เพราะการเป็นศิลปินคือสิ่งที่ ‘เติร์ด-ลภัส งามเชวง’ ใฝ่ฝันมาตั้งแต่เด็กๆ และหลายคนคงเคยรู้จักเขาในฐานะ ‘เติร์ด Kamikaze’ มาก่อน ด้วยผลงานเพลงและภาพบนจอทีวีที่แสดงให้เห็นถึงความน่ารักสดใสของหนุ่มน้อยคนนี้ วันนี้เขากำลังจะกลายมาเป็นศิลปินสุดฮอตแถวหน้าของเมืองไทย ไม่ใช่แค่ร่างกายที่โตขึ้น แต่แง่มุมการทำงานของเติร์ดก็เปลี่ยนไป แพสชั่นการเป็นศิลปินถูกถ่ายทอดออกมาผ่านสายตาเวลาพูดคุยทำให้เรารู้ว่าเด็กคนนี้ไฟแรงจริงๆ

ผลงานที่ผ่านมาของเติร์ดคืออะไร
ผมเคยเป็นศิลปินของ Kamikaze ครับ ผมเริ่มทำงานตั้งแต่ผมอายุ 7 ปี พี่สาวส่งไปโมเดลลิ่ง ได้ถ่ายโฆษณามาเรื่อยๆ พอถึงอายุ 12 ปีเราได้ร่วมงานชิ้นหนึ่งกับศิลปินในค่าย Kamikaze แล้วก็มีทีมงานคนหนึ่งเขาเห็นเราเลยเรียกเราไปออดิชั่น แต่ว่าตอนนั้นยังร้องเพลง เต้น ไม่เป็นเลย เขาก็เลยเอาเราไปเทรน
การทำงานตั้งแต่เด็กทำให้เราสูญเสียวัยเด็กไปไหม
จริงๆ ผมไม่รู้สึกว่าผมสูญเสียนะ เพราะว่ามันก็เป็นความสุขของผม ที่ไม่รู้สึกสูญเสียอาจเพราะเราไม่เคยมีด้วยรึเปล่า ไม่รู้นะ แต่ก็รู้สึกแฮปปี้ดีกับสิ่งที่ทำ
พอได้เข้ามาเป็นสมาชิกโปรเจ็กต์ 9x9 แล้วรู้สึกอย่างไรบ้าง
จริงๆ การเป็นศิลปินมันคือความฝันของผมตั้งแต่เด็ก พอเราได้ทำก็เหมือนว่าเราได้เติมเต็มความฝันของเรา แต่มันก็ยังไม่ถึงเส้นที่เราหวังไว้ ความฝันของผมคือเราอยากยืนบนเวทีอิมแพ็คอารีน่า ซึ่งพอเราได้ยินว่า 9x9 เป็นโปรเจ็กต์ที่ยิ่งใหญ่ มันเหมือนมันจุดไฟในตัวผมอีกครั้งหลังจากที่เราพักจากงานมาเรียน มาใช้ชีวิตปกติแบบวัยรุ่นทั่วไป เรากลับมามีไฟอีกครั้งว่าเราอยากไปทางนี้ให้สุดเลย
แสดงว่าไฟแรงมากกับโปรเจ็กต์นี้
ใช่ เราอยู่ในจุดที่ทุกครั้งที่มีการอัพเดตผลงานหรืออัพเดตแพลนงานจากพี่ๆ ทีมงานเหมือนไฟเราก็ยิ่งจะลุกขึ้นไปใหญ่ ยิ่งพอเราซ้อมมาเกือบปีซึ่งเป็นเวลาที่นานพอสมควร ในช่วงเวลานี้ก็อาจจะมีเหนื่อยบ้าง ท้อบ้างว่าเมื่อไหร่เราจะได้เอาสิ่งที่เราฝึกซ้อมไปโชว์ให้คนดูสักที พอมันใกล้มาเรื่อยๆ ก็ยิ่งตื่นเต้นครับ
เคยมีจุดเหนื่อยและท้อไหม
มีจุดที่เหนื่อยนะ แต่ไม่เคยมีจุดที่เราไม่ไหว เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่เราอยากทำมาตลอด มันอาจจะมีเหนื่อยบ้าง แต่พอเราเหนื่อยเราท้อ เพื่อนๆ พี่ๆ ก็จะคอยให้กำลังใจซึ่งกันและกันทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเวลาประเมินผลแล้วเราไม่ได้ผลตามที่เราต้องการ ทุกคนก็จะเข้ามาให้คำแนะนำให้เราพัฒนาไปมากกว่านั้น เหมือนทุกคนช่วยพยุงกันคอยดึงกันขึ้นมา

ในละคร เลือดข้นคนจาง เติร์ดรับบทเป็นใคร
รับบทเป็นเต๋าครับ ซึ่งคาแร็กเตอร์ของเต๋าจะเป็นคนที่บริหารเสน่ห์หน่อยๆ ด้วยความที่เต๋าเป็นดารา ศิลปินในเรื่อง ก็จะมีการวางตัวเป็น วางตัวเป็น อ้อนเก่ง แต่พอมีเหตุการณ์ฆาตกรรมในครอบครัวเกิดขึ้น สังคมก็เลยยิ่งเพ่งเล็งมาที่ครอบครัวเรา เพราะครอบครัวเราค่อนข้างมีฐานะในสังคม ก็เลยกลายเป็นประเด็นในส่วนนั้น
ตัวละคร ‘เต๋า’ คล้ายกับ ‘เติร์ด’ ยังไง
จริงๆ ตัวเต๋าค่อนข้างจะคล้ายกับตัวผมเลยนะ เพราะว่าด้วยความที่เราเป็นศิลปิน นักแสดง มันมีเคมีหลายๆ อย่างที่ผมกับเต๋ามีเหมือนกัน คือการวางตัวบ้าง นิสัยส่วนตัวบ้าง ทีมเขียนบทเขาก็คุยกันว่าเป็นเรื่องแรกของเราก็อยากให้คาแร็กเตอร์มันคล้ายกับเรามากที่สุด เขาอยากจะเก็บความใหม่ในการแสดงนี้ไว้
กดดันไหมที่ต้องไปแสดงกับนักแสดงรุ่นใหญ่
กดดันมากครับ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดงรุ่นใหญ่หรือพี่ๆ ที่เขาเคยแสดงมาแล้วทุกคนมีประสบการณ์มากกว่าเราหมดเลย เราเป็นมือใหม่ก็เครียดและกดดันมาก ขอคำแนะนำจากพี่ๆ ตลอด
ใครเป็นคนให้คำแนะนำเรื่องการแสดงกับเติร์ดบ้าง
คนที่ผมถามบ่อยสุดจะเป็นพี่ต่อครับ เพราะเราเจอกันบ่อยสุด ผมกับพี่ต่อแสดงเป็นพี่น้องกันก็จะเจอพี่ต่อเกือบทุกวันที่ไปถ่าย เราก็จะถามเขาแบบเฮ้ย พี่ทำยังไงดี ผมร้องไห้ไม่ได้ พี่ต่อก็บอกว่ามึงอย่าเพิ่งเค้น อย่าเพิ่งบิวต์ตอนนี้ เดี๋ยวไปเล่นหน้าซีนเดี๋ยวก็มาเอง เขาก็จะคอยแนะนำตลอด หรือแม้แต่อาต้อม (พลวัฒน์ มนูประเสริฐ) ที่แสดงเป็นคุณพ่อผม เขาก็จะแนะนำให้เราซื้อหนังสือนิยายมาอ่าน ให้ภาพจินตนาการในหัวแข็งแรงขึ้น
คิดว่าทักษะการแสดงเราพัฒนาขึ้นไหม
จริงๆ ถามว่าพัฒนามั้ย ผมว่าพัฒนานะ เรียกได้ว่ามาจากศูนย์เลยก็ได้ แต่ถ้าถามว่าแค่นี้พอมั้ยผมก็ว่ามันยังไม่พอ ผมว่ามันไปได้มากกว่านี้อีก
ได้ข่าวว่าเติร์ดเป็นคนรักษาหุ่นมาก
ผมเป็นคนที่ชอบส่องกระจกมาก เวลาที่หุ่นเราเริ่มไม่ดี เราจะรู้สึกแย่กับตัวเอง แล้วถ้ารู้สึกแย่ความรู้สึกนั้นมันจะอยู่นานมาก อยู่ทั้งวัน ทุกวัน จนกว่าเราจะได้ไปเข้าฟิตเนสเราถึงจะรู้สึกดีขึ้น ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมรู้สึกแย่กับตัวเองมากเพราะผมไม่มีเวลาเข้าฟิตเนสเลย ก็ต้องดูแลตัวเอง กินอาหารให้ตรงเวลา ไม่กินอะไรที่มีไขมันเยอะ ไม่กินของหวาน

รู้สึกยังไงที่คนยังติดภาพเราเป็นเด็กอยู่
ชอบนะ แต่พอตอนนี้เราโตแล้ว เราก็อยากให้คนอื่นเห็นมุมใหม่ๆ ในตัวเราบ้าง ไม่อยากให้เห็นแค่มุมเก่าๆ ที่เป็นมาตลอด อยากให้เขาติดตามดูว่าผมจะเปลี่ยนไปยังไง
อยากให้คนเห็นเติร์ดในมุมไหนที่สุด
น่าจะเป็นมุมจริงจังมั้งครับ เพราะสมัยก่อนผมเป็นคนขี้เล่น ดูเล่นๆ ทุกอย่างดูสบายๆ ตามสไตล์เด็กๆ ไม่ซีเรียส ก็อยากให้เขาเห็นอีกมุมหนึ่งของเราบ้าง คือผมเป็นคนที่ค่อนข้างใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการทำงานเราก็ไปสุด เล่นเราก็ไปให้สุด เพียงแต่ว่าเวลาทำงานก็ต้องทำงาน แต่พอเรามีเวลาว่างเราก็พยายามทำให้เวลาว่างของเรามีความหมายมากที่สุด อาจจะไปเข้าฟิตเนส อยู่กับครอบครัว หรือไปเจอเพื่อนๆ ที่เราไม่ค่อยได้เจอ
นอกเหนือจากการเป็นศิลปินเติร์ดอยากทำอะไรอีก
ภาพในหัวผมชัดมากว่าผมอยากเป็นศิลปิน แต่ถ้าเราหมดวัยทำงาน เราก็อยากจะใช้ชีวิตกับครอบครัว เพราะว่าตอนผมเด็กผมก็เริ่มทำงานแล้ว ผมไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวเท่าไหร่ เหมือนถ้ามันถึงจุดหนึ่งของชีวิตเราก็อยากจะอยู่กับครอบครัวมากๆ