Me, Myself and the Pool - เคน ธีรเดช

24.09.18 758 views

แม้จะไม่ถึงกับหายหน้าหายตาไปไหน แฟนละครยังได้ชมบทบาทการแสดงของเคน-ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ ในละครหลายต่อหลายเรื่องบนหน้าจอโทรทัศน์อยู่เนืองๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราต่างก็คิดถึงรัศมีของความหล่อทะลุแป้งแบบที่เขาเคยฝากเอาไว้ในภาพยนตร์เรื่อง ‘รถไฟฟ้ามาหานะเธอ’ มากกว่า และเพราะเคน ธีรเดช ไม่ได้ปรากฏตัวบนจอเงินมานานเกือบ 10 ปี การกลับมาฉายเดี่ยวในภาพยนตร์ทริลเลอร์สัญชาติไทยอย่าง ‘The Pool นรก 6 เมตร’ จึงน่าสนใจเป็นพิเศษ ยิ่งมีชื่อของผู้กำกับอย่างพิง ลำพระเพลิง ประทับอยู่ด้วย ยิ่งควรค่าแก่การจับตามองถึงทิศทางของภาพยนตร์ลำดับที่ 3 จากค่าย TMoment เรื่องนี้


แต่มากไปกว่าบทบาทโดดเด่นทะลุจอครั้งใหม่ สิ่งที่เราสัมผัสได้จากการพูดคุยกับธีรเดชในวัยที่เขาเปลี่ยนสถานะจากหนุ่มโสดเป็นคุณพ่อลูกสอง เราพบว่าจากเดิมที่เขาเคยเป็นนักแสดงมาดนิ่ง ขรึม พูดน้อยและยิ้มยาก เคนในวัยขึ้นเลข 4 กลับเคล้าบทสนทนาให้กลมกล่อมยิ่งขึ้น ด้วยเสียงหัวเราะอันดังและสดใสแทรกอยู่ไม่ขาด และคำตอบของบุคลิกที่คลี่คลาย เข้าถึงง่าย และเปี่ยมเสน่ห์ยิ่งขึ้นไปกว่าเดิมที่แฝงอยู่ในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้อย่างครบถ้วน เมื่อการทำงาน การได้ออกเดินทางสม่ำเสมอ และการสร้างครอบครัวอันอบอุ่นคือสมการชีวิตที่ลงตัวของพระเอกคนนี้


อะไรทำให้คุณอยากแสดงภาพยนตร์เรื่อง The Pool นรก 6 เมตร

ตอนแรกที่ผู้จัดการส่วนตัวบอกผมว่าพี่พิง (พิง ลำพระเพลิง) โทรมาชวนให้ผมไปเล่นหนังด้วย ผมก็ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก เพราะส่วนใหญ่เวลามีคนติดต่อเข้ามามักมีแต่หนังแนวโรแมนติกคอเมดี้ แต่พอเขาบอกว่าให้เล่นเป็นคนที่ติดอยู่ในสระว่ายน้ำแล้วหาทางออกไม่ได้ ผมฟังแล้วก็เฮ้ย จริงเหรอ มันคืออะไร ได้ยินแค่นั้นก็อยากรู้เรื่องราวต่อแล้ว ผมเลยบอกพี่พิงว่าส่งบทมาให้ผมอ่านเลยก็ได้ แต่แกไม่ยอม แกบอกว่าพี่ขอขายก่อน แล้วก็เล่าเรื่องราวต่างๆ ในหนังให้ผมฟัง ซึ่งจริงๆ ผมรับเล่นแต่แรกแล้วแหละ เพราะผมชอบในไอเดียและเป็นโอกาสที่ดี ปกติแล้วมีหนังไทยน้อยมากที่จะพูดเรื่องเกี่ยวกับการเอาตัวรอดของคน และเรื่องทั้งหมดเกิดในสระว่ายน้ำโลเคชั่นเดียว ไม่มีการย้ายไปไหนเลย ฉะนั้นมันมีความน่าสนใจหลายอย่าง เราต้องเล่นคนเดียวทั้งเรื่อง เล่นกับอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นแล้วเป็นตัวเราคนเดียว มันท้าทาย นี่แหละสิ่งที่เราอยากทำ


คุณรอบทแบบนี้มานาน แปลว่าระหว่างนั้นก็ต้องคิดถึงการกลับมาแสดงภาพยนตร์มาโดยตลอด

คิดจนไม่ได้คิดแล้ว ส่วนใหญ่พอมีบทมาเสนอก็แนวใกล้เคียงแบบเดิม อย่างที่บอกว่าพอพี่พิงติดต่อมาตอนแรกเลยไม่ได้สนใจมาก แต่พอมีคนกล้าทำหนังแนวนี้ ซึ่งทำหนังแนวนี้ยังไม่เท่าไร แต่เขาอยากให้เราเล่นด้วย (หัวเราะ) ดีใจ ตื่นเต้นมาก เอาบทมาก็อ่านคืนเดียวจบเลย คิดว่าเราน่าจะได้เปลี่ยนแปลงตัวเอง มีอะไรที่ท้าทายหลายอย่าง พี่พิงบอกว่าถ้าต้องเล่นจริงๆ พี่ขอให้เคนฟิตและเฟิร์มหน่อยได้ไหม ซึ่งเขาติดต่อผมมาช่วงปลายเดือนมีนาฯ และจะเริ่มถ่ายเดือนพฤษภาฯ ซึ่งพี่ครับ…ผมกำลังจะไปเที่ยวญี่ปุ่น 2 อาทิตย์ (หัวเราะ)

 

ที่เขาขอคือต้องเฟิร์มแค่ไหน

เห็นตัวพี่พิงไหม เขาจะชอบผู้ชายรูปร่างแบบนั้นแหละ เฟิร์มแบบลีนๆ แห้งๆ บวกกับตัวละครเรื่องนี้มีโรคประจำตัวคือเบาหวาน พอมาติดอยู่ในสระว่ายน้ำอีก 6 วัน ซึ่งไม่ได้กินอะไรเลย ดังนั้นพอจะจบเรื่องก็ต้องผอมลงไปอีก ฉะนั้นขอแบบลีนๆ ไว้ก่อนแล้วกัน แล้วค่อยปล่อยให้ซูบลงไปอีก แกก็ฝากฝังการบ้านไว้เพียบเลย เช่น ตอนอยู่ญี่ปุ่น เคนลองไม่โกนหนวดเลยได้ไหม แล้วถ่ายรูปมาให้พี่ดูตั้งแต่วันที่ 1 วันที่ 2 วันที่ 3 ไปจนถึงวันที่ 10 วัน อยากรู้ว่าถ้าเคนไว้หนวด 10 วันจะเป็นยังไง ตื่นเช้ามาผมก็ต้องมอร์นิ่งกับพี่พิงทุกเช้าเหมือนเป็นแฟนกัน พี่พิงครับ อันนี้หน้ากับหนวดผมวันที่ 1, 2, 3…  


มีการบ้านอะไรอีก

แกก็จะพยายามย้ำว่าเคน งานหนักมากนะ พี่ให้เคนฟิตเพราะมันมีเงื่อนไขว่าเราไปถ่ายทำที่สระว่ายน้ำจริง ซึ่งไม่ได้ร้าง ดังนั้นเราจึงต้องถ่ายตั้งแต่ตอนที่น้ำเต็มสระว่ายน้ำ แล้วค่อยๆ ลดลงไปเรื่อยๆ จนน้ำแห้ง เพราะฉะนั้นไม่สามารถเอาน้ำกลับมาได้แล้ว น้ำแห้งแล้วก็ต้องถ่ายจนเลิก มีเวลา 1 เดือนในการถ่ายทำ ฉะนั้น เราอาจจะทำงานกันแบบโหดมาก ผมจึงเทคิวให้แกเลย พอแกส่งเบรกดาวน์มาให้ดูว่ามีถ่ายวันจันทร์ พุธ ศุกร์ เฮ้ย ดีจัง ทำไมมีหยุดวันนึงตรงกลางตลอดเลย พอมาถ่ายทำจริงๆ ถึงรู้ว่าเพราะมันเหนื่อยมาก บางวันถ่ายเช้าถึงเช้าอีกวัน ซึ่งแกไม่ได้ห่วงผมหรอก เพราะทีมงานเองก็ไม่ไหว ไม่มีใครไหว

 

แล้วตัวบทมีความยากง่ายยังไงบ้าง 

เป็นเรื่องที่เราได้เอาภาคจินตนาการมาใช้เยอะ เพราะปกติละครหรือหนังทั่วไปจะมีคนเล่นคู่กับเรา แต่เรื่องนี้ผมเล่นคนเดียวเยอะ ใช้จินตนาการเยอะว่าผมเห็น
สิ่งนั้นสิ่งนี้ สิ่งนี้มีอยู่จริง ทั้งที่ไม่มีอะไรจริงเลย นอกจากสระว่ายน้ำที่น้ำหมด ที่เหลือก็จะมีตัวแปรในเรื่องที่เข้ามาทำให้ผมต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เวลาเล่นจึงเป็นจินตนาการล้วนๆ (หัวเราะ) ซึ่งดี สนุกมาก เหมือนผมได้กลับไปเป็นเด็ก จินตนาการไปเองว่าเราอยู่ในป่า เราติดเกาะ ซึ่งก็มันมาก


ต้องมีใครมาโค้ชการแสดงให้เป็นพิเศษไหม

ไม่มี คุยกับพี่พิงนี่แหละครับ เขาให้ผมเล่นลองเทกเยอะเหมือนกัน ทั้งต้องปีนป่าย ตกน้ำ แล้วพี่พิงก็จะถามว่าเคนเหนื่อยไหมครับ ได้อยู่พี่ ดังนั้นจากที่ตอนแรกจะถ่ายจากบทแค่หน้าเดียว พี่เล่นถ่ายยาวไป 5 หน้าเลย เพราะเคนไม่เหนื่อย เคนก็ว่ายน้ำไปฝั่งโน้น ว่ายน้ำกลับมา แล้วก็ดำน้ำลงไป (หัวเราะ) ก็ต้องขอบคุณทั้งพี่พิงและขอบคุณตัวเองด้วยที่เขาพยายามย้ำเตือนกับผมว่าสุดท้ายแล้วการที่เราฟิตและเฟิร์มมาก่อน ทำให้เราพร้อมกับการทำงานครั้งนี้จริงๆ เราสามารถอยู่กลางแดดเปรี้ยงๆ ในสระว่ายน้ำได้ทั้งวัน ว่ายน้ำทั้งวันตั้งแต่เช้าจนถึงกลางคืนได้ ผมว่านี่เป็นการทำงานที่น่าจะท้าทายที่สุดแล้ว ทุกอย่างบีบคั้นมาก


ถ้าพูดชื่อพิง ลำพระเพลิง ตอนแรกสุดเลยคุณนึกถึงอะไร พอได้ร่วมงานกันแล้วเป็นอย่างไร

นึกถึงผู้ชายที่มีความตลก แต่ในขณะเดียวกันก็มีความดราม่าเยอะ ดูจากหนังที่แกนำเสนอ พอเจอกัน แกก็เป็นคนอย่างนั้นจริงๆ พี่พิงเป็นคนที่นำสิ่งที่ตัวเองรู้สึกหรือเคยประสบเข้ามาใส่ในหนังเยอะ แกจึงเข้าใจตัวละครค่อนข้างดี และอธิบายนักแสดงได้เคลียร์มาก 


แปลว่าในหนังเรื่องนี้ก็จะมีความเป็นพิง ลำพระเพลิง อยู่เยอะเหมือนกัน

(หัวเราะ) คือถ้าผมไม่เล่น และไม่มีใครเล่น แกคงเล่นเอง แต่ขอโทษครับ ผมเล่น พี่เลยหมดโอกาสเล่นเอง


เคยถามไหมว่าทำไมเขาถึงเลือกคุณ

ไม่เคยถาม อาจจะอยากลอง เพราะแปลกดีมั้ง เออ นั่นสิ ส่วนใหญ่เขาจะเล่นหนังตัวเองใช่ไหม แล้วก็มีนักแสดงมาสมทบ ส่วนครั้งนี้เขาคงมองว่าตัวละครตัวนี้มันไม่ใช่ผมเลย มันเป็นเด็กพร็อพที่ทำงานในกองถ่ายหนังโฆษณา แล้วยิ่งด้วยวัยของตัวละคร ผมก็ถามเขานะว่าผมแก่เกินไปรึเปล่า เขาก็บอกว่าเรื่องความแก่คือประเด็นสำคัญอย่างหนึ่งเพื่อสื่อให้เห็นว่าผู้ชายคนนี้ไม่ก้าวหน้าในชีวิต อายุเยอะแล้ว แต่ยังเป็นแค่คนหาอุปกรณ์ประกอบฉากจึงกลายเป็นปมนึงของตัวละครตัวนี้ จบเรื่องวัยไป แล้วลุคผมล่ะพี่ แกก็บอกว่านี่แหละ ทั้งหมดนี้คือความท้าทายแกอยากให้ผมเปลี่ยนภาพจากสิ่งที่คนเคยเห็นเราหรือคนเคยคาดหวังจากเรา ผมว่านี่คือสิ่งที่พี่พิงต้องการมั้ง


งานที่ท้าทายแบบนี้มาถึงมือเราตอนอายุเท่านี้ รู้สึกว่าลงตัวไหม เติมเต็มสิ่งที่คุณขาดไปรึเปล่า

ลงตัวนะ ใช่ เพราะยิ่งเราโตขึ้น แต่งงาน มีลูก ชีวิตผ่านอะไรมามากขึ้น เรารู้จักความอดทน การเสียสละ ชีวิตมีเรื่องดราม่าเยอะขึ้น จึงพร้อมที่จะแสดงอารมณ์ต่างๆ ออกมาด้วยความเข้าใจมากขึ้น และโดยเนื้องานทั่วไปอาจจะไม่ได้มีพื้นที่ให้เราเท่าไร พอมีพื้นที่ให้ผมได้ปลดปล่อยของในตัวออกมา มันก็ดี 


แปลว่ายังมีของที่อยากปล่อยอยู่ 

ผมว่านักแสดงทุกคนแหละ ยิ่งเราแสดงเยอะขึ้น โตขึ้น ชีวิตผ่านอะไรมามากขึ้น เวลาผมมองนักแสดงที่โตกว่า เออ ประสบการณ์มันต้องสั่งสมจริงๆ บางเรื่องสามารถสอนได้ เรียนรู้ได้ แต่บางอย่างต้องใช้วุฒิภาวะหรืออะไรที่มากกว่านั้น ฉะนั้นการที่วัยเราโตขึ้นทำให้เรามองเห็นอะไรได้มากขึ้น เข้าใจอะไรได้มากขึ้น 


คุณเคยย้อนกลับไปมองตัวเองในอดีตไหม ตอนเป็นพระเอกยอดนิยมหลายปีซ้อน ชีวิตตอนนั้นเป็นยังไงบ้าง

แน่นอนเราแฮปปี้ด้วย แต่พอถึงช่วงที่ผมมีลูก ผมเริ่มรู้สึกว่าตัวเองอยากหยุด ผมบอกทุกคนว่าขอเวลาหยุดปีนึงได้ไหม ผมอยากเลี้ยงลูก อยากอยู่กับลูก แต่ความจริงแล้วมันเป็นไปไม่ได้ ทุกคนก็จะบอกว่าหยุดทำไม เรากำลังมีชื่อเสียง กำลังดัง ก็เลยทำให้ผมรู้สึกท้อแท้ สับสนเหมือนกันว่าเราทำงานมาตั้งเยอะแล้ว แต่พอวันนี้ที่เราอยากพัก อยากทำในสิ่งนี้บ้าง กลายเป็นว่าเราไม่ได้เลือกในสิ่งที่เราอยากทำ แต่สุดท้ายแล้วผมก็ผ่านมันมาได้ สามารถบาลานซ์งานกับครอบครัวได้ อะไรที่มากเกินไปเราก็ดึงกลับมา จนตอนนี้ผมมาถึงจุดที่แฮปปี้แล้ว ผมมีสิทธิที่จะเลือกในสิ่งที่ตัวเองอยากทำมากขึ้น 


สิ่งที่อยากทำมีอะไรบ้าง

งานละครนี่แหละ สมัยก่อนเราอาจจะเลือกไม่ได้มากนัก อย่างตอนนี้ปีนึงผมเล่นละครเรื่องเดียว แค่นั้น (หัวเราะ) ถ้าเกิดมีหนังอย่าง The Pool มาเสนอ ถ้าสนใจเราก็จะเล่น 


ซึ่งก็ทิ้งช่วงนานมากกว่าจะรับเล่นภาพยนตร์สักเรื่อง

ไม่แน่ ต่อไปอาจจะเริ่มมีมากขึ้นรึเปล่า ผมไม่รู้ แต่ผมรู้สึกโอเคแล้วที่มันเป็นแบบนี้ คือผมเป็นพ่อที่อยู่กับลูกเยอะ ซึ่งจริงๆ ก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้นหรอก แต่ผมเลือกที่จะใช้เวลาอยู่กับลูกจริงๆ


คุณอยากเป็นพ่อมาแต่ไหนแต่ไรเลยรึเปล่า

(ตอบทันที) เปล่าครับ ไม่ได้อยากเป็นครับ ไม่เคยคิดเลยครับ แต่งงานก็ไม่ได้อยากมีลูก แค่อยากไปเที่ยวด้วยกัน แต่ว่ามีลูก! (หัวเราะ) คือไม่ได้แพลนมาก่อน แต่พอมี เราก็ดีลกับการมีลูกมากกว่า ซึ่งผู้ชายกับผู้หญิงไม่เหมือนกัน ตอนที่เด็กอยู่ในท้อง ผมก็ยังไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่สำหรับคนเป็นแม่เขาผูกพันตั้งแต่ตอนอุ้มท้องจนลูกคลอดออกมา ส่วนผมต้องมาทำความรู้จักกับลูกตอนที่ลูกออกมาแล้ว นี่คือลูกเรา เราต้องการเรียนรู้ที่จะเป็นพ่อ แม้จะไม่ได้ใฝ่ฝันว่าอยากเป็นพ่อ แต่เมื่อเป็นแล้ว เราก็อยากทำให้ดี


มิน่าในขวบปีแรกคุณถึงอยากอยู่กับลูกให้เต็มที่

ใช่ ซึ่งก็ได้อยู่กับลูกนะ เขาให้ผมหยุด 2 เดือนเพื่อดูแลลูก (หัวเราะ)


เมื่อหน้าที่ความเป็นพ่อค่อยๆ ก่อตัวขึ้นในตัว คุณต้องเรียนรู้และทำมันให้ดีแค่ไหน

การมีลูกทำให้เรารู้ว่าการเป็นพ่อคือการที่เราลดทิฐิของตัวเองลง จากสมัยก่อนที่เราคิดว่านี่คือตัวเรา เราต้องเป็นแบบนี้ แต่พอมีลูก บางอย่างเราต้องลดความเป็นตัวเองลง ไม่เป็นไร ไม่ต้องทำอย่างที่เราอยากทำก็ได้ ลูกต้องมาก่อน แรกๆ ผมก็หงุดหงิดเหมือนกันว่าทำไมเราต้องทำแบบนี้ ทำไมเราต้องยอม ทำไมไม่เป็นอย่างที่เราคิด แต่สุดท้ายแล้ว ผมว่านี่แหละความเป็นผู้ใหญ่ที่เราเสียสละได้ เรายอมรับคนอื่นได้มากขึ้น


มีลูก 1 คนกับมีลูก 2 คน ต่างกันไหม

ตอนแรกมีคนเดียวกะว่าจะพอแล้ว อ้าว คนที่สองมาอีกแล้ว (หัวเราะ) แต่กลายเป็นว่าดี เพราะสุดท้ายแล้วเขากลายเป็นเพื่อนกัน ตอนแรกๆ ก็เหนื่อย พอน้องคุณเริ่มอายุสัก 6-7 เดือน ไม่เอาแล้วเนอะอีกคนนึง พอน้องคุณ 10 เดือน อ้าว คุณหน่อยท้องอีกแล้ว ไม่เป็นไร ถือว่าเหนื่อยทีเดียวแล้วกัน ซึ่งเราโชคดีมากเลย เพราะเราเห็นจริงๆ นะว่าเด็กที่เป็นลูกคนเดียวกับเด็กที่มีพี่น้องนั้นต่างกัน เด็กที่เป็นลูกคนเดียวเขาไม่รู้จักการแบ่งปัน เขาต้องเป็นที่หนึ่งเสมอ แต่พอมีพี่น้อง เขามีคนมาแชร์การใช้ชีวิต คนเป็นพี่ก็จะลดความเห็นแก่ตัวลง เขาก็จะแชร์กัน อย่างตอนนี้ผมก็เหนื่อยน้อยลง เพราะลูกเขาเล่นกันเองมันมาก ถ้าเป็นลูกคนเดียว เราก็ต้องคอยเล่นกับเขา หรือไม่เขาก็คงเอาแต่เล่นเกม 


คุณกับจุนนิสัยต่างกันไหม

ต่างครับ บางอย่างก็อยู่ใน Genetics เลย ตั้งแต่เรื่องกิน คุณชอบกินผักผลไม้ตั้งแต่เด็ก ส่วนจุนไม่กินเลย ชอบกินเนื้อหมู เนื้อไก่ เหมือนผม เพราะผมชอบกินเนื้อสัตว์ ส่วนคนโตเหมือนแม่เขา ไอ้สิ่งที่เราเคยเป็นไม่น่าเชื่อว่าลูกเราเป็นอย่างที่เราเป็นเป๊ะเลย อย่างคนเล็กตอนนอนเขาจะต้องคัน ยุกยิกๆ ต้องให้แม่เกาให้ โคตรเหมือนผมเลย ตอนเด็กๆ ผมก็จะต้องให้แม่เกาหลังให้ แล้วสิ่งที่เหมือนกันคือถ้าแม่ไม่เกา เขาก็จะหยิบมือแม่มาเกาเอง โห เหมือนมากนี่มันคือเราตอนเด็กๆ เลย ก็ตลกดี


แม้การมีลูกทำให้ต้องเสียสละ ต้องลดทิฐิ แต่คุณก็ยังรักษาความชอบของตัวเองเอาไว้ได้ เช่น การท่องเที่ยว หรือการถ่ายรูป

ใช่ๆ คือผมพาคุณหน่อยไปเที่ยวด้วยกันตลอด จนเขาตั้งท้องเดือนที่ 6 แล้วมั้งหมอถึงห้ามเที่ยว พอลูกเกิดก็เริ่มเดินทางตั้งแต่ลูกอายุได้ 6-8 เดือน ซึ่งเขาก็ปรับตัวได้เร็ว ชินแล้วว่าครอบครัวเราเป็นแบบนี้ ถ้าผมชอบอะไร เช่น ผมชอบไปญี่ปุ่น เขาก็จะซึมซับไปเอง เดี๋ยวนี้เขาบอกเองเลยว่าเมื่อไรเราจะไปญี่ปุ่นกันอีกล่ะพ่อ โห ดีใจมากเลยที่ลูกพูดคำนี้ ช่วยไปบอกแม่ที (หัวเราะ) ถ้าทุกอย่างที่ผมชอบทำเป็นกิจกรรมที่ทุกคนแชร์ร่วมกันได้ ผมก็จะยิ่งมีความสุขมากกว่าการได้ทำสิ่งที่ผมชอบแต่ต้องไปทำคนเดียว ไม่มีลูก ไม่มีคุณหน่อยก็ไม่สนุก ถ้าเราไปคนเดียวก็ต้องกลับมาเล่าให้ฟังว่าไปเจอนั่นเจอนี่มา สู้ไปเจอพร้อมกันทีเดียวไม่ได้


แสดงว่าคุณหน่อยก็ต้องชอบเที่ยวด้วย

ก็ชอบ แต่ผมชอบเที่ยวธรรมชาติ เลยต้องแบ่งกัน ต้องมีวันนึงเที่ยวช้อปปิ้งในเมือง ซึ่งพวกเราพ่อลูกก็ต้องรอ ตอนแม่ไปช้อปปิ้ง เดี๋ยวเราไปเล่นเกมกัน


ทำไมคุณถึงชอบประเทศญี่ปุ่นมากขนาดนั้น

ผู้คนด้วยมั้ง เราไปแล้วไม่รู้สึกแปลกแยกเท่าไร หัวดำๆ เหมือนกัน เวลาอยู่ในเมืองก็รู้สึกตื่นเต้นหวือหวา แต่พอออกไปต่างจังหวัดก็เงียบสงบ ธรรมชาติดี อย่างช่วงหลังๆ เราชอบไปเล่นสกี เล่นสโนว์บอร์ดด้วยกัน 


ชอบมากถึงขั้นซื้อบ้านที่โน่นได้ก็ถือว่าไม่ธรรมดา

(หัวเราะ) ขอคุณหน่อยอยู่นานเหมือนกันนะ แต่เขาก็เข้าใจ ผมก็บอกว่าพอเรามีลูก เราได้ใช้แน่นอนซึ่งเขาก็โอเค คุณหน่อยเริ่มปรับตัวได้ถ้าเขาต้องไปอยู่ในป่าในเขากับผม ขอแค่มีอาหารกับขนมอร่อยๆ กิน ซึ่งบ้านที่ผมซื้ออยู่ที่ฮอกไกโด ที่ก็เหมือนกับเขาใหญ่ มีฟาร์มวัว โด่งดังเรื่องนม เรื่องช็อกโกแลต เด็กๆ ไปได้ เพราะเวลาไปโตเกียวลูกผมก็ไม่ชอบ ถ้าไปเมืองใหญ่ เขารู้เลยว่ามีแต่ช้อปปิ้ง ซึ่งเขายังไม่อิน ยังไม่ถึงวัยด้วย ถ้าเป็นวัยรุ่นแล้วก็ไม่แน่ อาจจะชวนกันไปดูรองเท้าในช็อป


เวลาพาไปท่องเที่ยวตามธรรมชาติ ลูกๆ ชอบทำอะไรบ้าง

ทำหมดเลย ไฮกิ้ง เทร็กกิ้งที่ไม่ค่อยยาก เดินไปถึงทะเลสาบก็เตรียมของไปนั่งกินกัน ถ้าหน้าหนาวก็ขึ้นไปลานสกี ผมก็ไม่รู้ว่าพอเขาโตขึ้นเขาอาจจะเปลี่ยนไป วัยนี้เป็นช่วงเวลากอบโกย คนที่เป็นพ่อแม่มาก่อนมักจะบอกว่าตอนนี้อยู่กับลูกให้เยอะๆ วันนึงเขาก็ไม่อยู่กับเราแล้วนะ ซึ่งก็จริง เด็กผู้ชายพอถึงวันที่เขาอายุ 15 ปี เขาคงไม่อยากอยู่กับพ่อแม่แล้ว อยากอยู่ในโลกของตัวเอง ฉะนั้นช่วงนี้เขายังอยากอยู่กับเรา เขายังต้องการความคิดเห็นของเรา เราก็ต้องพยายามอยู่กับเขาให้ได้มากที่สุด ปลูกฝังอะไรก็ตามที่เราทำได้ 


นอกจากญี่ปุ่น เคยไปผจญภัยในประเทศอื่นๆ บ้างไหม

อย่างปีที่แล้วไปกรีนแลนด์ เหมือนอยู่ขั้วโลกเหนือเลย มีแต่น้ำแข็งกับหิมะ ไม่มีอะไรเลย ทำกิจกรรมเอาต์ดอร์ทั้งหมด เช่น ขึ้นหมาลากเลื่อน ซึ่งคุณหน่อยก็อืม…โอเค ครั้งหน้าไม่มาแล้วนะ (หัวเราะ) ก็ถือเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้เห็นแสงเหนือทุกวันที่อากาศดี วันแรกลูกๆ ก็ตื่นเต้น หลังๆ เห็นจนเบื่อแล้ว พ่อ...หนาว กลับบ้านเหอะ (หัวเราะ) 


คุณเป็นผู้ชายที่ไม่ติดเพื่อนเลยเหรอ 

สิ่งที่ผมชอบมันหาก๊วนยาก ผู้ชายส่วนใหญ่จะชอบเตะบอลหรือขี่มอเตอร์ไซค์ ซึ่งผมขี่ไม่เป็น ผมชอบเฟอร์นิเจอร์ของเก่า ชอบแต่งบ้าน พี่ๆ ที่ขายของเก่าก็เป็นผู้ใหญ่กันทั้งนั้น ก็ได้แต่ไปนั่งคุยกันที่ร้านเขา หรืออย่างผมชอบไถสเกตบอร์ด เพื่อนในวัยเดียวกันก็ไม่เล่น เขาก็ได้แต่ชวนว่าไปขี่จักรยานแทนไหม (หัวเราะ) 


คุณยังรักการถ่ายรูปเหมือนเดิมรึเปล่า

ถ้าไปเที่ยวก็จะถ่ายรูปครอบครัว สมัยก่อนไม่ชอบถ่ายคน ถ่ายแต่วิว แต่หลังๆ พอเรามีครอบครัวก็เลี่ยงไม่ได้ ให้ลูกบ้าง เมียบ้าง ไปยืนตรงนั้นเร็ว แสงกำลังสวย 


แต่ก็สนุกไปอีกแบบ และเป็นบันทึกเรื่องราวชีวิตไปในตัว 

ใช่ ตอนนี้ผมก็เอาภาพเก่าๆ มาลงในไอจีพักนึงแล้ว (@mi_familia_fotos) เป็นรูปที่ผมเคยถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม ซึ่งก็หยิบมาจากในอัลบั้มเก่าๆ ทยอยเอามาลง หลายคนดูแล้วก็ไม่เก็ตว่าทำไมถึงมีแต่รูปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ไม่มีรูปปัจจุบันเลย


ทุกวันนี้คุณก็ยังถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์มอยู่รึเปล่า

ถ่ายอยู่ครับ ไม่ได้ว่าเก๋อะไรหรอกนะ เคยคิดจะเปลี่ยนเหมือนกัน แต่กล้องถ่ายรูปก็เปลี่ยนรุ่นตลอดไม่อยากตามมัน เดี๋ยวจะหมดเงินเยอะกว่านี้ งั้นก็ใช้กล้องนี้ถ่ายเหมือนเดิมแล้วกัน ซื้อแค่ฟิล์ม 


แสดงว่าคุณไม่ค่อยตามเทคโนโลยี

ขี้เกียจตาม ก็เลยช้าหน่อย แต่ผมก็เล่นไอจีนะ แต่ก็ทำในแบบที่เป็นตัวเรา เราเป็นประมาณนี้


ในอนาคตเมื่อลูกๆ โตขึ้น คุณมีความฝันส่วนตัวอะไรที่อยากทำอีกบ้าง

ผมสนใจเรื่องเอาต์ดอร์มากขึ้น เช่น เดินป่า แคมปิ้ง ซึ่งเมืองนอกเขามีคอร์สสอนการใช้ชีวิตในป่าแบบจริงจัง สอนตั้งแต่การตั้งแคมป์ การจุดไฟ การตัดสินใจเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ซึ่งเราสามารถไปเรียนกับเขาได้ตั้งแต่ 7 วันจนถึง 1 เดือน มีสาขาให้เลือกทั่วโลกเลย ซึ่งผมคิดว่าตัวเองต้องได้ทำแน่ๆ แค่ต้องมีเวลาซึ่งกิจกรรมนี้คงต้องทำคนเดียวไปก่อน เพื่อจะได้มั่นใจว่าต่อไปผมสามารถพาลูกเมียไปได้


ที่ไหนที่คุณอยากไป

อเมริกา ซึ่งมีให้เลือกหลายเมือง ตอนนี้ผมมีแนวร่วมแล้ว คิดว่าภายใน 2 ปีน่าจะได้ไป เชื่อว่าน่าจะได้อะไรติดตัวกลับมาแน่นอน 


คิดว่าทำไมตัวเองถึงชอบอยู่กับธรรมชาติมากขนาดนี้

เวลาอยู่กับธรรมชาติแล้วผมรู้สึกสบาย ไม่ต้องคิดอะไรตัดเรื่องของโลกแห่งความจริงทิ้ง แล้วไปอยู่ในโลกแห่งความฝันแฟนตาซีแป๊บหนึ่ง พอกลับมาทำงานก็เหมือนได้ชาร์จแบตฯ ธรรมชาติเป็นตัวรีชาร์จที่ดี พอมีเวลาผมจึงพยายามออกไปอยู่ตรงนั้นมากขึ้นหรือจริงจังขึ้น


เวลาอยู่เงียบๆ กับธรรมชาติ ในหัวคุณคิดอะไร

อย่างล่าสุดผมพาน้องๆ นักแสดงไปเที่ยวด้วยกัน เขาก็บอกผมเองนะว่าพี่รู้ไหมว่าเวลาพี่อยู่ที่นั่น พี่แม่งดูมีความสุขมากพี่ยิ้ม พี่หัวเราะตลอด ดูไม่เครียดเลย


ความสุขในทุกวันนี้ของคุณคืออะไร

ครอบครัว เที่ยว แล้วก็ได้ทำงานที่ทำแล้วฟิน อย่าง The Pool ฟินตั้งแต่ตอนเล่นแล้ว เราสนุก มันท้าทาย ที่เราทำได้และได้ทำงานกับคนเก่งๆ 


ตัวละครตัวนี้สอนอะไรคุณมากกว่านั้นอีกไหม

เรื่องของการติดอยู่ในสระเป็นแค่สัญลักษณ์ แต่จริงๆ แล้วปมที่พี่พิงอยากจะพูดคือผู้ชายคนนี้เขาคิดว่าตัวเขาไม่มีคุณค่า เขาเป็นคนที่ด้อยกว่าคนอื่นด้วยหน้าที่การงาน เขาปล่อยให้สังคมตัดสินความเป็นตัวเขา มีช็อตหนึ่งในหนังที่แฟนเขาบอกกับเขาว่าอย่าไปมองคนอื่นสิ ที่เรามียังไม่มีคุณค่าหรือไง ทำไมไปมองสิ่งภายนอก ไม่มองสิ่งที่อยู่ในใจ ไอ้เรื่องการที่เขาจะหนีรอดยังไงก็เป็นแอ็กชั่นของตัวละครที่กว่าจะชนะสิ่งเหล่านั้นได้ ต้องชนะใจตัวเองเสียก่อน


กลัวความคาดหวังของคนอื่นๆ ไหม

ไม่รู้เลย ผมก็คุยกับพี่พิงนะ เขาบอกว่าจริงๆ หนังเรื่องนี้พี่คิดบทมาเป็นสิบปีแล้ว เอาไปขายหลายที่ก็ไม่มีใครเอา เพราะไม่ใช่เรื่องที่ขายได้ ไม่มีตลก ไม่มีผี ไม่เน้นเรื่องรัก แต่มันคือแพสชั่น ทุกคนมาทำหนังเรื่องนี้ด้วยแพสชั่น แล้วเผอิญมีคนเห็นคุณค่ามัน คุณวิสูตร (วิสูตร พูลวรลักษณ์ ผู้บริหารค่าย TMoment) เขาก็อยากจะทำอะไรที่ไม่เหมือนเดิมก็เลยทำ เรื่องรายได้ถ้ามันประสบความสำเร็จในวงกว้าง มีคนดู ก็จะทำให้ต่อไปคนที่อยากจะทำหนังแนวอื่นนอกเหนือจากในตลาดก็จะมีมากขึ้น หน้าหนังก็จะหลากหลายขึ้น 


สุดท้ายฝากถึงหนัง The Pool ว่าน่าดูอย่างไร

ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าเราเล่นหนังที่ไม่ได้ขายความหล่อเหลา ความเท่ เรากลายเป็นตัวละครนั้นจริงๆ การตอบรับจะเป็นยังไง แต่ผมเชื่อว่าเดี๋ยวนี้ผู้ชมเปิดกว้าง น่าจะมีกลุ่มคนที่อยากดูอะไรใหม่ๆ รออยู่