม....เด็กบ้างละ พอคนอื่นมาทำ ตอนนี้มีแต่หนังเกย์เต็มทีวีไปหมด ไม่เห็นมีใครโดนด่าสักคน แล้วอะไรคือความยุติธรรมสำหรับเรา เราเนี่ยถือว่าเป็นคนบุกเบิกหนังเกย์เรื่องแรกเลยนะ เพื่อน...กูรักมึงว่ะที่เป็นเกย์แบบหนักๆ เลยผู้ชายจูบกัน แล้วตอนนี้เป็นไงผู้ชายจูบกันเป็นเรื่องปกติ ก็งง พอกูจูบบ้างมึงก็ด่ากู แต่พอคนอื่นจูบกันมึงไม่เห็นไปด่าเขาเลย

 

Q : คุณอาจจะจูบเร็วไปนิดหนึ่งไง คงต้องกลับมาทำอีกรอบ

พชร์ : หนังเกย์มันเละไปหมดแล้ว ตอนนี้มันไม่มีคุณค่าแล้ว สังเกตไหมตอนนั้นมันมีคุณค่าเพราะมันทำได้กลมกล่อม ตอนนี้เดี๋ยวแต่งชุดนักเรียนมาเอากัน แต่งชุดนักเรียนมาจูบกัน มันเลยกลายเป็นเละ หนังเกย์ตอนนี้เละนะ ไม่ได้มีคุณค่ากับสังคมไทยเลย มันกลายเป็นหนังสแตนดาร์ดทั่วไปแล้ว

 

Q : เอ๊ะ แต่เหมือนใน  วัยเป้งนักเลงขาสั้น มีคู่หนึ่งใช่ไหมครับ น้องโอ๊ต

พชร์ : ใช่ โอ๊ตกับโต้ง คือเราก็ทำตามกระแสสังคมไง เด็กมัธยมผู้ชายเดี๋ยวนี้เขาเป็นแฟนกันแล้ว เราก็ทำตามกระแสสังคมไป แต่พอเราทำปุ๊บก็ด่าเรา แต่ตอนนี้ทำกันเต็มไปหมด ไม่เห็นมีใครโดนด่าเลย ผู้ชายจูบกันเป็นว่าเล่น เรารู้สึกว่า แล้วความยุติธรรมของกูอยู่ไหน แต่ถ้ามีโอกาสสักวันหนึ่งเราอาจจะทำหนังเกย์ที่มันมีคุณค่า ที่มันจับต้องได้นะ แต่ตอนนี้ถ้าคิดจะทำหนังเกย์ บอกเลยว่าอย่าทำ อย่างมะลิลาของนุชชี่ (อนุชา บุญยวรรธนะ) เราก็ไปดูนะ เหมาะสมกับหนังรางวัล เราชอบหนังสไตล์นี้ แต่พอเข้าฉาย คนให้การต้อนรับไหม ก็ไม่มีใครให้การต้อนรับมากขนาดนั้น เพราะหนังเกย์มันเยอะไปเข้าใจไหม เขาอาจจะให้การต้อนรับจากการไปได้รางวัลจากต่างประเทศมา แต่พอมาอยู่ในเมืองไทย พอฉายปุ๊บมีคนดูไหม มันก็ไม่มีคนดู ตอนทำ เพื่อน...กูรักมึงว่ะยังได้ 20 ล้านนะ นับว่าเก่งมากแล้ว ได้ฉายโรงใหญ่ด้วย แต่สมัยนี้มันสร้างกันเยอะไปไง สร้างกันง่ายไป หนังเกย์มันก็เลยด้อยลงไป แล้วยิ่งทีวีตอนนี้เกย์เพียบไปหมด

 

Q : คุณมองปรากฏการณ์นี้อย่างไร

พชร์ : มันเป็นกระแส สาววายเขาชอบกันอย่างนี้ เราว่าอีกหน่อยสักวันจะหมด แต่ถามว่าหมดหรือยัง ตอนนี้มันก็แผ่วๆ แล้วนะ นาน จะมีเรื่องที่ถูกใจสาววาย ส่วนใหญ่คนที่ดูหนังเกย์นี่ไม่ใช่เกย์นะ จะเป็นสาววายผู้หญิงเสียมากกว่า พวกดังๆ อยู่ตอนนี้ แฟนคลับเป็นผู้หญิงเสียมากกว่า พวกเกย์ไม่ตามนะ พวกเกย์พวกกะเทยจะไม่ใส่ใจนะ พวกเกย์พวกกะเทยรอดูหอแต๋วแตก เพราะว่าเขาอยากหัวเราะ

 

Q : วงการหนังจะโตไปได้มากกว่านี้ไหม เอาแบบตรงๆ เลย

พชร์ : มันโตไม่ได้หรอก เพราะว่าบ้านเราค่ายใครค่ายมัน ตัวใครตัวมันไง ถึงต่อหน้าจะทำเป็นช่วยเหลือกัน แต่จริงๆ ไม่ได้ช่วยหรอก ของเรานี่ไม่ขึ้นอยู่กับใคร ไม่เอาใครเลย เพราะว่าไม่ชอบไปยุ่ง ไม่ชอบไปสุงสิง สังเกตดู เราก็จะมีบริษัทของเราคนเดียวที่ไม่เกี่ยวกับใคร บ้านเรายังเป็นแบบตัวใครตัวมันอยู่ แล้วที่สำคัญคือทุกคนเก่งหมดเข้าใจไหม ไม่มีใครยอมใครไง

 

Q : มันเป็นธรรมชาติของคนไทยหรือเปล่า ที่ชอบคิดว่า กูเก่ง กูเจ๋ง

พชร์ : ฉันเก่งสุดไง ก็เลยรวมตัวกันลำบาก รวมตัวกันไม่ได้หรอก จะรวมตัวกันเอาหน้า ทำเป็น อุ๊ย สามัคคีกัน แต่จริงๆ ลับหลังไม่ใช่หรอก เราอยู่วงการนี้มานาน เรารู้ แล้วอย่างสมาคมผู้กำกับ เราก็ไม่ได้ยุ่ง สมาพันธ์ สุพรรณหงส์เราก็ไม่ยุ่ง ถอนตัว ไม่ประกวด ไม่ส่ง เพราะรู้สึกว่ามันไม่ใช่ ใครเป็นกรรมการ ก็คนในวงการ ผู้กำกับมาเป็นกรรมการกัน แล้วใครเป็นพวกใครก็ได้ เข้าใจไหม ใครที่ไม่เข้าพวกกับเขาก็ไม่ได้ไง เพราะฉะนั้นเราไม่เอาดีกว่า ทำหนังเอาเงินไป ไม่ได้สนใจรางวัล เพราะคิดว่า เงินซื้อข้าวกินได้นะ แต่รางวัลซื้อไม่ได้นะ ถือรางวัลสุพรรณหงส์ไปขอเขากินก๋วยเตี๋ยว เขาไม่ให้นะ เพราะเขาจะเอาเงิน ก็เลยทำหนังเอาเงิน ทำตอบโจทย์นายทุนดีกว่า

 

Q : 30 กว่าปี ในวงการที่ผ่านมา คุณได้เรียนรู้อะไรบ้างจากการ ตั้งแต่เป็นบรรณาธิการจนมาถึงผู้กำกับ

พชร์ : อุ๊ย 30 กว่าปีในวงการเลยเหรอ เราเริ่มทำงานตั้งแต่ . 2529 จนมาถึง 2561 เรารู้สึกว่า วงการนี้มันเป็นอะไรที่ ลืมตัวลืมตัวกันทุกคน ไม่มีใครไม่ลืมตัว พอดังแล้ว ลืมตัวลืมตัวกันทุกคน ไม่ใช่เฉพาะดารานะ พนักงานทีมโน้นทีมนี้ เมื่อก่อนเราเป็น .. หนังสือเธอกับฉัน ใครๆ ก็จะเข้ามาหา อย่างพวกบริษัทหนังตอนนั้นพวกนี้ยังเป็นเด็กกันอยู่ ยังเป็นคนทำงานธรรมดา มาขอความช่วยเหลือ เราก็ช่วยลงให้ โปรโมทให้ พอตอนนี้ตัวเองดังขึ้น ไม่รู้จักเราแล้ว อ๋อ...ไม่รู้จักกูก็ไม่รู้จัก เรารู้สึกว่า สังคมนี้มันเป็นอย่างนี้จริงๆ บางทีเรามีบุญคุณกับคนอย่างนี้ เราไปช่วยเขาจนได้ดี แต่เขาก็ไม่เคยหันมามอง มึงไม่รู้จักกูเลย แต่มันก็มีบางคนนะที่ยังเหมือนเดิม เราก็เลยกลายเป็นคนเห็นแก่ตัวไป ไม่คบใคร

 

Q : ส่วนหนึ่งที่ทำให้คนในวงการลืมตัว เป็นเพราะว่าโซเชียลมีเดียด้วยหรือเปล่า

พชร์ : ไม่ๆ ในยุคที่ไม่มีโซเชียลมีเดีย เขาก็ลืมตัวกันแล้วนะ แต่พอมามีโซเชียลมีเดีย ยิ่งไปกันใหญ่ มันเป็นแบบนี้จริงๆ ใครบอกว่าฉันอยู่วงการแล้วฉันไม่ลืมตัว ไม่มี ลืมตัวทุกคน กล้าพูดเลย เพราะว่าอยู่มา 30 ปี เจอมาหมดแล้ว ตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบ

 

Q : คุณคิดอย่างไรกับโซเชียลมีเดีย ที่มันทำให้การด่าใครต่อใครง่ายขึ้น

พชร์ : โซเชียลมีเดียสมัยนี้มันเกินไป บางทีอ่านไม่ถึงบรรทัด แต่ด่าเขาเสียๆ หายๆ เลย มันไม่เหมือนยุค 80-90 ใช่ไหม ยุคนั้นคนมีจิตใจที่สนุกสนานดีกว่านี้ ถึงจะด่ากันก็ลับหลัง ไม่ถึงขนาดต้องมาด่ากันในโทรศัพท์ อ่านข่าวก็ด่า บางคนถูกด่าจนฆ่าตัวตายไปเลย เราก็ต้องดูว่า ถ้าเรามัวมาเอาตัวเราไปใส่ไว้ในโซเชียลเนี่ย มันจะทำให้เราเครียด เราก็แค่ปล่อยผ่าน ปล่อยผ่าน ปล่อยผ่าน เพราะคนพวกนี้อ่านหนังสือไม่ถึงบรรทัดอยู่แล้ว อ่านนิดเดียวไปด่าเขาแล้ว อย่างกรณีล่าสุด ก็มีคนเขียนว่า สิตางศุ์ตาย ยิงตัวตาย ผูกคอตาย อีกคนก็เข้ามาอุ๊ยแสดงความเสียใจ มึงยังอ่านไม่จบเลยว่านี่มันข่าวปลอม สักวันพวกที่เขาด่าไว้มากๆ เจอกับตัวเอง เขาจะรู้เองว่ามันเป็นอย่างไร มีเพจหนึ่งด่าเรา ด่าแม่งทุกเรื่อง ด่าเป็น 10 ปี ตอนนี้เราฟ้องเขาอยู่ แล้วที่สำคัญคือเขาไปด่าหนังเรื่องหนึ่ง แต่เขาเจอคนเข้าไปถล่ม เขาก็รู้สึกว่าทำไมต้องมาด่าเขา อ้าวแล้วเวลามึงด่าคนอื่นล่ะ มึงไม่รู้สึกอะไรบ้างเหรอ นี่มึงโดนด่ามึงก็ต้องยอมรับสภาพ เพราะทุกวันมึงมาด่ากูเนี่ย กูไปทำอะไรให้มึง เข้าใจใช่ไหม พอมันโดนด่ามันก็รับไม่ได้ ก็เหมือนกันแหละ มึงก็รับไม่ได้ กูก็รับไม่ได้ที่มึงมาด่า เวรกรรมมันมีจริง เชื่อสิ ใครทำตัวเย่อหยิ่ง ใครที่โอ้โฮดังแล้วโก่งค่าตัว มีปัญหาเรื่องคิว เรื่องจ่ายเงิน สักวันหนึ่งมึงตกมาเมื่อไร กูจะนอนหัวเราะ เจอมาเยอะมาก ตอนมึงดัง เชิดใส่ทุกคน เมื่อไรมึงตก จะไม่มีใครเขาเอามึงเลย

 

Q : พชร์ อานนท์ ค่อนข้างจะเก็บตัวเงียบเชียบ ก็เลยทำให้ Public ไม่ค่อยรู้เรื่องราวความรักของพี่พชร์ ปัจจุบันนี้มีแฟนหรือยัง

พชร์ : ไม่มี โสด เคยมีแหละ อยู่กันแบบเงียบๆ  7-8 ปี แต่ไม่ใช่ดารานะ คนธรรมดานี่แหละ แล้วถึงเวลาเลิกมันก็เลิก พอโตขึ้นเราก็รู้ว่า ไม่มีหึง ไม่มีอะไรแล้ว มันหมดไปตามวัย จะไปนั่งหึงเด็ก มันไม่ใช่แล้วไง เรารู้ว่าเด็กที่มาอยู่กับเรา มาเป็นแฟนเราเนี่ย เขาคิดอะไร บางคนอยากเป็นดารา บางคนอยากทำนู่น บางคนอยากทำนี่ บางทีเราให้เขาไม่ได้ ก็เลิกกันไป เราถึงไม่กล้ารักเด็กๆ ไง เพราะเด็กๆ มันคงไม่มารักผู้ใหญ่หรอก มันคงไม่มารักอย่างเราหรอก เราก็เลยไม่คิดอะไรมาก ทำงานปกติ แล้วถ้าเจอถูกใจก็คุยด้วย แต่ไม่ถึงขนาดเป็นแฟนกัน เพราะว่ามันหมดยุคแล้ว หมดยุคที่เราจะต้องไปเที่ยวด้วยกัน ไปดูหนังด้วยกัน ไปเอาใจกัน หึงกัน มันไม่ใช่  มันหมดไปเอง เราก็เลยไม่ค่อยมีแฟน

 

Q : ในบรรดาซีรีส์หอแต๋วแตกทั้งหมด 5 ภาค ที่ผ่านมา ภาคไหนทำเงินสูงสุดครับ

พชร์ : ภาคเราถึงเอาภาค 2 มาใส่ในภาค 6 เยอะสุดไง เพราะว่าเรารู้สึกว่า ภาค 2 มันเป็นอะไรที่จับต้องได้ แล้วมันเป็นมุขอะไรที่เหมือนกัน ภาคนี้ก็เหมือนกัน

 

Q : แสดงว่า พี่ตั้งความหวังกับภาคสุดท้ายนี้ไว้เยอะพอสมควร

พชร์ : ก็ไม่ได้ตั้งความหวัง แต่ก็ทำเต็มที่ เพราะว่าไหนๆ มันก็เป็นภาคสุดท้ายแล้ว ก็ทำในสิ่งที่คนชอบ อะไรที่มันโดน อะไรที่มันเคยเห็นในหอแต๋วแตก มันก็จะมาอยู่ในภาคนี้ แพนเค้กก็ไปเกิดใหม่ ต้องไปดูว่าจะได้เกิดไหม

 

Q :  แล้วโปรเจ็กต์ในอนาคตหลังจากเรื่องนี้

พชร์ : อยากทำหนังที่เป็นชิ้นเป็นอัน ตอนนี้อยากทำมากที่สุดคือ กะเทยอีสาน กะเทยอีสาน 4 คน เข้ามาประกวดมิสทิฟฟานี่ สนุกสนานเฮฮา อยากทำหนังกะเทยพูดอีสาน หน้ากรามๆ โหนกใหญ่ๆ ตลกๆ ทุกคนพยายามถีบตัวเองเข้ามาประกวดมิสทิฟฟานี่ อันนี้อยากทำ ตั้งใจว่าเสร็จจากหอแต๋วแตกจะทำเรื่องนี้ เราว่าการทำหนังให้คนหัวเราะเนี่ยมันยาก ยากมาก ยากกว่าทำหนังให้คนร้องไห้ เราก็อยากกลับไปทำหนังให้คนร้องไห้ ให้คนประทับใจ อึ้งแล้วก็เดินออกจากโรงไป มันไม่มีหนังแบบนี้กับเรามา 10 กว่าปีแล้ว ตั้งแต่เพื่อน...กูรักมึงว่ะ ก็อยากกลับไปทำหนังอย่างนั้น ก็กำลังคุยกับนายทุนอยู่ แต่ไม่รู้ว่าบทสรุปจะต้องกลับมาที่หนังตลกอีกหรือเปล่านะ (หัวเราะ)

เรื่อง : TaDeep

ภาพ : รวินทร์