
คิดว่าเราจริงจังกับการแสดงช้าไปรึเปล่า
จะว่าช้าก็ได้นะ แต่เรียกว่าเรามีความเข้าใจต่อการแสดงมันเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ดีกว่า ตอนเริ่มต้นเราก็มีความเข้าใจการแสดงอย่างหนึ่ง เรียนรู้ไปได้ซักพักความเข้าใจก็เปลี่ยนไปมีช่วงที่ชอบงานของตัวเอง บางช่วงก็เกลียดงานตัวเอง ผ่านความผิดหวังมาประมาณหนึ่ง ทุกอย่างมันผสมผสานให้กลายเป็นตัวเราอย่างทุกวันนี้ที่มีความสุขกับการไปกอง อยากไปยืนหน้ากล้องทำงานของเราให้ดีที่สุด มีคำพูดของอาจารย์คนหนึ่งผมยังจำได้เลย “ถ้าเราซื่อสัตย์ต่อการแสดง ซักวันมันจะมีที่ให้เรายืนในฐานะนักแสดง” สุดท้ายพอผมรู้แล้วว่าแค่อยากแสดง มันสบายตัวขึ้นเยอะ คนเริ่มมองเห็นงานเรามากขึ้น จริงๆ ก็ไม่ช้าไปหรอก มันคือเวลาที่หล่อหลอมให้เป็นตัวผมมากกว่า
ระหว่างนั่งหน้าโต๊ะเขียนแบบกับหน้ากองถ่าย สถานที่ไหนที่เราอยู่ได้ทั้งวัน
มันส่งเสริมกันนะ อย่างช่วงเรียนเราอยู่กับงานสถาปัตย์เยอะๆ มันตันๆ ตื้อๆ ผมอยากเบรก ผมก็เลยกระโดดมางานแสดง สลับไปมาเหมือนตัวละครบอมเลย
มีไอดอลในการทำงานไหม
ไอดอลเรื่องงานสถาปัตย์มีเยอะมากเลยนะ เพราะเราต้องดูงานของหลายคน ถ้าตอบว่าเป็นใครไปซักคนมันคงจะไม่แฟร์ แต่ถ้าเป็นเรื่องแนวคิด ผมให้เป็นอาจารย์โจ้ อาจารย์ที่ปรึกษาทีสิสผมแล้วกัน ผมจองเป็นที่ปรึกษาตั้งแต่ตอนทำงานในสตูดิโอแล้ว เขาเป็นคนที่มองโลกแง่บวกมาก เข้าใจทุกอย่าง มองผ่านทุกมุมมอง เขาเป็นเหมือนโค้ชฟุตบอลที่พาเราวิ่งจนเราหมดแรงแต่เรายังอยากวิ่งกับเขาต่อ เราอยากเป็นลูกน้องคนแบบนี้
ทีสิสจบทำเกี่ยวกับเรื่องอะไร
โรงหนังครับ ผมอยากเอาสิ่งที่เรียนกับสิ่งที่ชอบมารวมกัน ผมก็เอาทฤษฎีของหนังอย่างเรื่อง Framing เรื่ององศากล้อง แล้วนำมาจัดวางในพื้นที่สถาปัตย์ เปลี่ยนให้เป็นพิพิธภัณฑ์ความรู้ของภาพยนตร์ ค่อยๆ เล่าเรื่อง แบบ One Way Flight
ที่เราดูทีเดียวจนจบ ถ้าพลาดตรงไหนต้องกลับมาดูใหม่ ให้ความรู้สึกของการเดินพิพิธภัณฑ์แบบการดูหนัง
ชอบดูหนังแนวไหน
ชอบทุกแนวยกเว้นหนังผี แต่ชอบดูคนเดียวนะ เราอยากโฟกัสกับหนัง แต่ถ้าชวนใครไปดูด้วยแล้วเขาเล่นมือถือนี่ผมจะหงุดหงิดมาก
ชอบเฟซบุ๊กหรืออินสตาแกรม
อินสตาแกรมไม่ค่อยวุ่นวาย ปิดคอมเมนต์ (หัวเราะ) ไม่ใช่อะไรนะ ผมว่ารูปมันสวยกว่าไง บางทีผมอยากเท่ๆ ลงรูปหล่อๆ แล้วมีคอมเมนต์ “ทำไรอะ” เดี๋ยวดิ ไม่ใช่ในนี้ดิมึง จากเพื่อนทั้งนั้น รูปสวยๆ ตั้งใจลงเต็มที่ เพื่อนคอมเมนต์ “ไข่ตั้ง”
มองเห็นอะไรจากการผ่านชีวิตมาจนถึงทุกวันนี้
ตอนเด็กๆ เราจะมีเป้าหมายที่ใหญ่มาก แต่พอเราโตขึ้นมาเป้าหมายเราเล็กลง แต่มากขึ้น ไหนจะผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เรื่องที่บ้าน เรื่องส่วนตัว เป้าหมายเล็กลงแต่ชัดเจนมากขึ้น และมันชัดเจนมากว่าเราต้องการอะไร รู้ว่าเราต้องทำอะไรเพื่อให้ได้อะไรมา เข้าใจชีวิตว่ามันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ผมว่าผมซื่อสัตย์กับตัวเองมากขึ้น เช่นผมเป็นคนที่ไม่ชอบเอาตัวเองไปติดกับใคร อยู่คนเดียวได้ดีประมาณหนึ่ง แต่เมื่อก่อนเราเป็นคนไม่กล้าปฏิเสธคน ก็จะโดนลากไปนู่นไปนี่ เจอคนนู้นคนนี้ ทั้งที่จริงๆ เราแค่อยากนอนอยู่บ้าน แต่ตอนนี้ผมกล้าที่จะบอกว่าไม่ไปนะ อยากอยู่บ้าน กล้าที่จะบอกความต้องการของเราจริงๆ ผมคิดว่าผมเข้าใจคนรอบๆ ตัวมากขึ้น เราหาความสุขกับชีวิตง่ายขึ้น กลับบ้านไปตอนกลางคืน กินข้าว ดูยูทูบ เดือนไหนช่วงปลายเดือนมีเงินเหลือก็ไปกินข้าวร้านดีๆ หน่อย มองโลกเป็นความเฉยๆ ไม่ขาวไม่ดำ ไม่ตัดสินใคร รู้สึกชอบตัวเองมากขึ้น
มองเห็นอะไรในอนาคตของการทำงานอีก
คือตอนนี้ผมสารภาพเลยว่าถ้าใครมาเรียกว่าสถาปนิกผมยังรู้สึกกระดากใจมากนะ คนบางคนจบต่างประเทศมา ทำงานบริษัทใหญ่ๆ เขายังไม่กล้าเรียกตัวเองว่าสถาปนิกเลย มันต้องผ่านประสบการณ์และอะไรมาเยอะมาก คงเพราะเราเรียนวิชาชีพนี้มาด้วยเลยเซ็นซิทีฟกับเรื่องพวกนี้ กับเรื่องการแสดงเราก็ยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าเราเป็นนักแสดง ถ้ามองในอนาคตการทำงาน ผมก็อยากเรียกตัวเองให้เต็มปากว่าเราเป็นอะไรกันแน่ จะได้กรอกในพาสปอร์ตได้ซักอย่าง (หัวเราะ)