Interview – Young Daddy อติล่า อาร์เธอร์

Written by  
11.05.18 529 views

Young Daddy – อติล่า  อาร์เธอร์  อภิชาติ  กานโยซ์ หนุ่มหล่อพ่อลูกอ่อนผู้ขโมยหัวใจสาวๆ  ทั้งประเทศ  รวมไปถึงเมนเทอร์ทุกทีมก็ว่าได้  ด้วยรอยยิ้มและความมั่นใจที่เป็นตัวของตัวเอง 


ทำไมถึงตัดสินใจกลับมาแข่งอีกอีกครั้งใน The Face Thailand All Stars 

ตอนแรกก็ลังเลนะครับ  เพราะเราเพิ่งเสร็จ The Face Men ไป  ยังเหนื่อย  พูดตรงๆ  คือยังไม่ฟื้น  แต่มานั่งคิดอีกทีว่ามันก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้แก้มือจาก Final Walk ของ The Face Men ที่ผ่านไป  ก็เลยตัดสินใจว่าเอ้า! ลุยก็ลุย  ยังไงก็มีแต่สิ่งดีๆ  ที่ได้จากตรงนั้น  ได้พัฒนาศักยภาพตัวเอง  มันก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะได้ทำมันให้ดียิ่งขึ้น

แล้วรู้มั้ยว่าการมาแข่ง All Stars คือเราแข่งกับผู้หญิงด้วย

รู้ครับ

อ้าว แสดงว่าฝั่งผู้ชายรู้ แต่ฝั่งผู้หญิงไม่รู้

ใช่ครับ  ถูกต้อง 

แล้วพอรู้ยังงี้รู้สึกมั้ยว่าจะเสียเปรียบ

ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าฝั่งโปรดักชั่นเฮาส์เขาเตรียมทุกอย่างมายังไง  ก็คิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรขนาดนั้น  มันไม่น่าจะส่งผลอะไรขนาดนั้น  แต่ไปๆ  มาๆ  มันก็ใช่  บางทีผู้ชายก็อาจจะมีการเสียเปรียบนิดนึง  แข่งไปงั้นๆ  ไม่เห็นจะมีโอกาสชนะอะไร

รู้สึกบ้างไหมว่าเวลาแข่งเราเป็นแค่ตัวประกอบของผู้หญิง

มันรู้สึกหลังจากตอนที่ถ่ายมาครึ่งนึงอะครับ  ก็รู้สึกว่าเมื่อไหร่จะมีแคมเปญแบบเดี่ยวๆ  สักที  ที่จะได้แสดงศักยภาพ  ความรู้สึกนั้นก็ตามมาตลอด  มันไม่ใช่ความรู้สึกที่แย่  แต่รู้สึกแบบมาทำไมอะ เพื่ออะไร  ข้อดีของมันก็คือเราไม่ค่อยมีความกดดัน เพราะเขาก็ไปตัดสินที่ผู้หญิง 

แต่เราก็มีสิทธิ์ที่เมนเทอร์จะส่งเราไปห้องดำ

ใช่  แต่คิดซะว่าถ้าเราไม่พลาด  เราก็อยู่ไปเรื่อยๆ  แต่ก็ไม่ใช่ว่าสบายนะครับ  สุดท้ายแล้วก็ต้องทำเพื่อซัพพอร์ตทีมตัวเอง  เพราะช่วงแรกๆ  ก็ชนะกันเป็นทีม

แล้วบรรยากาศมันแตกต่างจากตอน The Face Men มากไหม

บรรยากาศมันคล้ายๆ The Face Men นะครับ  อาจเพราะมีผู้ชายก็ได้  ผู้หญิงก็เลยดูแฮปปี้  ไม่ค่อยกดดัน  เราผู้ชายด้วยกันก็สนุกสนานกันอยู่แล้ว  แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือแต่ละคนที่กลับมา All Stars อยากจะมาแก้มือกัน  มาใส่เต็ม 100-200 เปอร์เซ็นต์มันก็เลยน่าสนใจ  ก็ทำให้เราได้เรียนรู้จากผู้เข้าแข่งขันทุกคน 

รู้สึกว่าตัวเองได้เปรียบมั้ย เพราะสาวๆ ก็กรี๊ดเราอยู่แล้ว

ไม่รู้นะครับ  ไม่ได้รู้สึกว่าได้เปรียบ  รู้สึกว่าสุดท้ายแล้วถ้าเราได้รับโจทย์อะไรมาแล้วเราทำไม่เป็น  ไม่กล้าลงมือทำ  มันก็เสียเปรียบอยู่ดี  มันอยู่ที่การเผชิญกับความกลัว  เราต้องหัวไวมากๆ  การทำแคมเปญใน The Face เวลามันน้อยมาก  เราคิดคอนเทนต์หรือคอนเซ็ปต์ขึ้นมาก็ต้องลงมือทำเลย  มันไม่มีเวลาที่จะมา..เฮ้ย  จะดีปะวะ  มันมีแค่ 30 วิ  ก็ต้องตัดสินใจทำเลย  สำหรับคนอย่างผมที่ชอบคิดมาก่อนจะลงมือทำว่าจะดีหรือไม่ดี  ในชีวิตปกติคือเราเป็นคนชอบวางแผนไว้ก่อน  แต่ The Face ทำให้ผมเป็นที่คิดแล้วทำเลย 

แสดงว่าเป็นคนคีพลุคเหมือนกัน

ช่วงแรกๆ  ใช่


กลัวดูไม่หล่อเหรอ

ไม่ใช่ว่ากลัวดูไม่หล่อ  คือเรามาจากสวิตเซอร์แลนด์  คนก็ไม่ค่อยสนใจหรอกว่าจะหน้าตายังไง  แต่พอมาเมืองไทยเราก็ต้องปรับตัวเข้ากับสังคมไทย  แล้วก็มีความรู้สึกว่าสังคมไทยให้ความสำคัญมากกับภาพลักษณ์  เราก็พยายามจะปรับตัว  เออ  ถ้าเขาบอกว่าผมหล่อ  ผมก็ต้องหล่อตลอดหรือเปล่า (หัวเราะ) กลายเป็นว่าใน The Face Men ผมก็ดูน่าเบื่อ  มันไม่มีมิติ แล้วก็มาถึง The Face All Stars พอได้อยู่กับสาวๆ  มันกล้าเป็นตัวเอง  จริงๆ  เราเป็นคนเข้ากับผู้หญิงง่ายอยู่แล้วด้วย  เราก็แค่ปล่อยตัวเอง shine ออกมา  แล้วก็กล้าทำ  กล้าเป็นตัวเอง

หรือเป็นเพราะว่าใน The Face Men คือผู้ชายเต็มไปหมด เลยมองเป็นคู่แข่งหรือเปล่า

ก็ด้วยครับ  ยกตัวอย่างแมน  อยู่นิ่งๆ  คนก็ปรบมือตลอด  แมนพูดอะไรก็หล่อ  กลายเป็นผมอยู่นิ่งๆ  แล้วน่าเบื่อ  แต่พอมาอยู่ตรงนี้มีผู้หญิงงุ้งงิ้งๆๆ  อย่างจีน่า  เราก็เอาความเป็นพวกเค้ามาใส่เรา  จริงๆ  เราก็เป็นอยู่แล้ว  แต่ไม่กล้าแสดงออก 

ซีซั่นนี้มีแคมเปญไหนที่ปลดล็อกอติล่า ทำให้รู้สึกว่าไม่ต้องห่วงหล่อแล้วก็ได้

น่าจะเป็นแคมเปญ Shu อ่ะครับ  วันนั้นเป็นการกลับมาของเมนเทอร์พลอยด้วย  ทุกคนก็บอกว่าเฮ้ย  พี่พลอยยังไม่ชนะแคมเปญเลย  เราต้องเต็มที่  มีการส่งไปเรียนเต้นเพื่อให้เรารู้จักการมูฟเมนต์บอดี้ตัวเองด้วย  หลังจากนั้นมาก็เหมือนเราเปลี่ยนไป  ตัดสินใจว่าจะทำอะไรก็ทำไปเลย  ไม่คิดเยอะ 

ตั้งความหวังไว้มากน้อยแค่ไหนในการมาประกวดครั้งนี้ 

ไม่นะครับ  ตอนแรกผมคิดแค่ว่าก็อยู่ไปเรื่อยๆ  ไม่ได้หวังอะไรเลย  ผมอาจจะได้บทเรียนดีๆ  มา  ก่อนหน้านั้นผมรู้สึกว่าไม่ได้เรียนรู้อะไรมากมายเลย  มันเป็นเหมือนกับแค่การลงมือทำในสิ่งที่เรารู้มาอยู่แล้ว  แต่หลังจากแคมเปญ Shu มันเหมือนได้ปลดล็อก  เราจับทางถูก  ผมเป็นคนที่ชอบวางแผนเยอะมาก  วางเป็นระบบๆ  แล้วกลายเป็นทุกอย่างไม่เป็นธรรมชาติ  แต่พอหลังจากนั้นคิดอะไรก็ทำเลย  หลังจากนั้นก็พุ่งขึ้นเรื่อยๆ ผมได้เรียนรู้ว่ายิ่งผมหวัง  ผมจะทำมันออกมาไม่ดีตลอดเลย  ยิ่งผมไม่หวัง  ทำออกมาให้เป็นตัวเอง  สบายๆ  ไม่มีขีดหรือข้อจำกัดมาก  มันก็จะออกมาดูดี

ซีซั่นนี้ไม่มีเข้าห้องดำเลยใช่ไหม

ใช่  ไม่มีเลย  เหมือนช่วงแรกๆ  เขาตัดสินผู้หญิงเยอะ  เราอาจจะมีจุดผิดพลาดในการเดินแบบบ้าง  อย่างแคมเปญ TMB แต่มันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น 

มีแอบเข้าข้างตัวเองไหมว่าไม่เคยเข้าห้องดำเลย อาจจะได้เป็น The Face All Stars 

ไม่คิดครับ  ไม่ได้คิดว่ามันจะส่งผลอะไรขนาดนั้น  เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ต้องไปวัดบนเวทีว่าใครจะสามารถ shine ออร่าของตัวเองออกมาได้ 

แล้ว ตอนนี้กลัวไหมถ้าต้องไป Final Walk 

จริงๆ  ก็ไม่กลัวเลยนะครับ  เหมือนกับว่าเราเรียนรู้จากข้อผิดพลาดมาแล้วไงครับ  เรารู้ว่ายิ่งเราวางแผน  ยิ่งเรากังวล  เรายิ่งจำกัดความเป็นตัวเอง  ก็เลยคิดว่าไปดูหน้างานเลย  วันซ้อมแล้วก็วันจริง

แข่งไปสักพักอยู่ๆ ก็มีข่าวว่าอติล่าเป็นคุณพ่อมือใหม่ เครียดไหม

ไม่ค่อยมีเวลาให้เครียดครับ  เพราะเราอยู่ในการถ่ายทำรายการ


เมนเทอร์รู้อยู่แล้วใช่ไหม

รู้อยู่แล้วครับ  แล้วก็โชคดีด้วยว่าแฟนผมซัพพอร์ตผม  เขาก็เป็นนักสู้  เพราะว่าเขาก็ทำงานจนถึง 9 เดือนเงียบๆ  เราก็ตกลงกันว่าเรายังใหม่นะ  ยังประกวดอยู่  ยังไม่อยากประกาศอะไรให้แฟนคลับรู้  แต่หลังๆ  มา  ผมความรู้สึกว่าเวลาเราไปไหนมาไหนด้วยกัน  เหมือนผมไม่ให้เกียรติเขา  เขาเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความรู้สึก  เราก็รู้สึกว่ามันไม่แฟร์ต่อที่เราต้องใช้ชีวิตแบบลับๆ  ผมก็ปรึกษาผู้ใหญ่ว่าผมไม่ไหวแล้ว  มันถึงเวลาแล้ว  เพราะเดินไปเดินมาแถวบ้านเราคนก็ต้องรู้กันอยู่ดี  ท้องใหญ่ซะขนาดนั้น  ก็เลยบอกพี่เต้ว่าผมไม่ไหวแล้ว  อยากจะประกาศแล้ว 

โดนดุมั้ย

ก็ไม่ได้ดุนะครับ  แต่เขาก็ตกใจเพราะมันไม่ได้อยู่ในแพลน

ก็เซอร์ไพรส์เขาเหมือนกัน

ใช่  เป็นเรื่องดี ผมก็ยินดี  ก็เข้าไปบอกเขาแบบแมนๆ  พี่เต้ครับ  แฟนผมท้อง  แล้วผมก็แฮปปี้

แสดงว่าอติล่าเป็นคนจริงจังกับความรัก

ใช่ๆ  ผมเป็นคนรักเดียวใจเดียว  มีแต่คำว่าแฟน  ไม่มีคนคุย  ถ้าจะมีใจให้ใครสักคนก็ต้องเป็นคนๆ  นั้น  ให้โอกาสเขาจนถึงสุดท้าย

แล้วไม่กลัวเรื่องเรตติ้งตกเหรอ

ช่วงแรกก็มีความกังวล  แต่ผมคิดว่าการไม่ให้เกียรติแฟนไม่ดียิ่งกว่า  เพราะคนๆ  นั้นคือคนที่ใช้ชีวิตกับเราทุกๆ  วัน  คนดูเขาอาจจะบ้ารายการตอนนี้  แต่ผ่านไป 2 เดือนเรตติ้งอาจจะตกด้วยตัวมันอยู่แล้ว  เพราะงั้นผมก็เลยให้เกียรติคนที่ใช้ชีวิตกับผมอยู่ทุกวัน

วันที่น้องคลอดออกมาแล้วรู้สึกยังไงบ้าง

ก็แฮปปี้มากๆ  ตอนแรกก็แอบคุยกับแม่ว่าไม่น่าจะยากขนาดนั้นมั้ง  น่าจะเหมือนกับเลี้ยงแมว ความต้องการก็ไม่ได้มีอะไรมากกว่ากินข้าว  นอน  แล้วก็ขี้  แล้วก็นอนต่อ  แต่กลายเป็นว่าคนละเรื่องกันจริงๆ  อยากจะบอกว่าเด็กคนนี้นะครับเกิดในวันไล่เลี่ยกับผมมาก  เขาเกิดวันที่ 8 แต่จริงๆ  เกิดตอนตี 2 พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น  ก็ถือว่าเกิดวันเดียวกับผมคือวันที่ 7 เป็นอติล่าน้อย  เป็นตัวผม

แล้วโจทย์ใน The Face กับการเลี้ยงลูก อะไรยากกว่ากัน

เลี้ยงลูก (เสียงอ่อย) เพราะเราเป็นสายนายแบบมาอยู่แล้ว  เป็นงานที่เราถนัด  เรารู้มุมกล้อง  รู้ว่าจะขายของอะไรยังไงแบบไหน  แต่การเลี้ยงลูกเป็นอะไรที่ใหม่หมดเลย  แล้วเราก็ตัดสินใจเลี้ยงเองด้วย  ก็เลยไม่มีใครมาชี้แนะว่าต้องทำอะไร  ทุกวันคือวันใหม่  แล้วลูกนิสัยเปลี่ยนทุกวัน  ทุกวันจริงๆ  จากแรกๆ  ที่คิดว่าแค่นี้เอง  กินนมแล้วก็นอน  แล้วก็เปลี่ยนแพมเพิร์ส  แล้วก็นอน  นอนเยอะจัง  สบายนี่หว่า  ผ่านไปแค่ 20 วันเริ่มร้องแอ๊ะๆๆ  เรียกร้องความสนใจแล้ว  ก็ต้องอดทน  การเป็นพ่อเป็นแม่เป็นอะไรที่มหัศจรรย์มาก  กว่าเราจะโตมา  พ่อแม่เทกแคร์เราขนาดไหน  สุดยอดมากๆ  ทำให้ผมรู้บุญคุณของพ่อแม่  กว่าเราจะโตเขาต้องผ่านอะไรมาบ้าง  ยิ่งรักพ่อแม่

เมนเทอร์ช่วยเหลือเรายังไงบ้าง เห่อหลานมั้ย

เป็นคนที่โชคดีมากๆ  นะครับ  ในงาน Baby Shower ทุกคนก็เอาของขวัญมา  พี่พิมเขาก็มีลูกอายุ 2 ขวบกว่าใช่มั้ย  ก็เอารถเข็นมาให้  มีเตียงด้วย  เราโชคดีมากๆ  ของใช้เด็กมีคนให้มาหมดเลย 

อย่างนี้เมนเทอร์พิมสอนเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยมั้ย

ก็มีบ้าง  แต่ส่วนใหญ่เจอกันเราก็อยู่ในโจทย์ของการทำงานแคมเปญ  ก็มีนัดเจอกัน  คุยกัน  ล่าสุดก็พาไปเจอป้าพิม (หัวเราะ) ที่กอง Next Boy Girl Band เขาก็ดีใจ  สนุกดี

กลับมาที่เรื่องการแข่งบ้าง จริงๆ แล้วอติล่าอยากเป็นอย่างอื่นนอกจากนายแบบบ้างไหม

ผมไม่อยากเป็นนายแบบนะ  การใช้ชีวิตเกี่ยวกับภาพเป็นสิ่งที่ผมไม่เข้าใจแล้วก็ไม่ชอบ  ผมเป็นคนที่ชอบคอนเทนต์  ความลึกซึ้งของคน  รู้จักใครคนนึงก็อยากรู้ว่าเขาทำอะไร  เพื่ออะไร  เหตุผลอะไร  จริงๆ  แล้วผมชอบเรื่องศาสนามาก

จริงเหรอ 

ใช่  ก่อนมา The Face ก็เพิ่งบวชมา  อยู่วัดป่าที่อุดรฯ  วัดทุ่งเศรษฐีเราก็ได้แปลบทธรรมจักกัปปวัตนสูตร

อ่านออกเหรอ

แปลภาษาบาลีเป็นอังกฤษอีกที  เราก็แกะทีละคำๆ  ภาษาไทยผมก็แกะเป็นท่อนๆ  เราก็ได้เรียนรู้ถึงกิเลส  ตัณหา  มันอัศจรรย์มากๆ  เป็นเหตุผลที่ผมสึกออกมาเพื่ออยากจะแชร์

จริงๆ แล้วอยากบวชยาวเหรอ

ใช่  ผมมีความสุขมากๆ  จริงๆ  ชีวิตผมมันไม่ได้ขนาดนั้น  เรามีทุกข์ด้วย  เราออกมาแล้วก็เผลอเดินตามกิเลส  กลับไปในวงจรของการเมา  ไปเที่ยวแล้วปาร์ตี้  แต่กว่าจะออกมาได้ผมก็ฝึกวิชากังฟู  ทำให้ผมมุ่งมั่น  ลงมือทำ  ทำให้ผมมาเจอ The Face แล้วก็คว้าโอกาสตรงนี้ไป  ผมสอนกังฟูด้วยนะครับ  สอนวิชาศิลปะป้องกันตัว  แผนในอนาคตคือเป็นอาจารย์สอน  ทุกวันนี้ผมก็สอน  ชีวิตการเป็นนายแบบถ้ากราฟของมันก็คือยิ่งคุณแก่มันก็จะยิ่งลดลงไปๆ  แต่วิชานี้ยิ่งคุณแก่วิชาจะยิ่งดีขึ้น  เพราะคุณฝึกมันอย่างสม่ำเสมอ  แล้วมันจะถึงโมเมนต์ที่มัน cross กัน  พอถึงจุดนั้นวิชามันก็จะดีกว่าการเป็นนายแบบ


อยากเป็นนักแสดงไหม

เป็นอยู่แล้วครับ  จริงๆ  วิชาตรงนั้นพาเราไปเล่นหนังแอ็กชั่นนะครับ  จริงๆ  แผนคือเราอยากจะเป็นโทนี่จา

จริงเหรอ

ใช่  ผมอยากโกอินเตอร์  ไปเจาะตลาดจีน  ฮอลลีวู้ด  หนังแอ็กชั่นนะครับ

แล้วตอนนี้เริ่มมีใครมาติดต่อหรือยัง

ล่าสุดผมเล่นละครของ GMM25 เป็นบทบู๊  เป็นประสบการณ์แรกในการแสดงบทแอ็กชั่น  สนุกมาก  แล้วก็เป็นการฝึกฝนภาษาไทยในตัวด้วย

Final Walk ครั้งนี้ต้องชนะมั้ย

ก็ไม่จำเป็นต้องชนะ  แต่ผมก็มาเพื่อมงอยู่ดีอะครับ  เรามาด้วยเป้าหมายสูงสุด  แต่เราก็ไม่ได้หวังอะไรมากกับมัน  จริงๆ  ทุกวันนี้เราก็สู้เพื่อลูก  ก็คิดว่าถ้าเราชิงมาได้ซักล้านนึงก็คงดี (หัวเราะ) มันอาจจะเป็นของขวัญที่ดีสำหรับลูก  ก็เป็นการปูอนาคตให้เขา

หลายคนพูดว่าอติล่าหล่อขึ้นจากการประกวด The Face Men ไปทำอะไรมาบ้างหรือเปล่า

มีลูก (หัวเราะ) คือเราพบเจอตัวตนแล้ว  พบเจอคนที่ผมอยากจะเป็นในวงการบันเทิงแล้ว  ก็คือเป็นตัวเอง แต่ก่อนผมไม่กล้าเป็นตัวเอง  กลัวว่าคนจะมาคิดอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ดี  เป็นตัวเองนั่นแหละคือสิ่งที่ดีที่สุด