Interview – How to get rid of… จีน่า-วิรายา

Written by  
11.05.18 515 views

          จีน่า-วิรายา ภัทรโชคชัย ก้าวออกจากรายการเรียลลิตี้ชื่อดัง The Face Thailand ซีซั่นที่ 2 มาพร้อมตำแหน่ง ‘รองแชมป์’ และถึงแม้ช่วงสองปีที่ผ่านมาเราจะเห็นบทบาทในแวดวงการบันเทิงของจีน่าในฐานะนักแสดงมากกว่า แต่มีบางสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไปจาก สาวสวย มีความมั่นใจ และมีความเป็นตัวของตัวเองสูงคนนี้ นั่นคือการพิสูจน์ว่า เธอเองก็สมควรเป็นส่วนหนึ่งของรายการในฐานะ ‘แชมป์’ เหมือนกัน

ชีวิตในวงการบันเทิงของจริงแบบไม่ใช่เรียลลิตี้เป็นอย่างไรบ้าง
          “หนูรู้สึกว่า ตอนเป็น The Face น่ากลัวกว่าในวงการบันเทิงอีก ตอนที่เข้ามาในรายการ The Face โห! นี่คือวงการบันเทิงจริงเหรอ แต่พอเราได้มาทำงานจริงๆ ก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเนอะ เราแค่กลัวไปเองเฉยๆ ทุกคนที่จะเข้ามาวงการนี้ กลัวว่ามันจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หรือเปล่า แต่ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย”

แง่มุมไหนในวงการบันเทิงที่รู้สึกตื่นเต้นและท้าทายที่สุด
          “ละครคือตัวตนเราเลย เพิ่งรู้ (หัวเราะ) เราเคยคิดว่าตัวเองคือนางแบบมาตลอด แต่พอได้ข้ามมาเล่นละคร ถึงรู้ว่านี่คือจีน่า ก็เลยรู้สึกอยากเล่นละครอีก แต่ที่ท้าทายสุดคือการเป็นพิธีกร พอได้รับโอกาสจากพี่เต้ให้เป็นพิธีกรในรายการ EG Thailand ตอนนั้นมีทั้งหมด 7 คน มีหนู สกาย เกรซ พี่แบงค์ เป็นโฮสต์หลัก ตอนนั้นปฏิเสธจนวินาทีสุดท้ายที่จะอัดเลย ไม่อยากทำ กลัวมาก อธิบายไม่ถูก กลัวจำสคริปต์ไม่ได้ กลัวพูดออกไปแล้วจะเป็นยังไง บวกกับที่เราไม่ชอบพูดด้วย ทุกคนบอกว่าเราพูดเก่ง แต่เรากลับรู้สึกกลัวในการพูด สรุปว่าพอผ่านเทปแรกไปก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เป็นอะไรที่ท้าทายสำหรับเรามาก”  

ทำไมถึงตัดสินใจกลับมาแข่ง The Face All Star ทั้งที่ตอนนี้ก็ดูสนุกกับชีวิตในวงการบันเทิงดีอยู่แล้ว
          “วันแรกที่ทางรายการโทรมา เรามีติดถ่ายงานละคร ตอนนั้นก็ตัดสินใจไปแล้วว่าจะไม่มาละกัน ผ่านมาสองวันทีมงาน The Face บอกว่าให้มาเถอะ อยากให้มาจริงๆ เดี๋ยวช่วยเคลียร์คิวละครให้ เราเลยโทรคุยปรึกษากับพี่เกดว่าจะมาดีไหม แล้วสิ่งที่พี่เกดพูดกับเราคือ ‘ถือว่าเรากลับมาทำสิ่งที่ยังติดค้างไว้อยู่’ พอพี่เกดพูดมาคำเดียว เราตัดสินใจโทรกลับหารายการเลยว่า ไปค่ะ”

อะไรคือสิ่งที่รู้สึกยังติดค้างอยู่
          “เราทำมาได้ดีทั้งซีซั่น แต่ตอนนั้นเราอาจจะแบกความกังวลและความหวังของทุกคนไปบนเวทีมากเกินไป ทำให้เรารู้สึกว่ามันกดดัน แววตามันออก เราเลยชวดที่หนึ่งไป กลับมาครั้งนี้มันจะไม่ซ้ำรอยเดิมแน่นอน


เวทีประกวดรายการ The Face Thailand และ The Face All Stars แตกต่างกันยังไง
          “เรามีประสบการณ์ รู้เทคนิคทุกอย่างแล้ว แต่ต้องไม่ทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว เราจะต้องเติมน้ำเข้าไปในแต่ละแคมเปญที่เมนเทอร์จะใส่เข้าไป มาครั้งนี้เราคิดว่า จะทำตามที่เมนเทอร์บอกมากขึ้น เราไม่ได้อยู่หน้ากล้อง เราไม่รู้หรอกว่าในแต่ละแคมเปญเราจะต้องเป็นยังไง คาแร็กเตอร์เรายังไง และอีกสิ่งหนึ่งที่หนูกลับมา หนูแค่อยากทำให้พี่เกดเห็นว่า เราสู้นะ แล้วก็อยากทำให้เขาภูมิใจในตัวเรา”

สมมติถ้าอ่านล่วงหน้าได้ว่าเราเป็นผู้ชนะ
          “ไม่ต้องอ่าน เราชนะ (หัวเราะ) เราต้องให้กำลังตัวเองทุกวันไง เราคือ All Stars เราคือ All Stars เราคือ All Stars”

อยากบอก ‘ขอบคุณ’ ใครมากที่สุด
         
“คนแรกคือพี่เกดเลย ถ้าไม่มีเขา ไม่มีใครรู้จักจีน่าในวันนี้แน่นอน เรามองตาแล้วรู้กัน ให้ตายยังไงถ้าพี่เกดไม่มีสิทธิ์เลือกเราอะ รู้ว่าใจเขาอยากเลือกเรา แล้วเราก็จะเลือกเขา ต้องขอบคุณที่พี่เกดยก เพราะไม่งั้นเราจะไม่ได้ทำให้ทุกคนเห็นเลยว่า ที่ผ่านมาเราพัฒนาอะไรบ้าง หรือเราเป็นยังไงในซีซั่นนี้ เราก็จะไม่มีโอกาสมาตามฝันในครั้งนี้เลย”

เคยถามพี่เกดไหมว่าทำไมถึงเลือกเรา
           “
มันเลยคำว่าต้องถามแล้ว ให้ตายยังไงเขาก็เลือกเรา เรารู้แค่นี้ เขาเคยพูดมาคำหนึ่งตอนที่เราประกวด EP. ที่ 10 แล้วเราไปกินข้าวกัน เขาบอกว่า หนูคือโคลนนิ่งเขามาเลย หนูเป็นลูกคนหนึ่งที่โคลนนิ่งเขามาเลย เนี่ยคือเขาเลย คงเป็นจุดนี้มั้งคะที่ทำให้หนูรู้สึกว่าเนี่ยก็แม่เราจริงๆ เหมือนเราคลิกกันโดยที่เราไม่ต้องพูดอะไร แค่เขาพูดมาว่าเนี่ยคือ ลูกเกด เมทินี เราก็รู้สึกเหมือนมีพี่เกดอยู่ในนี้แล้ว

เรียนรู้อะไรจากการกลับมาแข่งขันครั้งนี้
          “เรากลายเป็นคนยอมรับมากขึ้นในผลการตัดสิน เราชนะน้อยมาก แค่ 2 ครั้ง แล้วบวกกับแคมเปญที่พี่เกดมา 5 ครั้งไม่ชนะเลย ตอนแรกเราเสียใจ ขณะที่พูดอยู่ตอนนี้ก็จะร้อง เราร้องไห้หนักมาก เป็นเพราะเราหรือเปล่าที่ทำได้ไม่ดี เพราะตอนซีซั่น 2 เป็นคนพาเพื่อนชนะตลอด แต่พอมองกลับกันแล้วผลิตภัณฑ์หลายๆ อย่างมันไม่เหมาะกับทีมเราเลย เราเลยพูดกับพี่เกดว่าไม่ใช่ว่าพวกเราทำไม่ดี แต่อาจจะไม่โดนใจเขา เราทำเต็มที่แล้ว พี่เกดจะพูดเสมอว่าเราแพ้ได้ แต่เราอย่าท้อ เราอย่าถอย ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เอาใหม่ นี่คือสิ่งที่ได้ค่ะ
         
“เราบอกกับตัวเองเสมอว่าเวลาทำงานให้เป็นคนฟังมากกว่าพูด แค่นั้นเลย มันสามารถทำให้คนอื่นเห็นว่าเราตั้งใจจะฟังเค้า แค่นี้เลยจริงๆ คนเราไม่ต้องมีคติทำดีต้องได้ดีอะไรแบบนี้มากมายหรอก แต่ว่ามันอยู่ที่ตัวเราว่าจะก้าวไปทางไหนแค่นั้นเอง พ่อบอกว่าเสียใจได้ พรุ่งนี้ก็เช้าแล้วไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก พรุ่งนี้เช้าวันใหม่แล้ว จริงๆ มันอยู่ที่เท้าเราอะ วันนี้ถ้ารู้ว่าเดินไปทางนี้แล้วมันจะแย่ เราจะเดินไปทำไมล่ะ แต่ถ้าเราเดินไปแล้วเราต้องยอมรับให้ได้นะ แค่นั้นเอง

อยากให้ลองประเมินคะแนนให้ตัวเองหน่อย ระดับความเติบโตจากซีซั่น 2 จนถึง The Face All Stars จีน่าคิดว่าตัวเองเติบโตมากน้อยแค่ไหน
          “
จีน่าไม่รู้ว่าตัวเองเติบโตมาแค่ไหนนะ คนในโซเชียลฯ จะต้องประเมินผลจากการแพ้ชนะตลอดเวลา ซึ่งเขาไม่ได้ดูเลยว่าเราพัฒนาหรือเรามีความเป็นมืออาชีพตรงไหนบ้าง สิ่งหนึ่งที่ให้คะแนนตัวเองเลย หนึ่ง-รู้สึกว่าตัวเองมีสมาธิมากขึ้น สอง-ฟังมากขึ้น สาม เราก้าวกระโดดจากเด็กคนนึงที่มาทำงาน ไม่ใช่มืออาชีพ เราสามารถทำงานได้กับคนทุกวัย ปรับได้หมดเลย เรามีวินัยในการทำงานมากขึ้น เรารู้จักตัวเองมากขึ้น เรามีสมาธิ เรามีความคิดสร้างสรรค์ ทุกอย่างมันก้าวกระโดดมาจากซีซั่น 2 หมดเลยต่อให้เราไม่ชนะก็ตาม แต่เรามองเห็นตัวเองว่า ถ้าเป็นแคมเปญตอนซีซั่น 2 นะเราจะไม่มีสมาธิแบบนี้แน่นอน เราจะไม่เป็นแบบนี้แน่นอน”


ก่อนมาประกวดรายการ The Face Thailand หรือมาในวงการบันเทิง เป็นคนยังไง
          “ก็เป็นคนแบบนี้เลย จะเป็นคนอารมณ์ดี พ่อแม่พี่น้องเขาเป็นคนขี้อายกัน แต่เราจะเป็นคนเดียวในบ้านที่กล้าแสดงออกมาก เราชอบเห็นคนอื่นหัวเราะ เวลาเจ็บหรืออ่อนแอจะชอบอยู่คนเดียว ไม่ชอบให้ใครเห็นว่าเราอ่อนแอ หนูว่ามันเป็นทุกคน คนที่ตลกทุกคนมีมุมอ่อนแอที่เขาจะไม่ค่อยปล่อยให้เห็นกัน นี่คือนิสัยส่วนตัว แต่จีน่าจะเป็นคนห้าวๆ เพราะโตมากับพี่ชาย โอเคไปไหนไปกัน ลุยหมดเลย ใจถึงใจ ถ้าเพื่อนเดือดร้อนโทรมากริ๊งเดียวไปเลย”

ถือว่าเป็นด้านดีของตัวเองเลยไหม
           “ด้านดีนะคะ เพราะว่าตั้งแต่อยู่ในวงการมายังไม่เคยทะเลาะกับใครเลย โชคดีที่เราโตมากับรายการ The Face เพราะซีซั่น 2 โดนคนว่าเยอะมาก มั่นใจจัง ทำไมต้องว่าคนนี้ ซึ่งเขาไม่รู้ว่าเราโดนสัมภาษณ์ยังไง เราโดนตัดต่อยังไง เป็นคนไม่อธิบาย เป็นคนแบบไม่เป็นไร ข้าม เราอย่าไปให้ราคาเขา เขาแค่เข้ามาในไอจีแล้วก็ระบายอารมณ์ แล้วออกไป ถ้าเป็นเพื่อนร่วมงานคุยว่ามันเกิดอะไรขึ้น โอเค คุยกันแล้วนะ ถ้าไปต่อได้ ไป ถ้าไปต่อไม่ได้
           “เวลาทำงานจะเป็นคนถ้ารู้อะไร เราจะแบ่งปัน โชคดีตรงที่บ้านจะสอนให้รับฟัง เราดูเป็นคนพูดมาก แต่ถ้าเป็นการทำงาน ถ้าทุกคนเห็นใน The Face เวลาเราเล่น เราเล่นแบบสุดโต่งเลย แต่เวลาทำงานเอาแล้วๆ องค์แม่ลง เรารู้สึกว่าเราต้องแยกแยะให้ได้ โชคดีตรงที่เราโตมากับครอบครัวที่ให้เราสนุกได้ เวลาทำงานให้เรารู้หน้าที่ของตัวเองนะว่าเราต้องทำอะไร ก็เลยจะเป็นคนฟังซะมากกว่า จะเงียบและฟัง แต่พอสั่งคัตปุ๊บ เอาแล้ว จะเป็นตัวเองเลย”

ที่บอกว่าดูมั่นใจเกินไป ดูโอเวอร์ เป็นเพราะเราทำเต็มที่หรือเปล่า
          “ใช่ ทุกคนบอกว่าโอเวอร์แอ็กติ้ง บางแคมเปญพี่คริสหรือพี่เกดเห็นแล้วว่า ถ้าเราทำแบบเรียบๆ เราแพ้เขาแน่นอน เพราะเขาตรงกับผลิตภัณฑ์ที่ได้ในโจทย์นั้น เราเลยรู้สึกว่าเราต้องเพิ่ม แล้วพอเราเพิ่มคนก็ไม่เข้าใจ เพราะว่าคนนั้นเขาชนะไปไงคะ พอทีมนั้นชนะ กลายเป็นว่าเพราะจีน่าโอเวอร์แอ็กติ้งทีมเลยไม่ชนะ จริงๆ แล้วถ้าทุกคนฟังดีๆ เปิดหูฟังดีๆ จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราต้องโอเวอร์แอ็กติ้ง  มีปัจจัยหลายอย่างมาก ไม่ใช่ว่าคนที่เดิน 10 ก้าว ก็โอเวอร์ 10 เรื่อง ไม่ใช่” 

ปกติจีน่ามีวิธีจัดการกับเรื่องดราม่าอย่างไร
          “อย่างที่เคยบอกไปว่าถ้าเรากำลังจะทะเลาะ กำลังจะดราม่าหรือมีปัญหา จะชอบอยู่คนเดียวก่อน แล้วก็ดูว่าเราจัดการอะไรได้บ้าง ถ้าเราจัดการได้คนเดียว โอเคสบายมาก แต่ถ้ามันเป็นปัญหาใหญ่ แล้วมีคนอื่นเข้ามาเกี่ยวด้วย เราก็ต้องดูก่อนว่าเราจะจัดการยังไง เป็นระดับไปค่ะ ซึ่งยังไม่เคยมีแบบนั้น เราจะเบรกตัวเองก่อนให้ออกมาจากปัญหานั้น เพราะไม่ชอบอะไรที่เป็นดราม่า ไม่ชอบอะไรที่รู้สึกว่าตัวเองต้องกดดัน เราจะหลีกออกมาก่อน”

ในรอบ Final Walk อะไรที่จีน่าขุดมาสู้
          “ไม่บอก”


ใบ้มานิดนึง
          “ไม่ได้จริงๆ แต่รับรองว่าในรอบ Final Walk จะกรี๊ดแน่นอน ทุกครั้งที่เราเดินออกมาทุกคนจะกรี๊ด ตายเลย จริงๆ” 

ถ้าไม่ได้มาแข่งในรายการ จีน่าในตอนนี้คิดว่า ตัวเองน่าจะกำลังทำอะไรอยู่
          “คงทำงานทุกวันเหมือนเดิม แล้วก็คงนั่งดูว่าถ้าเป็นเราจะทำยังไง มองย้อนกลับมาก็คงเสียดาย อย่างน้อยวันนี้ที่กลับมาประกวดก็ทำให้เรารู้ว่าต่อให้ได้ไม่ได้ แต่เราจะทำให้ทุกคนเห็นว่าเราควรได้

นอกเหนือจากการเป็น The Face Thailand มีอะไรที่อยากทำอีกไหม
          “ความฝันของหนูคือการเป็น The Face สิ่งเดียวเลย”

ดูเหมือนจีน่าจะผูกพันกับรายการ The Face Thailand มาก
          “มากกกกกกกกกก!”

ฝันไว้บ้างไหมว่าวันหนึ่งจะเป็น ‘เมนเทอร์’
           “ไม่ได้ฝัน แต่ก็มีหลายคนบอกว่า ซีซั่นหน้าถ้ามาก็เป็นเมนเทอร์เถอะ ดูจัดการคนในทีมได้เวลาที่พี่เกดไม่อยู่ ถามว่า อยากเป็นไหม อยากเป็น แต่เราเป็นไม่ได้หรอก เรายังไม่ได้ครึ่งนึงของเมนเทอร์เลย เมนเทอร์เต็ม 100 พวกเราที่มาประกวด The Face All Stars ยังแค่ 20 อยู่เลย มันไม่ได้หรอก เราคุมกันไม่อยู่แน่ๆ ยังไม่มีวุฒิภาวะและประสบการณ์มากพอที่จะมาเทรนใคร เคยมีคนให้ไปสอนเดินแบบ นี่ก็บอกเลยว่าบุคลิกยังไม่ได้ ขอโตกว่านี้อีกหน่อยจะสอน”