ปอ-วัชระ สุขชุม คงเป็นชื่อที่น้อยคนนักจะรู้จักว่าเธอคือใคร แต่ถ้าพูดชื่อ เจนนี่ ปาหนัน อาจทำให้หลายคนร้อง อ๋อ... ขณะที่หลายคงอาจจะยังงงอยู่ แต่หากเราบอกว่า เธอคือคนเดียวกับ เจนนี่เทยเที่ยวไทย หนึ่งในพิธีกรแห่งรายการพาเที่ยวที่มีเรตติ้งดีอันดับต้นๆ ของเมืองไทย นอกจากนี้เธอยังรับหน้าที่พิธีกรอีกหลายรายการไม่ว่าจะเป็น Team Girl ชวนเล่น Challenge และ Wrong Say Do
ตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา คลิปวิดีโอที่มีเจนนี่เป็นส่วนหนึ่ง ทั้งที่เป็นพิธีกรเองก็ดี แขกรับเชิญก็ดี ถูกเปิดดูซ้ำๆ และแชร์ลงบนโลกออนไลน์สร้างความบันเทิงให้ใครหลายคนวนไปมาได้ไม่มีเบื่อ จนอาจเรียกได้ว่า ปีนี้ในวัย 31 ปี ของสาวประเภทสองหน้าตาคมเข้มหาดใหญ่แดนไก่ทอดคนนี้ คือปีทองของเธอ
ไม่ว่าคุณจะรู้จักเธอจากบทบาทไหน หรือรายการใด นี่คือ 31 คำถามที่จะพาไปรู้จักกับเจนนี่มากยิ่งขึ้น

1 ชีวิตลูกชายคนโตของนายตำรวจเป็นอย่างไร
“เราเป็นลูกชายคนโตของบ้าน แม่เป็นแม่ค้า พ่อเป็นตำรวจ การเติบโตของเราคือช่วงที่พ่อแม่ต้องสร้างฐานะ ดังนั้นเราจะเผชิญความลำบาก พึ่งพาตัวเองและเอาตัวรอดให้ได้ เพราะช่วยงานที่บ้านมาตลอด ทำให้ใช้ชีวิตตอนโตง่ายขึ้น
หลายคนถามว่าเป็นลูกตำรวจต้องมีปัญหาที่เราเป็นตุ๊ดแน่เลยใช่มั้ย เราไม่มีปัญหาเลยนะ คือคนอาจเห็นในละครไทยแล้วติดกับภาพของลูกชายที่เบี่ยงเบนทางเพศของทหาร-ตำรวจ แล้วโดนพ่อแม่ทุบตีอะไรทำนองนั้น ในส่วนของเจนนี่ไม่เคยเจออะไรแบบนั้นเลย ไม่มีจริงๆ ซึ่งเรามารู้ทีหลังว่าจริงๆ แล้วพ่อแม่รับรู้มาตลอดว่าเราเป็นแบบนี้ รู้ว่าเรามีพฤติกรรมตุ้งติ้ง แต่เจนนี่ว่าตัวเองโชคดีที่ครอบครัวไม่ดุด่าว่าหรือตีเราเลยจริงๆ”
2 เจนนี่และพี่น้องผูกพันกันแค่ไหน
“เราสนิทกับน้องสาวมากกว่า เพราะห่างกันแค่ปีเดียว ส่วนน้องชายห่างกัน 6 ปีเลย ถ้าพูดให้เห็นชัดๆ ถึงเรื่องความห่างของอายุ ก็สมมติว่าเราเรียนม.6 น้องชายเพิ่งจะม. 1 แล้วเราก็เอนทรานซ์เข้ามาเรียนกรุงเทพฯ ระยะห่างมันมาก ไม่เหมือนน้องสาวที่โตมาด้วยกัน เหมือนเป็นเพื่อนกัน แต่ภายนอกเราไม่เหมือนพี่น้องกันเลย นางได้แม่ เป็นคนใต้ผิวขาวนวล ส่วนเราได้พ่อมาหมด ตัวดำ หัวล้าน (หัวเราะ) แต่ก็นั่นแหละค่ะ เราสนิทกับนางมาก เป็นทั้งพี่น้อง เป็นที่ปรึกษา แย่งของเล่นมาด้วยกัน ส่วนน้องชายจะค่อนข้างกลัวเรา เพราะตอนที่เขาจำความได้เราก็มีบทบาทที่บ้านแล้ว พ่อแม่ฟังความเห็นเรา เพราะเราช่วยแม่ทำงานมาตลอด และเราก็เริ่มมีรายได้ส่งที่บ้าน เขาเลยเชื่อฟังเรามาก”
3 รู้ตัวว่าเราไม่ใช่ชายแท้ ตอนไหน
“จำความได้ก็รู้แล้วว่าเราชอบทำอะไรที่ผู้หญิงเขาทำกัน เป็นต้นว่ายกมือเอาผมทัดหู เอียงหน้าหน่อยๆ ซึ่งทรงผมนักเรียนชายมันไม่มีผมให้ทัดหูกับเขาหรอก แต่เราก็ทำ (ยิ้ม) ทัดหูเก่งมาก รักสวยรักงาม จริตผู้หญิงมาเต็มค่ะ ชอบเล่นขายของ ขายขนมครก ขุดดิน ผสมน้ำ หยอดลงเตา ใครจะเล่นอะไร ฉันจองขายขนมครก เล่นพ่อแม่ลูก เล่นตุ๊กตา โอโห้... มาดูสิ เรามีตุ๊กตาเป็นกล่องเลย เผลอๆ มีมากกว่าเพื่อนผู้หญิงคนอื่นซะอีก”
4 ต้องเล่นละครตบตาพ่อแม่จริงหรือเปล่า
“ใช่ คือเราเองก็เคยลองเล่นอะไรแบบเด็กผู้ชายนะ ยิ่งต่อหน้าพ่อเราจะทำเป็นเตะบอลกับเพื่อนผู้ชาย ใส่เสื้อ-กางเกงบอล วิ่งแย่งบอลคนอื่น เลี้ยงบอล แล้วก็มีส่งเสี่ยงฮึช ฮัช! เหมือนเด็กผู้ชายแย่งบอล แต่... คือเราแสดงอยู่ค่ะ แสดงเบอร์ใหญ่ระดับรัชดาลัยเธียเตอร์ไปอี๊กกกก แอ๊บแมน กลัวพ่อรู้ว่าไม่เป็นผู้ชาย ทั้งๆ ที่เขารู้อยู่แล้วก็ตาม”
5 คุณบอกว่าพอจะเดาได้ว่าพ่อกับแม่ดูออกว่าลูกชายไม่ชาย แล้วคุณกลัวอะไร
“สมัยก่อนพอชาวบ้ารู้ว่าลูกบ้านนี้เป็นตุ๊ด เขาจะแซวลับหลังเรา ทั้งที่พ่อแม่ไม่เคยว่าอะไร แต่เราเองที่รู้สึกเหมือนเป็นคนผิดปกติ เราเลยมีวิธีอื่นเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกผิดนั้นตั้งแต่เด็ก เพื่อชดเชยมัน ด้วยการตั้งใจเรียน เพื่อให้พ่อแม่ภูมิใจ เมื่อเราไม่สามารถเป็นลูกชายคนโตของบ้าน ‘สุขชุม’ ได้ เราสามารถเป็นลูกที่เรียนเก่งที่สุดให้เขาได้ เป็นลูกที่ทำกิจกรรมกับโรงเรียนได้ เราว่าการเป็นเด็กกิจกรรมเป็นอย่างหนึ่งที่ครูรัก ครูจะพูดถึงในแง่ดีตลอด
แต่เรื่องอึดอัดใจมันก็ยังมีค่ะ เวลามีรับสมุดพกที่ผู้ปกครองต้องไปหาครู เรากลัวมาก เรากลัวเพื่อนเรียกอีเจนนี่ต่อหน้าพ่อแม่ เพราะที่บ้านเราชื่อปอ เราแอ๊บแมนต่อหน้าพ่อแม่ เราเรียบร้อย ไม่แรด เรากลัวครูจะเล่าให้พ่อแม่ฟัง เรากลัวพ่อแม่มาเจอความตุ้งติ้ง หรือพฤติกรรมเวลาเราอยู่ที่โรงเรียนซึ่งมันต่างจากที่บ้านมากกว่า กลัวการเผชิญหน้าค่ะ แต่ครูก็ไม่ได้พูดนะคะ เพราะเจนนี่เรียนดี เป็นรองหัวหน้าห้อง เป็นเด็กกิจกรรม ครูจะรักเด็กกิจกรรม ก็กลายเป็นชมมากกว่า
สุดท้ายความแตกในร้านอาหารของแม่ เวลาแก๊งคุณครูมากินข้าวที่ร้าน แล้วเล่าให้แม่ฟังหมด ความแรดของเราเวลาแต่งหญิง จริตจะก้าน เต้นบริทนี่ย์ (Britney Spears) เล่นละครโรงเรียน พ่อแม่รู้หมดที่ร้านข้าวนี่แหละ ค่อยๆ ซึมซับพฤติกรรมลูกแล้วยอมรับไปเอง โดยไม่ต้องมาพูดกันว่าลูกเป็นตุ๊ดนะ”
6 ชื่อเจนนี่มาจากไหน?
“ครูตั้งให้ตอนป. 4 ค่ะ ตอนนั้นมีภาพยนตร์ชื่อ ‘เจนนี่กลางวันครับ กลางคืนค่ะ’ ที่พี่ลิฟต์-สุพจน์เล่น ซึ่งในเรื่องเจนนี่กลางวันแต่งชาย กลางคืนแต่งหญิง แล้วมันคล้ายๆ อาการของสาวประเภท 2 อย่างเรา ครูก็เลยเรียกแบบนั้น"
7 โดนเปลี่ยนชื่อแบบนี้ โกรธไหม?
“เราโอเคนะคะ กลับรู้สึกว่าสวยด้วยซ้ำ พอได้ยินชื่อเจนนี่ เราจะนึกถึงผู้หญิงสวยผมตรงยาว และใครๆ เรียกเจนนี่มาตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา”
8 เหนื่อยไหมกับความพยายามพิสูจน์ให้คนเห็นคุณค่าเรา เพื่อชดเชยกับบางสิ่ง
“เราไม่ได้คิดว่าเราต้องทำให้ได้ ต้องเป็นที่หนึ่งในทุกอย่าง ไม่ได้ทำเพื่อให้คนพูดถึงที่สุด แต่เราทำด้วยความตั้งใจ ทำเพื่อผลการเรียนในเกณฑ์ที่ดี เราไม่ได้พยายามจะใสสะอาดดูเป็นคนดี๊คนดี ช่วงเล่นเราก็เล่นสุดๆ แต่ช่วงเรียนเราก็ตั้งใจอ่านหนังสือเต็มที่ ใช้ชีวิตปกติ เที่ยวเล่นอยู่ในกรอบ อยู่ด้วยคำพูดเดียวของพ่อคือต้อง ‘รักดี’ เราคิดเองได้ เอาตัวเองออกจากสิ่งล่อตาล่อใจได้ด้วยตัวเอง แยกแยะให้เป็นก็พอ มันเลยเหมือนกลืนเข้าเป็นตัวตนของเราเองแบบไม่ได้พยายาม ไม่มีความกดดัน มันก็เลยไม่เหนื่อย”
9 การได้เรียนในกรุงเทพฯ คือความใฝ่ฝันตั้งแต่เด็กใช่ไหม
“เจนนี่ไม่มีเป้าหมายในชีวิต แต่รู้ว่าตัวเองชอบความบันเทิง เราเชื่อว่าวัยเด็กของทุกคนต้องมีอาชีพที่อยากทำกันบ้างละ คงไม่มีใครตอบว่าโตขึ้นอยากเป็นพระ อยากเป็นเจ้าอาวาสหรอกมั้ง (หัวเราะ)
อ้อ... ถ้าดูจะจริงจังหน่อยคงเป็นเรื่องของการอยากเป็นดีเจ อยากจัดรายการวิทยุ ตอนเด็กๆ เราอัดเพลงใส่เทป แล้วก็พูดคั่นก่อนเปิดเพลง เล่นอยู่ในห้องคนเดียว พอพูดจบแล้วกดเปิดเพลงได้พอดีนี่รู้สึกตัวเองเก่งจัง เราชอบดูละคร เล่นละครตามเขา แต่เรารู้ว่าเราไม่สวยเราอยู่เบื้องหน้าไม่ได้หรอก ในตอนนั้นเลยคิดถึงการเป็นดีเจ หรืออะไรที่มันเป็นเบื้องหลัง ก็ตั้งเป้าจะเรียนสายบันเทิง และต้องในกรุงเทพฯ เราจะเป็น ‘ดอกหญ้าในป่าปูน’ ให้ได้
พอรู้ว่าสอบติด ก็ตื่นเต้นมาก เรารู้ว่าต้องใช้ชีวิตยังไง จัดการเรื่องเงินยังไง เพราะเราโตมาอย่างสู้ชีวิตในระดับหนึ่ง แล้วก็ดูละครวัยรุ่นที่เขาเรียนในกรุงเทพฯ มาด้วย เตรียมตัวไว้พร้อมมาก (หัวเราะ) และสิ่งหนึ่งที่ต้องจำขึ้นใจเสมอคือการปลูกฝังของพ่อ ‘ต้องรักดี’ คือคำพูดของพ่อ ที่หล่อหลอมเรามาตลอด จะปาร์ตี้รื่นเริงแค่ไหนต้องรักดี ‘อย่าเล่นยา’ เพราะไม่ใช่แค่เราเดือดร้อน พ่อแม่ก็เดือดร้อนด้วย นั่นคือสิ่งที่ควบคุมตัวเอง แม้จะเฉียดกับสิ่งยั่วยุมากแค่ไหน ก็ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำเลย”
10 TRASHER คือประตูบานแรกสู่วงการบันเทิงใช่ไหม
“กลายเป็นว่าเครือข่ายของการเข้าสู่วงการบันเทิงมาจากคณะโบราณคดีนี่แหละ คือที่ๆ ทำให้เราเข้ามาอยู่ในกลุ่มของ TRASHER BANGKOK คือกลุ่มที่จัดปาร์ตี้ ทำคลิปวิดีโอเล่นกัน ทำวิดีโอ Parody หรือวิดีโอล้อเลียน สมัย 5-6 ปีที่แล้ว ที่บ้านเรายังไม่มีใครทำเลย
ด้วยความที่เราเป็นเด็กหน้าคณะ และสนิทกับรุ่นพี่ที่โตกว่าเราหนึ่งปี เขาให้ทำอะไร ร้อง เล่น เต้น เดินแบบ ก็บ้าจี้ทำหมด จนช่วงที่รุ่นพี่ขึ้นปี 4 เขาเริ่มว่างและจัดปาร์ตี้กันเองเล่นๆ ขึ้นมา จำได้เลยว่าปาร์ตี้แรกของกลุ่มจัดที่ Café De Moc มีค่าบัตรเข้างาน 50 บาท ซึ่งก็เกณฑ์คนกันเองไปค่ะ เปิดเพลงตามสไตล์เรา ปรากฏว่าสนุกมาก คนพูดถึง Trasher แบบปากต่อปาก จนมีจัดอีกหลายครั้งตามมา
ต่อด้วยการทำคลิป ช่วงนั้นความนิยมของ Youtube กำลังเริ่มต้น ประจวบกับว่าน้ำท่วมกรุงเทพฯ รุ่นพี่เขาไปทำงานกันไม่ได้ ก็ เริ่มหาอะไรทำกันสนุกๆ ก็ปิ๊งไอเดียจะทำ Parody ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องใหม่หรอก แต่บ้านเรายังไม่ค่อยมี แต่ทางฟิลิปินส์เขามีมาสักพักแล้ว กะเทยไทยไม่ยอมสิคะ ทำบ้าง คลิปแรกก็ดังในระดับหนึ่งคือเพลง ‘Someone Like You’ (Ardele, 2011) คลิปนั้นเรายังไม่ได้แสดง แล้วก็เริ่มมีมาเรื่อยๆ เราได้แสดงเต็มตัวก็ ‘All I Want for Christmas Is You’ (Mariah Carry,1994) และเริ่มทยอยทำกันมาเรื่อยๆ จนคนเริ่มรู้จักทั้ง Trasher และเจนนี่ ประจวบกับพี่ๆ ที่จบไป มีงานทำในวงการบันเทิงกัน พอเขาหาคนเขาก็คิดถึงเรา ก็ชวนเราไปด้วย”
11 มิวสิควิดีโอพาโรดี้ไหนใน TRASHER BANGKOK ที่เจนนี่ชอบมากที่สุด
“ความจริงก็ชอบทั้งหมดค่ะ แต่ถ้าให้เลือกคงเป็น ‘‘We Found Love’ (Rihanna, 2011) เพราะเป็นเอ็มวีตัวแรกที่พวกเราตั้งใจทำมาก คือตั้งใจจะก๊อปปี้ทุกอย่างแบบช็อตต่อช็อตเลย ทำงานแบบจิตอาสาด้วย ใช้เงิน 3,000 บาทมั้ง พร็อพก็ช่วยกันหามาเท่าที่มี ส่วนเราก็แอ็คติ้งทุกอย่างแบบ Rihanna เป๊ะๆ เอาให้เหมือนที่สุด พอทุกอย่างจบ ทุกคนในทีมชอบมาก เรารู้สึกว่าเราทำได้ในทุนต่ำๆ ซึ่งคนทั่วโลกก็ชอบไปด้วย ยอดวิวสูง แถมคนต่างชาติดูเยอะมาก ก็ปลื้มมากสิคะ
แล้วก็มีอีกเอ็มวีหนึ่ง ‘The One that Got Away’ (Katy Perry, 2011) ประทับใจมากก็ตอนที่เจ้าตัว (Katy Perry) ทวิตถึงผลงานเรา กรี๊ดลั่น เหมือนมงลง เพราะแม่มาชมเองค่ะ (หัวเราะ)”
12 แล้วชื่อของ เจนนี่ ปาหนัน เกิดตอนไหน?
“ช่วงที่ช่วยพี่ๆ ทำงานอยู่ที่ Channel V Thailand เราเป็นเบื้องหลังจนคนเริ่มรู้จัก เริ่มสนิทก็จะเอาเราไปเป็นหน้าม้าในรายการบ่อยๆ จนเริ่มมีตัวตนในรายการ เราคิดว่าต้องมีชื่อแบบชาวบ้านบ้าง ชื่อเจนนี่เฉยๆ มันไม่สวยพอ เราก็คิดว่าจะเอาชื่ออะไรมาต่อดี ชื่อที่บ่งบอกตัวเองมากที่สุด คำว่า ‘ปาหนัน’ ก็แวบขึ้นมาในสมอง มันฟังดูเป็นสาวใต้แสนสวย แล้วทุกคนก็รู้จักเราในฐานะ ‘เจนนี่ ปาหนัน’
13 ทำไมยังต้องมี สมิหลา เจ อีก
“(หัวเราะ) จริงๆ ไม่ใช่ตัวเราเลยค่ะ เราไม่ได้สายแร็ปเปอร์ แต่เวลาถ่ายเทยเที่ยวไทย เราจะชอบแซวตากล้องคนหนึ่งซึ่งเขามีบุคลิกแบบฮิปฮอป แนวๆ Rap Is Now พี่ป๋อมแป๋มเลยให้เราลองแร็ปแซวเขาเป็นสำเนียงใต้หน่อย เราก็แต่งให้เขานะ แล้วทีนี้เรารู้สึกว่าจะเป็นแร็ปเปอร์ ต้องมีนิคเนมแบบเมืองนอกนะ มีตัวย่อแทนชื่อ ที่ฟังแล้วเท่ๆ คูลๆ เอาแล้ว เจนนี่ก็คิดอีกสิ.. ต้องเป็นสาวใต้ด้วย ก็เลยนึกถึงชื่ออะไรที่เป็นทะเล บวกกับชื่อเจนนี่ มาลงเอยที่ ‘สมิหลา เจ’”
14 กลับมาต่อที่เส้นทาง จาก Channel V ถูกจีบไปไหนต่ออีก
“เราเป็นครีเอทีฟที่ Channel V อยู่ปีนิดๆ พี่ในทีม Trasher หลายคนย้ายไปอยู่ค่ายแกรมมี่ ก็เริ่มมีเสียงกระซิบว่าทางแกรมมี่เขาสนใจมึงนะอีเจน... เฮ้ย ทำไมเราสวยมากขนาดนั้นล่ะ (หัวเราะ) ช่อง Bang Channel เลยนะเว้ยยย ช่องฮิตของวัยรุ่นตอนนั้นเลยนะ คือเราเคยคิดว่าการจะทำงานแกรมมี่ได้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ รู้สึกว่าต้องเรียนจบจุฬาฯ เท่านั้น อะไรแบบนี้ สุดท้ายเขารับเราเข้าทำงาน”
15 งานเบื้องหน้าเริ่มต้นอย่างไร
“เราทำงานเบื้องหลังในฐานะครีเอทีฟอยู่ 2 ปีกว่า เริ่มมีการโผล่ไปเป็นเบื้องหน้าเล็กน้อย คลิปสั้นๆ ในรายการ 2 piece 2 please รายการหลักเขาพาไปทำภารกิจต่างๆ ในรูปแบบที่หรู แพง ของเราจะทำภารกิจในโจทย์เดียวกัน แต่ราคาถูกกว่า เช่น เขาไปกินอาหารประเภทเส้นในร้านหรูๆ ของเราก็กินอาหารเส้นเหมือนกัน แต่ราคาประหยัด ช็อปปิ้งเหมือนกันแต่ราคาถูกกว่า อะไรทำนองนี้”

16 การเป็นหนึ่งในพิธีกรอีกคนของ เทยเที่ยวไทย เป็นอย่างไรบ้าง
“เราเป็นหนึ่งในทีมครีเอทีฟของรายการเทยเที่ยวไทยอยู่แล้ว ซึ่งถ้าใครติดตามก็คงเห็นว่าเจนนี่โผล่หน้าในรายการมาตลอด จนวันหนึ่งพี่ป๋อมแป๋มชวนให้มาเป็นพิธีกรเต็มตัวด้วย
เราไม่อยากเป็นด้วยหลายเหตุผล อย่างแรกเลยคือ เรารู้สึกว่าพี่ๆ สามเทย ทั้งพี่ป๋อมแป๋ม พี่กอล์ฟ และพี่ก็อตจิ เขาเก่งมาก คนติดภาพของพี่ๆ ไปแล้ว เราไม่มั่นใจว่าถ้ามีเราไปแจมแบบเต็มตัวมันจะสนุกไหม จนพี่แป๋มเรียกไปคุย และเชียร์เราสุดตัว จนเริ่มมีกำลังใจ เพราะเราเชื่อมั่นในตัวพี่แป๋มอยู่แล้ว เขาเก่ง เราเห็นว่าเขามองอะไรขาด ถ้าไม่มั่นใจเขาจะไม่ตัดสินใจทำ ‘พี่ว่าหนูเป็นคนมีของ หนูทำได้’ มันเลยทำให้เราตัดสินใจทำ”
17 WRONG SAY DO เป็นรายการที่คนแชร์เยอะมาก เจนนี่พูดภาษาอังกฤษ ไม่เป็นเหมือนในรายการจริงๆ หรือ?
“คือเราเป็นคนพูดภาษาอังกฤษแบบนั้นเป็นปกติ ไอเดียรายการนี้เกิดจากเจนนี่ไปออกรายการ คบตุ๊ดไม่หลุดเทรนด์ เราต้องคุยกับฝรั่งสั้นๆ คุยแบบที่เห็นในรายการ Wrong Say Do นั่นแหละ แล้วรายการเขาตัดเป็นคลิปช่วงที่เจนนี่พูด ปรากฏว่าคนแชร์เป็นล้าน ก็เลยลองเอามาต่อยอดเป็นรายการเลย”
18 ไหนใครบอกว่าเรียนศิลป์ภาษามา ทำไมไม่เก่งภาษา?
“เรียนฝรั่งเศสไม่ได้หมายความว่าจะพูดภาษาอังกฤษได้นะคะ และความจริงภาษาฝรั่งเศสก็ไม่ได้ดีเช่นกัน (หัวเราะ) ต้องบอกก่อนว่าที่เราเลือกเรียนศิลป์ภาษาฝรั่งเศส ก็เพราะว่าตอนนั้นโรงเรียนไม่มีศิลป์ภาษาอย่างอื่น และเป้าหมายของเราคืออยากเรียนนิเทศฯ อยากทำงานวงการบันเทิง เราก็เลยต้องเรียน ตอนแรกก็สนุกดีนะภาษาฝรั่งเศส แต่เรียนไปเรียนมาทำไมมันไม่เก่งสักที จนตอนจะเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เห็นคะแนนเอ็นทรานซ์แล้วไม่น่าจะได้เรียนนิเทศ เราก็เลือกคณะโบราณคดี เอกภาษาฝรั่งเศส มหาวิทยาลัยศิลปากร คิดว่าภาษาน่าจะดีขึ้นบ้าง แต่สุดท้ายทั้งฝรั่งเศสและภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ดีขึ้น
ยอมรับว่าเราเองก็พยายามไม่มากพอด้วย เราแค่อยากเรียนนิเทศเท่านั้นเอง เป้าหมายยังคิดเลยว่าต้องเรียนต่อปริญญาตรีด้านนิเทศ หรือวารสารให้ได้ เพราะตอนป.ตรีเรียนไม่ได้แล้ว ก็ต้องเรียนต่อ สมัยนั้นเราเอาชีวิตผูกค่านิยมว่า ถ้าอยากทำงานอะไร ต้องเรียนให้ตรงสายกับงานที่อยากทำ เช่น อยากทำงานวงการบันเทิง ก็ต้องเรียนสายนี้”
19 สรุปว่าได้เรียนต่อสมความตั้งใจไหม
“หลังจบ ป.ตรี กะว่าจะเรียนต่อก็พลาดไปตั้งแต่ปีแรกเพราะความโง่ของตัวเอง ที่ไม่รู้ว่าเขาต้องมีการสอบวัดความรู้ภาษาอังกฤษด้วย ก็ทำงานเป็นฟรีแลนซ์หาเงินเป็นจ๊อบๆ ไป ได้ไปเป็นผู้จัดการร้านอาหารอยู่ 5 เดือน มีอะไรให้ทำแลกเงินก็ทำ ถ้าถามว่าไม่ชอบช่วงชีวิตไหนที่สุด ก็ช่วงนี้แหละที่ดูตัวเองไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันที่สุดค่ะ จนมาปีที่ 2 เราสอบติดป.โทสมใจ ที่ธรรมศาสตร์ โอ้โหดีใจมาก รู้สึกว่าพ่อแม่ต้องสรรเสริญเรา”
20 ช่วยเล่าถึงช่วงชีวิตนักศึกษาปริญญาโทให้ฟังหน่อย
“ช่วงที่กำลังเริ่มต้นเรียน ความบังเอิญครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตก็เกิดขึ้น เป็นช่วงชีวิตที่โอกาสดีๆ เข้ามาพร้อมๆ กัน ซึ่งเหมือนเป็นบททดสอบชีวิตให้เราเลือกเลย
ต้องเล่าย้อนก่อนว่าตอนที่สอบติดป.โท ต่ออีกสักนิด เป็นช่วงที่คนเริ่มรู้จัก Trasher แล้ว และคนก็คุ้นหน้าคุ้นตาเราแล้วเช่นกัน รุ่นพี่ที่ทำอยู่ Channel V ช่วยผลักดันเราเข้าไปทำงานแทนคนเก่าที่ลาออกไป และทางนั้นก็สนใจเราเพราะผลงานจาก Thrasher และในตอนต้นเราตั้งใจลองเรียนไปทำงานไปดูสักตั้ง เริ่มรู้สึกว่าทำให้ดีพร้อมกันไม่ได้ ทบทวนหลายครั้งมาก จนได้คำตอบว่า การทำงานก็คือการเรียนเหมือนกัน เป็นการเรียนภาคปฏิบัติของจริง ประสบการณ์จริงกว่าอีก และที่สำคัญมีเงินเลี้ยงตัวเองด้วยแล้วชีวิตก็เป็นอย่างที่บอกไปตอนต้นค่ะ”
21 ขอถามความรู้สึกของชีวิตหลังการเป็นเบื้องหน้าอย่างเต็มอีกครั้ง
“กว่าจะมีวันนี้สะบักสะบอมมาก ช่วงแรกฟี้ดแบ๊กของเทยเที่ยวไทยมีแต่ลบทั้งนั้น คนไม่ถึงขั้นเกลียดการมีอยู่ของเรา แต่จะมีคอมเมนต์ทำนองว่า ‘เจนนี่ไม่เห็นตลกเลย’ เจอแบบนี้ก็เฟลมากสิคะ จนพี่แป๋มเรียกไปคุย และเตือนสติเราว่า ‘มึงเป็นพิธีกร ไม่ใช่ครีเอทีฟแล้วนะ ต้องหลุดออกจากภาพคนคิดงาน แต่ต้องเป็นคนนำเสนอแล้ว ต้องพูด ต้องเล่น ต้องทำให้คนได้เห็น ได้ยินตัวมึง’ คือเราเริ่มเก็ตว่าเราไม่แสดงออก เราหาตัวเองไม่เจอ ก็ค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาตัวเอง ใส่ความเป็นตัวเองลงไปมากขึ้น การพูดการจา มุข และตัวตนเรา คนก็เริ่มยอมรับมากขึ้น แต่ไม่ได้บอกว่าเราเก่งขึ้นนะคะ ก็ยังคงพัฒนาไปเรื่อยๆ
หลังจากนั้นงานเบื้องหน้าก็ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ เราก็เปิดรับ เพราะรู้สึกว่าว่าไหนๆ โอกาสก็มาแล้วก็ต้องรับ แล้วก็ตัดสินใจว่าถ้าอย่างนั้นก็ขอลุยงานเบื้องหน้าเต็มตัวไปเลย เราไม่อยากเอาเปรียบบริษัทที่ทำงานเบื้องหลังและรับงานเบื้องหน้าไปด้วย มันจะทำให้เราทำงานไม่เต็มที่ ขอผันตัวมาทำงานเบื้องหน้าเลย ทั้งเล่นละคร และพิธีกร แต่เราก็พูดกับเขาตรงๆ ว่าถ้ามันไม่โอเค ขอโอกาสกลับมาทำงานเบื้องหลังเหมือนเดิมได้ไหม ซึ่งทางผู้ใหญ่ก็ให้โอกาสเรา ที่เราเดินมาได้ขนาดนี้ก็ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ทางแกรมมี่มากๆ “
22 ตอนนี้ได้ทำงานในวงการบันเทิงแล้ว เป็นอย่างที่เคยคิดไว้ไหม
“เราเคยคิดไว้แค่ได้ทำงานเบื้องหลังสายบันเทิงก็พอ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะอยู่เบื้องหน้า สมัยก่อนงานเบื้องหน้าคือคนหล่อคนสวยเท่านั้น ไม่เหมือนสมัยนี้ที่เอาความสามารถ หรือคาร์แรกเตอร์เด่นก็มีโอกาสได้อยู่เบื้องหน้าแล้ว เราเลยไม่เคยตั้งเป้าหมายอะไรขนาดนั้น ซึ่งถ้าถามว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไร ต้องบอกว่าสำเร็จแล้วล่ะสำหรับเรา ระดับของเราค่อยๆ เพิ่มขึ้น 7 8 9 ไปเรื่อยๆ แบบนี้ อาจจะไม่เข้าใกล้ 100 แต่แค่นี้ก็มากพอแล้ว”
23 เรารู้มาว่าคุณเคยอยากเป็นนายกแห่งวงการ LGBT เป็นเรื่องจริงไหม
“ด้วยความที่เราใช้ชีวิตกับเพื่อนๆ พี่ๆ ที่เป็นเหมือนเรา มันเหมือนซึมซับการเรียกร้องพลังแห่งความเท่าเทียมในหมู่ LGBT ให้เกิดขึ้น ส่วนตัวเราจริงๆ ไม่ค่อยได้รับผลกระทบมาก เพราะต้องบอกว่าคนไทยจำนวนไม่น้อยก็เปิดกว้างกับตุ๊ด กะเทย แต่ก็ไม่เสมอไป ปัญหาที่เจอบ่อยมากคือการเข้าห้องน้ำ สายตาเวลาที่เขามองเราตอนเข้าห้องน้ำมันค่อนข้างอึดอัด ก็เข้าใจว่ากายภาพเราแตกต่าง บางทีเข้าห้องน้ำชาย ผู้ชายก็ตกใจ เข้าห้องน้ำหญิงผู้หญิงก็กลัว การแสดงออกเหล่านี้มากน้อยแตกต่างกัน คือบางครั้งเราแค่อยากให้มองเราเป็นธรรมชาติมากขึ้น คงไม่ต้องถึงขั้นสร้างห้องน้ำให้กะเทย แต่อยากให้มองเราอย่างเท่าเทียมกันในสังคมมากขึ้นค่ะ”
24 ทำไมเจนนี่ไม่เคยพูดถึงความรักของตัวเองบ้างเลย
“เพราะว่าตลอด 31 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยมีแฟนเลยค่ะ บางทีก็ถามตรงๆ แบบไม่เข้าข้างตัวเองแล้วว่า ‘หน้าเราเหี้-ยมากหรอ’ แต่ไม่เคยได้คำตอบเลย (หัวเราะ)”
25 ถ้าอย่างนั้นเจนนี่ก็ไม่ได้เป็นสาวใจกล้าอย่างที่หลายคนเข้าใจ?
“ภาพที่คนเห็นคือ อีเจนนี่ต้องแรดมาก ต้องมั่วผู้ชายไม่เลือกแน่ๆ แขกรับเชิญในรายการต้องไม่รอดสักราย แต่เจนนี่ไม่เคยมีแฟน จริงๆ ยอมรับว่าอ่อนต่อโลกด้านความรักมาก ไม่ได้ตั้งใจถือพรหมจรรย์ด้วย อยากเสียด้วยซ้ำ (หัวเราะ) เอาจริงๆ เลยนะคะ เห็นแบบนี้ แต่เราจริงจังและให้ความสำคัญกับความรักมาก ความรักของเราเหมือนนิยายไยไหมสมัยก่อน ความรักคือสิ่งสวยงาม เราจะไม่ปล่อยตัว เราจะต้องมีเพศสัมพันธ์กับคนที่เรารักเท่านั้น แล้วที่ผ่านมาความรักเราไม่เคยประสบความสำเร็จเลย เรียกง่ายๆ ว่าเราไม่เคยคบใครเป็นแฟน มีแต่แอบชอบเขา และเราไม่มั่นใจเรื่องรูปลักษณ์ตัวเอง แถมขี้อายด้วยพอเป็นเรื่องแบบนี้ ก็เลยไม่กล้าเข้าหาใครก่อน เคยแต่แอบชอบ แต่ก็ไม่สมหวังบ่อย จนกลัวความรัก”

26 มีผู้ชายในสเปคไหม
“เราชอบผู้ชายน่ารัก ชอบคนยิ้มง่าย คาแร็กเตอร์ของผู้ชายน่ารัก มีความเป็นเด็กในตัวเอง มันดูอ้อนๆ เวลาอยู่ด้วยมันจะยิ้มตามไปด้วย โอ๊ยยยยย เขิน”
27 ไม่มั่นใจรูปลักษณ์ ไม่คิดอยากทำศัลยกรรมบ้างหรือ?
“ไม่ค่ะ ถึงจะไม่มั่นใจรูปร่างหน้าตา แต่ ณ ตอนนี้ไม่เคยคิดว่าจะทำศัลยกรรม เหตุผลแรกเลยคือ เราไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงหน้าตาตัวเองขนาดนั้น สองคือเจนนี่รู้ตัวว่าเราไม่สวย แต่เรารู้ว่าเรามีคาร์แรกเตอร์ของตัวเอง และเราชอบสิ่งนี้ ที่สำคัญเรารู้ว่าการที่เรามีคนรู้จักมีชื่อเสียงมาได้จนถึงตอนนี้ก็เพราะคาแรกเตอร์ของเรา ความแปลกนิดๆ สกปรกหน่อยๆ นี่แหละที่ทำให้คนรู้จักเรา (หัวเราะ)”
28 แล้วเคยอยากแปลงเพศไหม?
“ตอนนี้ยังไม่คิดจะผ่าตัดแปลงเพศ แต่เริ่มลองทำอะไรที่เพิ่มความเป็นหญิงมากขึ้น เช่นการลองปรับฮอร์โมน เพิ่มฮอร์โมนเพศหญิงเข้าไป เจนนี่ไม่เหมือนคนอื่นที่เขากินยาคุมตั้งแต่เด็ก จนอายุ 31 เพิ่งจะเริ่มสนใจ เริ่มปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพราะที่ผ่านมาไม่กล้าลองอะไร ชีวิตตุ๊ดคนนี้เลยดูแมนๆ ไปหน่อย อ้อ... แต่เราวางแผนไว้ว่าพอเราเริ่มมีความเป็นหญิงทางกายภาพขึ้นมาบ้าง เราอยากทำนมนะ มันน่าจะทำให้รูปร่างเราดูดีขึ้น ใส่เสื้อผ้าสวยขึ้น น่าจะส่งผลดีในรูปลักษณ์และงานของเราด้วย ส่วนอื่นๆ คงต้องรอดูในอนาคตค่ะ เราอาจจะมีความคิดเปลี่ยนไปจากตอนนี้”
29 ได้ข่าวว่าเจนนี่ชอบทำ Best & Worst
“เราเพิ่งมาเริ่มจัดลำดับ Best & Worst ทุกสิ้นปีของตัวเองเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เอง เพราะคิดว่ามันมีประโยชน์กับเรา เอาไว้ดูว่าเราทำอะไรไปบ้าง เพื่อปีต่อไปจะได้รู้วีเราควรเริ่มทำอะไรใหม่ๆ ให้ดีขึ้นกว่าเดิมบ้าง”
30 แล้วสิ่งที่ประเมินได้ในปีที่ผ่านมาคือ
“หลายคนมองว่าเจนนี่มีคนรู้จักมากขึ้นตลอดปีที่ผ่านมา ซึ่งนั่นก็จริงในแง่ของหน้าที่การงาน อย่างแรกเลยเรารู้สึกว่าเราต้องพยายามแต่งตัวให้ดีกว่าเดิม ใส่ความเป็นแฟชั่นมากขึ้น เพราะเราเริ่มอยู่เบื้องหน้าแล้ว หน้าตาไม่ดีอยู่แล้ว ยังแต่งตัวไม่ดีอีก คงจะไม่งามนะคะ ก็ต้องใส่ใจการแต่งตัวมากขึ้น
ต่อมาคือพอเรามีคนรู้จักมากขึ้น ความเป็นส่วนตัวย่อมต้องลดลงตามมา โดยเฉพาะในโลกโซเชียลอย่างเฟซบุ๊กของเรา จากที่เมื่อก่อนเราชอบโพสต์ระบายความรู้สึกไปหมดเลยในนั้น ไม่ว่าจะดีใจ เสียใจ โกรธเกรี้ยว ทุกอารมณ์อยู่ในนั้น เหงา เศร้า เปล่าเปลี่ยว แอบรัก แต่มาตอนนี้เริ่มคิดได้ว่า ทำแบบนั้นไม่ได้แล้ว เพราะไม่ว่าอย่างไรก็จะมีคนจำนวนหนึ่งตัดสินเราจากสเตตัสที่เขาอ่าน ที่เขาเห็น เราเลยตั้งเป้าว่าต่อจากนี้ จะลดความเกรี้ยวกราด การแสดงอารมณ์ เรื่องส่วนตัวและแสดงความเห็นต่างๆ ในโลกโซเชียลให้น้อยลง เลือกแชร์เรื่องงานหรือช่วยโปรโมทกิจกรรมที่คิดว่าดีต่อตัวเองและสังคมมากกว่า”
31 แล้วปีหน้าของเจนนี่ตั้งใจไว้อย่างไรบ้าง
“นอกจากการแสดงออกในโลกออนไลน์แล้ว เจนนี่ตั้งใจจะดูแลสุขภาพมากขึ้น เพราะปีที่ผ่านมาเราป่วยบ่อยมาก เหมือนใช้ชีวิตเยอะไป พอเจ็บป่วยมันกระทบเรื่องงานอย่างเห็นได้ชัด ตอนนี้ก็ไปสมัครสมาชิกฟิตเนสเรียบร้อยแล้วค่ะ
เจนนี่ว่าการตั้งเป้าหมายในชีวิตมันมาจากหลายอย่างได้ มาจากตัวเองหนึ่ง มาจากสิ่งรอบตัวก็ได้เช่นกัน แล้วบังเอิญว่าไปอ่านเจอบทความหนึ่ง ว่าด้วยสิ่งที่คนอายุ 30 ควรทำ มันมีหลายข้อที่โดนใจมากๆ หนึ่งในนั้นคือ เราต้องลองเรียนภาษาใหม่ๆ ดู มันสะกิดใจเรามาก เพราะเราไม่เก่งภาษา เรารู้สึกว่ามันช่วยพัฒนาตัวเอง และหน้าที่การงานด้วย เผื่อภาษาเก่งขึ้นเรื่อยๆ อาจจะมีผัวก็ได้นะ (หัวเราะ)
ต่อมาเจนนี่อยากเรียนขับรถและเรียนกีตาร์ค่ะ คือบางทีเราเดินทางลำบาก วันๆ ต้องไปทำงานหลายที่ ขับรถเป็นก็น่าจะดี ส่วนเล่นกีตาร์นี่เป็นความตั้งใจวัยเด็กเลย เราชอบปาร์ตี้ และนั่งล้อมวงสังสรรค์กัน แต่ในกลุ่มที่มีแต่เพื่อนสาว ตุ๊ดและกะเทยไม่มีใครเล่นดนตรีเป็น ซึ่งมันควรมี มันน่าจะสนุกขึ้น เอาวะ... เล่นเองก็ได้ แต่ขอไปเรียนก่อน”