Interview – Uncertainty – โจเซฟ แองจิโล

Written by  
11.05.18 336 views

กราฟชีวิตของโจเซฟ แองจิโล เพียเรร่า ในรายการ The Face Thailand ไม่ต่างไปจากรถไฟเหาะตีลังกาเลยจริงๆ เพราะเมื่อปีก่อน (2560) ที่เข้าร่วมการแข่งขัน The Face Men Thailand เขาเป็นหนึ่งในผู้เข้าแข่งขันที่ไม่เคยเข้าห้องดำเลยสักครั้ง แถมยังชนะแคมเปญสุดท้ายของรายการอีกต่างหาก (แคมเปญภาพยนตร์สั้น) แต่กลับไม่ได้รับโอกาสให้เข้าไปเดินรอบ Final Walk มาปีนี้กับ The Face Thailand All Stars เขายอมโดนคัดออกจากรายการแทนเพื่อนร่วมทีม ก่อนจะถูกเลือกกลับเข้ามาใหม่ พร้อมกับเป็น 1 ใน 7 ผู้เข้าแข่งขันที่มีลุ้นเดิน Final Walk อีกครั้งหนึ่ง

ถามตรงๆ เลยว่ากลัวประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไม่ได้เดิน Final Walk แบบ The Face Men หรือเปล่า

“อย่าถามแบบนั้นสิครับ (หัวเราะ) ตอนนี้ก็แอบเสียวอยู่เหมือนกัน เพราะครั้งแรกที่ผมเข้าแข่งขันใน The Face Men ผมก็เข้าไปถึงรอบสุดท้ายแล้วนะ แต่กลายเป็นว่าไม่ได้เดิน Final Walk ซะอย่างนั้น แต่ผมก็คิดว่าถ้ามันยังไม่ใช่เวลาของผมก็ไม่เป็นไร ปล่อยให้คนอื่นได้ไปดีกว่า พอมาถึง The Face All Stars ผมรู้สึกตั้งแต่แรกแล้วว่าตัวเอง ไม่ใช่สิ ผู้ชายที่เข้าแข่งขันรายการนี้ เหมือนเข้ามาเพื่อเป็นสีสันให้รายการเท่านั้น ไม่ได้มีลุ้นชนะกับเขาหรอก จริงๆ ผมไม่คิดว่าเป็นการแข่งขันด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ตัดสินใจสละสิทธิ์ เพื่อเข้าไปอยู่ในห้องดำแทนเทีย (เทีย ลี่ ทวีพาณิชย์พันธุ์) หรอกครับ เพราะผมคิดว่าตัวเองยังไงก็ไม่ชนะ อาจไม่ได้เดิน Final Walk ด้วย เลยขอเปิดโอกาสให้คนที่มีโอกาสชนะอย่างเทียเข้าไปแทนดีกว่า แต่ผมขอบอกก่อนนะครับว่าตลอดเวลาที่อยู่ในรายการ ผมทำเต็มที่และสุดตัวตลอด”

หมายความว่าคุณถอดใจว่าตัวเองจะชนะตอนสัปดาห์ที่ 9 ใช่ไหม

“อย่าเรียกว่าถอดใจเลยครับ เรียกว่ารู้ตัวดีกว่า แล้วอีกเหตุผลก็คือผมสงสารเทียมากเลยครับ เพราะจากแคมเปญในครั้งนั้นผมคิดว่าเมนเทอร์ต้องเลือกเทียเข้าห้องดำแน่นอน ผมเลยขอเสนอตัวเข้าห้องดำแทน เพราะผมคิดว่าเทียน่าจะไปได้ไกลกว่าผมถ้ารอดจากสัปดาห์นี้ อีกอย่างผมอยากลองเข้าห้องดำดูสักครั้งหนึ่งด้วยครับ (หัวเราะ) เพราะถ้าแข่ง The Face แล้วไม่เข้าห้องดำก็รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปสักอย่าง (หัวเราะ)”


ตอนนั้นมั่นใจได้ยังไงว่าตัวเองเข้าห้องดำแล้วจะได้ออกมา

“ผมคิดว่าไม่ว่าใครเข้าไปก็ต้องถูกคัดออกแน่นอน เพราะผมรู้สึกว่าทีมเราโดนอีก 2 ทีมรุมจนเหลือกันแค่ 3 คนเองครับ ดังนั้นถ้ายังไงทีมเราก็ต้องโดนคัดออกอยู่แล้ว งั้นก็ให้ผู้ชายที่มีโอกาสชนะน้อยกว่าโดนคัดออกดีกว่า ถามว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะทำอีกไหม ผมก็คงจะทำเหมือนเดิมครับ เพราะตอนนั้นทำลงไปด้วยความรู้สึกล้วนๆ เลย”

ตอนนี้ยังคิดแบบนั้นอยู่หรือเปล่า

“ไม่แล้วครับ ตอนนี้คิดว่าบางทีผู้ชายอาจจะชนะก็ได้นะ แล้วผู้ชายคนนั้นก็อาจจะเป็นผมก็ได้ด้วยนะครับ ผมคิดว่าตัวผมในตอนนี้สามารถเอาชนะ The Face All Stars ได้นะครับ ผมมีโอกาสเป็นม้ามืดคนหนึ่งของการแข่งขันในครั้งนี้ แต่ถ้าสุดท้ายมีอะไรพลิกล็อกแบบครั้งก่อน ทำให้ผมโดนคัดออกไม่ได้เดินรอบ Final Walk อีก ผมคงเสียดายมากๆ เลยครับ อาจจะรู้สึกเจ็บมากกว่าเก่าด้วยซ้ำมั้ง”

จะว่าไปแต่ละแคมเปญก็เข้าทางผู้หญิงซะเยอะ ก็ไม่แปลกหรอกที่คุณจะคิดว่าตัวเองเป็นไม้ประดับเท่านั้น

“ใช่ไหมครับ เพราะผู้สนับสนุนหลักก็เป็น Maybelline กับ TRESemme ซึ่งเป็นสินค้าที่ค่อนข้างไกลตัวผู้ชายไปเลย แต่เราไม่ได้รู้สึกแย่นะครับ ถึงผู้ชายจะทำได้แค่ยืนหล่อๆ เท่านั้น (หัวเราะ) เพราะเราคิดแต่แรกแล้วว่าอยากจะมาสนุกให้เต็มที่ แล้วก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์และอะไรดีๆ กลับไปให้เยอะที่สุด”

แบบนี้ผลงานตัดสินก็ต้องเอียงไปที่ผู้หญิงสิ แล้วจะออกมายุติธรรมจริงๆ เหรอ

“หมายถึงไม่ค่อยแฟร์ใช่ไหมครับ ถ้าในแง่ของตัดสินผมไม่คิดว่าแฟร์หรือไม่แฟร์หรอกครับ เพราะคนตัดสินใจคือลูกค้าว่าอยากให้ใครชนะ ก็ในเมื่อเขาเป็นคนจ่ายเงินสนับสนุนก็ต้องมีสิทธิ์เลือกสิ แล้วตัวรายการก็ต้องทำงานออกมาให้ลูกค้ามีความสุข ส่วนลูกค้าจะชอบใครอันนี้เป็นเรื่องที่ไปบังคับกันไม่ได้อยู่แล้ว แต่สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ค่อยเข้าใจวัฒนธรรมการขายของในเมืองไทยคือเวลาจะขายอะไรก็จะเน้นขายอย่างเดียวเลย คนที่จะเป็นพรีเซ็นเตอร์ก็ต้องเข้ากับสินค้า ไม่ค่อยได้ใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไปสักเท่าไร ทั้งที่ถ้าใส่ความคิดสร้างสรรค์ลงไป การขายคงสนุกมากกว่านี้อีกนะ” 

คิดว่าเข้าไปถึง Final Walk แล้วจะเกิดเหตุการณ์อะไรแบบนี้ไหม

“อาจจะเกิดขึ้นก็ได้หรือไม่เกิดขึ้นก็ได้นะครับ แต่ถ้าถามว่าเรารู้ไหมว่าลูกค้าส่วนใหญ่ชอบใครหรือใครเป็นตัวเต็ง เรารู้นะครับ ทุกคนก็น่าจะรู้กันอยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้นเราก็จะให้เต็มที่อย่างสุดชีวิตครับ” 

ตอนนี้มีความมั่นใจแค่ไหนว่าตัวเองจะได้เดิน Final Walk และเป็นผู้ชนะเลิศในท้ายที่สุด

“ค่อนข้างมั่นใจเรื่องความสามารถและทักษะส่วนตัวนะครับ เพราะเราก็ได้สะสมประสบการณ์มาตั้งแต่การทำแคมเปญใน The Face Men มาจนถึง The Face All Stars ก็ถือว่าทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เห็นได้จากที่ซีซั่นนี้ผมชนะมากกว่าซีซั่นก่อนอีกนะครับ ไหนจะเรื่องภาษาไทยที่ตอนนี้ผมพูดได้คล่องขึ้นกว่าเดิมมากแล้ว ดังนั้นเรื่องการสื่อสารก็ยิ่งไม่มีปัญหาเลย”


อยากรู้ว่า Best & Worst ใน The Face Thailand All Stars ของคุณคืออะไร

“สิ่งที่เป็น Best ของผมมีอยู่ 2 อย่างครับ อย่างแรกคือแคมเปญที่มีการดำน้ำ เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบดำน้ำอยู่แล้ว เลยคิดว่าเป็นการแข่งขันที่สนุกมาก แล้วยังท้าทายตัวเองในแง่ของการทำงานด้วยครับ เพราะเราต้องโพสท่าถ่ายรูปให้ออกมาดีทั้งที่อยู่ใต้น้ำ ส่วนอีกแคมเปญที่เป็น Best ก็คงเป็นแดร็กควีน เพราะผมไม่เคยแต่งตัวเป็นผู้หญิงแบบจัดเต็มแบบนั้นมาก่อน แล้วก็ไม่คิดว่าจะได้ทำอะไรแบบนั้นเลย แต่พอได้ทำแล้วก็คิดว่าเป็นเรื่องที่สนุกดี แล้วยังได้แสดงความสามารถด้านการแสดงที่ผมชอบออกมาด้วย สำหรับ Worst นี่มีอยู่หลายอันมากเลยครับ (หัวเราะ) ถ้าให้เลือกสักอันคิดว่าน่าจะเป็นแคมเปญแรกเลยครับ เป็นแคมเปญที่ต้องเดินเล่นกับไฟและงู ซึ่งตัวเราตอนนั้นยังปรับตัวให้เข้ากับการแข่งขันไม่ได้ อีกอย่างผมไม่ค่อยถนัดเรื่องการเดินแคทวอล์กอยู่แล้ว เรียกว่าเป็นจุดอ่อนเลยก็ได้ ผลงานที่ได้ก็เลยค่อนข้างแย่อย่างที่เห็นกัน”

ตอนนี้เดินเก่งขึ้นหรือยัง

“ดีขึ้นมากแล้วครับ ผมฝึกหน้ากระจกทุกวันเลย เพราะผมรู้ว่าตัวเองจะต้องมาเดิน Final Walk ไงล่ะ (หัวเราะ)”

ไหนบอกว่าตอนแรกไม่คิดว่าจะได้เดิน Final Walk

“ลึกๆ แล้วผมคิดว่าตัวเองจะต้องได้เดินครับ แต่ผมไม่กล้าบอกใครในเรื่องนี้ แต่ไหนก็คุยมาขนาดนี้แล้วก็คิดว่าบอกไปเลยดีกว่า (หัวเราะ) แต่ถึงเวลาจริงๆ ไม่ชนะก็ไม่เป็นไรนะ เพราะผมมองเส้นทางอาชีพของตัวเองเอาไว้แล้วว่า ผมอยากออกจากการเป็น The Face ไม่ใช่ว่า The Face ไม่ดีนะ แต่ผมอยากให้คนจดจำผมที่เป็นผมดีกว่า ไม่ใช่จดจำที่ผมเป็น The Face และเส้นทางที่ผมจะมุ่งไปหลังจากนี้คือการเป็นนักแสดงครับ ไม่ใช่การเป็นนายแบบ อยากโกอินเตอร์ในวงการภาพยนตร์ครับ อยากโชว์ให้เห็นว่าเมืองไทยก็มีของดีนะ ไม่ได้มีแค่คนสวย คนหล่อเท่านั้น”

พูดแบบนี้ก็เหมือนว่าคุณอยู่ผิดที่ผิดทางเลยนะ

“นั่นสิครับ ผิดที่ผิดทางมากเลยครับ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าผมมาอยู่ตรงนี้ทำไม (หัวเราะ) แต่ก็ถือเป็นประสบการณ์และการก้าวเดินที่ดีในชีวิตครับ”