Lucky in Love, Lucky in Games – ออม-สุชาร์ มานะยิ่ง

12 ปีก่อน ‘ออม-สุชาร์ มานะยิ่ง’ แจ้งเกิดด้วยรอยยิ้มหวานและความสดใสจากรายการ Strawberry Cheesecake (2549) ซึ่งนับเป็นอีกรายการวาไรตี้วัยรุ่นแห่งยุคที่หลายคนยังคงไม่ลืม หลังจากรายการลาจอไป สาวน้อยคนนั้นเติบโตอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะงานด้านการแสดง ทั้งหนัง ละคร พรีเซ็นเตอร์โฆษณาอีกมากมาย และล่าสุดออมเตรียมตัวมาอวดผลงานใหม่ในฐานะ ‘นางเอก’ ของละครโรแมนติกคอเมดี้เรื่อง รักพลิกล็อก ทางช่อง 3

อายุและประสบการณ์ทำงานหล่อเลี้ยงให้สตรอว์เบอร์รี่ลูกสวยผลนี้กลายเป็น ‘ผลสตรอว์เบอร์รี่เต็มวัย’ ที่เติบใหญ่มาได้อย่างงดงาม และในขณะที่เธออยู่ในภาวะลักกี้อินเกม-ลักกี้อินเลิฟแบบนี้ เราจึงเลือกถามเรื่องราวความรักของออมเป็นของหวานปิดท้ายก่อนจากกัน


ยังจำได้ไหมว่าช่วงเริ่มเข้าสู่วงการบันเทิงเป็นอย่างไรบ้าง

นานมาก (หัวเราะ) เริ่มจากเป็นเด็กต่างจังหวัดที่เข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ แล้วมีพี่แคสติ้งชวนไปรายการ Strawberry Cheesecake ตอนนั้นเราก็งงๆ ไม่รู้เลยว่า Strawberry Cheesecake คืออะไร แต่ก็ลองไปแคสติ้งดูจนได้ติดหนึ่งในสิบสองคน ถือเป็นบันไดขั้นแรกที่ได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง หลังจากนั้นก็มีละครเวทีบ้าง หนังบ้าง ละครบ้าง และทำงานเรื่อยๆ มาจนถึงทุกวันนี้


ก่อนหน้านี้อยากเข้าวงการบันเทิงอยู่แล้วหรือเปล่า

ไม่เลย ออมเป็นคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองอยากได้อะไรหรือชอบอะไรเลยด้วยซ้ำ แต่ตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัย เราเลือกเรียนเอกการแสดงและกำกับการแสดงนะ เพราะเคยมีรุ่นพี่บอกกับเราว่าคาแร็กเตอร์อย่างออมน่าจะลองไปสอบคณะแบบนี้ดูสิ มันยากนะ มีคนสอบเข้าเยอะมาก เขารับแค่ 20 เอง ถ้าติดก็เจ๋งแหละ แล้วเราดันติด พอเข้าไปเรียนไปๆ มาๆ เรารู้สึกเริ่มชอบการแสดง อยากเข้าห้องเรียนตลอด และรู้สึกว่านี่คือตัวเรานี่นา วงการบันเทิงเป็นเรื่องไกลตัวสำหรับออม แต่พอมันมีโอกาสเราก็ไม่คิดอะไรเยอะ ลองทำดู เราไม่ใช่เด็กที่เดินเข้าหาโมเดลลิ่งหรือเข้าไปอยู่ในสังกัดใดสังกัดหนึ่ง แต่เป็นเพราะว่า พอเรามีโอกาสทำก็ลองทำมาเรื่อยๆ


ไม่มีความฝันอย่างอื่นเลยหรือ

ไม่มีเลย ออมเป็นเด็กที่แปลกมาก ตอนเด็กๆ ผู้ใหญ่จะชอบถามว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไรใช่ไหม แต่ออมไม่สามารถตอบคำถามนี้กับทุกคนได้ 


ช่วงที่อยู่ในรายการ Strawberry Cheesecake เรื่องยากที่สุดของออมคืออะไร

เรื่องเต้น (หัวเราะ) เราไม่มีสกิลเรื่องนี้อยู่เลย พอเต้นแล้วเหมือนระบบสมองของเราควบคุมไม่ได้ แขนต้องไปทางไหน ขาต้องไปทางไหน เรื่องเต้นจะอ่อนมาก


หลังจากรายการลาจอไปแล้ว พอได้ทำงานเป็นนักแสดงจริงๆ ความสนุกของการอยู่ในวงการบันเทิงเปลี่ยนแปลงไปบ้างไหม

ย้อนกลับไป 12 ปีที่แล้ว มันก็เป็นสิ่งที่หวือหวาสำหรับเรา จากที่เป็นคนธรรมดา เริ่มมีแฟนคลับขึ้นเยอะมาก ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ไม่ได้มีกลุ่มไอดอลเยอะด้วยแหละ ที่เป็นกลุ่มผู้หญิงที่ไม่ใช่นักร้อง แต่เป็นกลุ่มเด็กผู้หญิงที่เขาปั้นมาเพื่อเป็นไอดอลจริงๆ มันก็เลยดูแปลกใหม่สำหรับยุคนั้น ตอนนั้นมีโอตะแล้วนะ (หัวเราะ) แต่ก็ไม่ได้เรียกว่าโอตะ เรียกว่าแฟนคลับ รูปแบบมันก็คล้ายกัน จะร้องเพลงก็ได้ เล่นหนังหรือละครก็ได้ 

วงการบันเทิงพอเข้าแล้วก็ออกยากเหมือนกันนะ หลังจากนั้นเรามีโอกาสได้เล่นหนัง ซึ่งตอนนั้นเรารู้สึกว่าการเล่นหนังนี่มันเจ๋ง การแสดงเป็นสิ่งที่เราชอบจังเลย แล้วช่วงนั้นพอได้เล่นหนังเรื่องแรกๆ แล้วชื่อของเราได้เข้าชิงทั้งที่ยังเด็กอยู่ เราก็รู้สึกว่าอยู่ดีๆ เรามีตัวตนขึ้นมาในวงการบันเทิง มันก็เป็นอะไรที่เราชอบ


อย่างหนังเรื่อง Yes or No อยากรัก ก็รักเลย (2553) ที่เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต เป็นยังไงบ้าง

กระแสดีมาก ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญอีกแล้ว ตอนนั้นโปรดิวเซอร์เขาไปเห็นรูปของเราติดอยู่ตรงเสารถไฟฟ้า จำได้ว่าเป็นโปสเตอร์ละครเวที แล้วเขาก็หาตัวละครตัวนี้มาประมาณสองปีแล้ว เขาได้ตัวละครตัวหนึ่งมาแล้ว แต่อีกตัวละครที่ต้องเล่นคู่กันเขายังหาไม่ได้ จนเขามาเจอรูปเราที่รถไฟฟ้า เลยให้คนลองติดต่อมา ชวนไปแคสติ้ง แต่สุดท้ายพี่นาย (สรัสวดี วงศ์สมเพ็ชร) ซึ่งเป็นผู้กำกับ เขาก็เลือกเรา ต้องขอบคุณพี่นาย เขาบอกว่าออมตัวเตี้ยดี ถ้าแกตัวสูง แกไม่ได้บทนี้หรอกนะ (หัวเราะ)


เคยคิดบ้างไหมว่าใบหน้าหวานๆ ของตัวเองอาจจะทำให้สามารถรับบทบาทการแสดงได้ไม่หลากหลาย

คงไม่เกี่ยวหรอก ที่ผ่านมาเราก็ได้รับเล่นหลายบทอยู่เหมือนกัน อยู่ที่จังหวะและโอกาส ถ้าเกิดว่าเรามีโอกาสแต่ไม่พร้อม เราก็อาจจะไม่ได้ทำ หรือถ้าเราไม่มีโอกาส แน่นอนว่าเราก็จะไม่ได้ลองอะไรอยู่แล้ว 


คนจะชอบมองว่าออมเป็นสาวเรียบร้อย หวานๆ แต่จริงๆ แล้วเป็นคนอย่างไร

จริงๆ แล้วออมไม่ใช่คนเรียบร้อยเลยนะ เราเป็นคนมีหลายอารมณ์มาก บางทีก็หวานนะ แต่บางทีก็ซ่าได้ ออมว่าคนเรามันจำกัดไม่ได้ว่าเธอต้องเป็นแค่นี้ บางทีก็น่าเบื่อไป บางทีอาจจะลุกขึ้นมาเซ็กซี่ก็ได้ (หัวเราะ)


ส่วนใหญ่บทที่เข้ามาเป็นบทอะไร แล้วออมมีวิธีเลือกงานที่อยากทำอย่างไร

ส่วนใหญ่บทที่เลือกเล่น ทุกคนก็จะได้เห็นจากผลงานที่ออกไป แต่ละเรื่องก็มีเหตุผลของมัน ออมมีความคิดของออมเองว่าอะไรที่มันจะสำเร็จ มันไม่ใช่แค่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ต้องมีองค์ประกอบหลายๆ อย่างที่เราต้องดู อย่างเช่นเล่นกับใคร บทโอเคไหม ผู้กำกับคือใคร โปรดิวเซอร์คือใคร บางทีดูไปถึงตากล้องเลย (หัวเราะ) ในช่วงที่ได้ทำงานการแสดง เราก็ได้รับเล่นหลายบทบาทนะ แต่มันอยู่ที่เรื่องของมุมมองมากกว่า บางทีออมอาจจะมีบทแบบนี้ แต่อาจจะไม่ค่อยมีคนเห็น ออมคิดว่ามันเป็นเรื่องของโอกาสที่ทางโปรดิวเซอร์เขามองว่าอยากให้เราไปในทิศทางไหน แล้วเราตอบรับได้หรือเปล่า


เราทราบมาว่าออมมีชื่อเสียงมากที่ประเทศจีน

ใช่ค่ะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหนังกับละคร พอเริ่มได้โอกาสจากต่างประเทศมาแล้วก็ดูเหมือนกันว่าบทโอเคไหม เวลาได้ไหม เงินอาจจะไม่ได้เยอะ แต่บทน่าเล่น เราก็เล่นนะ  


จุดเริ่มต้นของการได้ทำงานที่ประเทศจีนคืออะไร

มันเริ่มจากโอกาสหลายๆ อย่าง เราโชคดีที่ไปมีกระแสที่ต่างประเทศ ตั้งแต่หนัง 2 เรื่อง แล้วเรามีโอกาสได้ไปเล่นหนังรีเมกเกาหลี ทั้ง Autumn in My Heart, Full House หรือ Itazura na Kiss แกล้งจุ๊บให้รู้ว่ารัก ด้วยความที่บทประพันธ์เหล่านี้เป็นที่รู้จักในตลาดเอเชียอยู่แล้ว เวลาที่เราได้ลงโปรเจ็กต์ ต่างชาติเขาก็อยากจะเห็นว่าในเวอร์ชั่นนี้จะเป็นยังไง ก็เลยได้กลุ่มแฟนคลับคนดูต่างชาติที่ตามผลงานของเรา หลังจากนั้นเลยมีละครกับหนังต่างชาติติดต่อเข้ามาให้ไปเล่นเรื่อยๆ


การทำงานที่ประเทศจีนแตกต่างจากบ้านเราไหม 

หนักกว่าที่ไทยสิบเท่าเลย (หัวเราะ) พอไม่ได้อยู่ในบ้านเรา ความสะดวกสบายมันก็ไม่เหมือนกัน แต่ที่หนักที่สุดน่าจะเป็นเรื่องภาษา มันเป็นภาษาที่สามที่ไม่ใช่ภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษ ก็ต้องเริ่มเรียนรู้ใหม่ เริ่มต้นกันใหม่ กลายเป็นเบบี๋เลย เราต้องเรียนภาษาจีนเพื่อการแสดง แต่เราโชคดีอย่างหนึ่งที่เป็นคนก๊อบปี้เก่ง ออมจะให้ผู้จัดการอัดเสียงคนจีนไว้ แล้วออมก็นอนฟังทั้งคืน ตื่นเช้ามาเราก็จะก๊อบปี้เขาเลย เพราะเรานอนท่องมาเป็นร้อยรอบเลยเมื่อคืน (หัวเราะ) อีกเรื่องก็คือ ความอึด ที่นู่นเขาจะทำงานกันทุกวันเลย ถ้าเกิดน้อยหน่อยก็ 30 วัน มากหน่อยก็ 90 วัน โดยที่ไม่มีวันหยุด นี่คือความอึดที่เราจะต้องทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทาน ห้ามป่วยเด็ดขาด เราต้องดูแลตัวเอง ด้วยบทนางเอกที่ค่อนข้างมีบททุกซีน มีซีนเยอะ เลยได้พักน้อยหน่อย จะเป็นเรื่องความอึดที่ต้องต่อสู้กับตัวเอง 


แล้วแฟนคลับชาวจีนเป็นอย่างไรบ้าง 

ก็น่ารัก เขาจะน่ารักตรงที่เราอยู่ไกลกัน แต่ก็จะคอยติดตาม คอยให้กำลังใจและสนับสนุนเรา


มองอนาคตการทำงานในจีนอย่างไร คิดว่าปลายทางจะอยู่ที่นั่นเลยหรือเปล่า

ไม่เชิงอย่างนั้นค่ะ ออมเป็นคนที่ดูตามโอกาสและเวลา อย่างก่อนหน้านี้ออมอาจจะทำงานเยอะมาก แล้วก็ป่วย ออมเลยวางแผนไว้ว่าปีนี้เราอาจจะไม่รับงานต่างประเทศที่ต้องไปทำงานแบบระยะยาว เพราะเราอยากดูแลสุขภาพของตัวเอง แต่ถ้ามีหนังจีนมาถ่ายที่ประเทศไทย อันนี้ออมโอเค เรารับได้


ออมมักพูดถึงเรื่องโอกาสและจังหวะเวลาอยู่บ่อยๆ คำว่า ‘โอกาส’ สำคัญแค่ไหน

สำคัญมาก สำคัญกับทุกคนเลย สิ่งสำคัญเลยคือเราต้องพร้อมเสมอในเวลาที่มีโอกาสเข้ามา เพราะถ้าเกิดมีโอกาส แล้วเราไม่มีศักยภาพ เราทำงานไม่ได้ มันก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ถูกต้องไหมคะ? ทุกอย่างมันต้องมาพร้อมกัน


เคยได้รับโอกาสในช่วงที่ไม่พร้อมบ้างหรือเปล่า

ไม่เคยมีนะคะ หลายครั้งที่เราไม่ได้เล่นมันเป็นเพราะเราไม่ได้เลือก แต่เราเลือกที่จะทำอีกสิ่งหนึ่งมากกว่า 


มองอย่างไรกับการรับบทบาทการแสดงในสมัยนี้ จะต้องเป็นบทแรงๆ ดาร์กๆ เท่านั้นหรือถึงจะกลายเป็นกระแสโด่งดังขึ้นมา เราจำเป็นต้องเลือกเล่นบทแบบนั้นด้วยหรือเปล่า 

ออมว่าวิธีคิดมันต่างกันนะ เราไม่ได้มองถึงปลายทางซึ่งคือความดัง แต่เรามองถึงสิ่งที่เราอยากทำและยังไม่เคยทำ ปลายทางจะดังหรือไม่ดังเราไม่รู้ แต่เราอยากทำงานกับกลุ่มคนแบบนี้ เราอยากลองเล่นบทแบบนี้ ตอนนี้คนมักจะมองว่าต้องเป็นเรื่องที่แรงๆ เท่านั้นถึงจะดัง ทุกคนก็จะอยากเล่นหรือเปล่า แต่ออมคิดว่าองค์ประกอบมันสำคัญ ถ้าแค่บทแรงๆ แต่บทละครไม่ดี มันก็ไม่ได้ใจคนดู แต่เรื่องบางเรื่องมันไม่จำเป็นที่จะต้องแรง ก็ได้ใจคนทั้งประเทศหรือคนดูแล้ว มันเป็นเรื่องของทั้งผู้กำกับ คนเขียนบท และนักแสดง เราต้องมองก่อนว่าเป้าหมายของเราคืออะไร เรามองหาสิ่งที่เราอยากทำและสบายใจที่จะทำ ก็แค่นั้นเองสำหรับเรา


เรียนรู้อะไรจากการทำงานในวงการบันเทิง

สิ่งที่เรารักเราก็ต้องไม่ปล่อยมันทิ้งไป เราต้องทำให้ดีที่สุดถ้าในเรื่องงานนะ เพราะมันจะอยู่กับเราไปตลอดชีวิต มันถูกบันทึกเอาไว้ แต่เราก็เรียนรู้ได้อีกอย่างหนึ่งคือเราต้องไม่เครียดกับมันจนเกินไป เพราะยังไงสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเรา ทั้งหมดคือการบาลานซ์ในสิ่งที่เราอยากได้ สิ่งที่เราอยากเป็นให้มันพอดิบพอดีกับตัวของเรา


เวลาเสิร์ชชื่อ ‘ออม สุชาร์’ เรามักจะเจอเรื่องราวความสัมพันธ์และความรักที่ผ่านมา

ไม่ใช่แค่ออม ลองเสิร์ชชื่อคนอื่นก็เป็น (หัวเราะ) บางทีออมเคยนั่งคิดนะว่าคอนเทนต์เกี่ยวกับคนในวงการบันเทิง จริงๆ มันไม่ใช่แค่เราหรอก ทุกคนก็เป็น ทุกคนโดนโฟกัสเรื่องนี้เป็นอันดับแรก แต่ก่อนเราก็เคยคิดว่ามีแค่ตัวเอง แต่พอออมลองถอยออกมาแล้วมองคนอื่น เฮ้ย ทุกคนก็เป็นเหมือนเราหมดเลย


เมื่อก่อนออม สุชาร์ มองชีวิต ‘ความรัก’ ของตัวเองว่าเป็นอย่างไร 

ออมว่ามุมมองความรักของเราเปลี่ยนทุกๆ การเติบโต ตอนเด็กเราอาจจะคิดอีกแบบหนึ่ง ตัดสินใจอีกแบบหนึ่ง พอเติบโตขึ้นมาอีกหน่อย เราก็จะคิดอีกแบบหนึ่ง ตอนยังเด็กมันคือความฉาบฉวย ความเอาแต่ใจ ฉันเป็นคนเอาแต่ใจ แต่ถ้าไม่ได้ดั่งใจข้อหนึ่งก็ตัดออกแล้ว แล้วด้วยความที่เราเป็นยึดมั่นถือมั่นอยู่ประมาณหนึ่ง เซนซิทีฟมาก (หัวเราะ) เป็นคนเซนซิทีฟในเรื่องที่ไม่ควรเซนซิทีฟ ถ้าย้อนกลับไปเราอาจจะหัวเราะให้กับเรื่องพวกนี้ก็ได้ เราจะมีช่วงอายุที่รู้สึกว่า ทำไมตัวเองต้องดึงดราม่าตลอดเลย 


แล้วพอเวลาผ่านไปเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง

ปัจจุบันเรื่องความสัมพันธ์ของออมมันคือการประคับประคองความสัมพันธ์ที่มั่นใจว่ามันดีอยู่แล้ว ช่วงแรกที่เราเจอกันเป็นช่วงที่ดีที่สุด แต่สิ่งที่มันยากลำบาก มันคือการประคับประคองกันยังไงให้เดินไปได้สบายๆ โดยที่ไม่มีปัญหาอะไร ซึ่งเราคิดว่ามันเป็นมิชชั่นของความรักเลยแหละ  


ทำไมเราถึงมั่นใจว่านี่เป็นความสัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้ว

เขามีในส่วนที่ออมไม่มีหลายอย่าง แล้วออมก็มีในส่วนที่เขาไม่มีบางอย่าง จริงๆ ออมกับเขาเหมือนเป็นหยินหยาง ถ้ามองเป็นคาแร็กเตอร์ของทั้งสองคนเราต่างกันมาก ทั้งนิสัยหรือมุมมองจากภายนอก แต่เวลาที่เราอยู่ด้วยกันมันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งที่เราไม่ได้ต้องการส่วนที่เหมือนกัน แต่เราอยากได้ส่วนที่เราไม่มี แล้วเรารู้สึกว่าถ้าเกิดเรารักใครมากจริงๆ เราจะยอมที่จะไม่มีปัญหา เรายอมที่จะ…ฉันจะไม่เอาเรื่องเธอในเรื่องที่ฉันยอมได้ ซึ่งแต่ก่อนเราไม่มีไง เราไม่ยอม ผู้หญิงส่วนใหญ่เอาแต่ใจ อยากได้รับความใส่ใจ แต่ตอนนี้เรื่องความสัมพันธ์ของเรามันเป็นเหมือนการกินไวน์คนละแก้ว เราไม่ได้กินไวน์แก้วเดียวกัน แต่เราต้องคอยเติมแต่ละแก้วให้เต็ม แต่ละคนมีพื้นที่ของตัวเอง แล้วเราก็มีพื้นที่ตรงกลางที่แบ่งปันร่วมกัน 


มุมมองความรักของออมดูเปลี่ยนแปลงอยู่พอสมควร อะไรคือจุดที่ทำให้คนที่เอาแต่ใจยอมเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครคนหนึ่ง หรือกลายเป็นคนที่เกือบๆ จะยอมแฟนด้วยซ้ำไป 

ถ้าเรารู้สึกว่าเขาเติมเต็มเรามากจริงๆ จนล้น เรื่องเล็กน้อยเราก็ต้องยอมเขาได้ บางเรื่องเขามีข้อดีมากกว่าสิ่งที่เราจะเอาเรื่องกัน มันก็อาจจะอยู่ที่คนหรือการเติบโตในชีวิตที่เราได้เรียนรู้ในช่วงที่ผ่านมา ถ้าเรายังเป็นคนที่ไม่น่ารักเหมือนเดิม ออมเคยถอยออกมาแล้วกลับมามองตัวเอง มองในสิ่งที่ตัวเองเคยเป็นในเรื่องของความรัก แล้วเรารู้สึกว่าทำไมเราถึงเป็นคนที่ไม่น่ารักเลย ขนาดเรายังมองตัวเองว่าไม่น่ารัก แล้วใครจะมารักเรา ออมคิดอย่างนี้ว่าเราต้องทำให้เราชอบตัวเองก่อน ถ้าเราชอบตัวเองในเวอร์ชั่นนี้ เราก็คิดว่าคนอื่นคงชอบเรา มันต้องคิดจากตัวเองก่อน อย่าเพิ่งไปมองแต่คนอื่น เราเปลี่ยนความคิดจากตรงนี้ แล้วก็เริ่มปรับเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนที่น่ารักในมุมมองของตัวเอง


ที่บอกว่าเคยเป็นคนที่ไม่น่ารักเลย นี่คือไม่น่ารักขนาดไหน

เอาแต่ใจตัวเอง เป็นคนงี่เง่ามากๆ นิดหน่อยก็จะเอา ปล่อยไว้ไม่ได้เลยนะ ขอโทษคนที่ผ่านมาด้วยค่ะ (หัวเราะ)


ซึ่งที่ผ่านมาปกติเราเป็นฝ่ายบอกเลิกหรือถูกบอกเลิก

มีทั้ง 2 อย่างเลย แต่รู้ไหมผู้หญิงชอบบอกเลิก แต่ไม่ได้คิดว่าจะเลิกจริงๆ ออมก็เคยนะที่บอกว่าเลิกกันเหอะ แต่พอเอาเข้าจริงๆ อ้าว เลิกจริงเหรอ ก็มี ถึงบอกว่าที่ผ่านมาก็จะเป็นอีกแบบหนึ่ง แต่ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่าการพูดคำว่าเลิกมันไม่ใช่เรื่องที่จะมาพูดเล่นกัน เมื่อก่อนเอะอะๆ ก็เลิกตลอด


เรื่องไหนที่ทำให้ผู้หญิงที่เคยงุ้งงิ้งสุดๆ อย่างออมรู้สึกถูกเติมเต็ม

สำหรับออมมันเป็นเรื่องเบสิกเลย เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น สิ่งที่ออมอยากได้ เช่น การมีเวลาให้กัน การคิดถึงอีกฝ่ายหนึ่งเสมอ การวางแผนทุกอย่างเพื่อเรา เพราะที่ผ่านมาความสัมพันธ์ของออมอาจจะสะดุดไปบ้าง เพราะออมขาดปัจจัยหลักที่ความรักควรมี ออมเลยคิดว่า เขาเข้ามาในจังหวะที่เราต้องการคนที่พูดกับเราดีๆ ใจเย็น และให้กำลังใจเรา คิดในมุมมองแบบผู้ใหญ่ บางทีเรางอแง แต่เขาก็เอาเราอยู่จนช็อก เหมือนคนที่ดื้อแล้วโดนหักดิบ แล้ว Error ไปเลย ฉันต้องทำยังไง อ้อ กลับไปเป็นคนดี (หัวเราะ)


คิดว่ามุมมองความรักของตัวเองจะเติบโตไปได้มากกว่านี้ไหม ตอนนี้มองถึงการมีชีวิตครอบครัวแล้วหรือยัง

 

มุมมองความรักมันเปลี่ยนไปตลอดตามการเติบโต ตามอายุ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ต้องติดตามดูว่าจะเป็นยังไง ก็เคยคิดนะคะ แต่คิดคนเดียว (หัวเราะ) แปลกไหม เราไม่ชอบสร้างความกดดันให้ใคร เราไม่ได้แบบว่าเดี๋ยวเราจะต้องมีครอบครัวกัน ไม่ใช่ เราไม่ชอบทำให้ใครอึดอัด ออมจะไม่พูดเรื่องนี้กับแฟน หรือกับใคร เพราะถ้าเขาคิดไม่เหมือนเรา มันจะทำให้เขาต้องอึดอัด ถ้ามันจะมี เดี๋ยวมันก็เกิดขึ้นเอง