Interview – Begin again ดารัณ เศรษฐิณิช

Written by  
11.05.18 506 views

แม้ว่า 2 ปีก่อน ดารัณ-เศรษฐิณิช ชนวราสุทธิสิริ หรือชื่อเดิมคือ “จูลี่” จะไม่สามารถพาตัวเองเข้าสู่รอบ Final Walk ใน The Face Thailand ซีซั่น 3 ได้สำเร็จ แต่อย่างน้อยเธอก็อยู่รอดจนถึงสัปดาห์ที่ 11 จนอาจกล่าวได้ว่าขาดไปเพียง 1-2 ก้าวก็จะเข้าเส้นชัยที่เรียกว่า Final Walk แล้ว ทำให้การกลับเข้าร่วม The Face Thailand All Stars ในครั้งนี้เธอไม่ได้มาเล่นๆ เพราะเธอเตรียมตัวมาอย่างดี ด้วยการพยายามแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองให้น้อยลงก่อนวันเปิดกล้อง และในที่สุดเธอก็ติด 1 ใน 7 ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของรายการสักที

เป็นยังไงบ้างกับการกลับมาแข่งในรายการ Tha Face อีกครั้งหนึ่ง

“แค่ได้ยินว่าเขาชวนเรากลับมาแข่ง The Face All Stars ก็กรี๊ดแล้วค่ะ (หัวเราะ) ตอนนั้นตอบตกลงทันที เพราะเรารู้สึกว่าตัวเองยังมีความสามารถอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้แสดงออกมา เรายังไม่ประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการเลย อีกอย่างตอนนั้นเรามักจะโดนว่า สวยอย่างเดียว ไม่มีความสามารถอะไรเลย อินเนอร์ไม่ได้ ไม่เก่ง โอ้โห! ตอนนั้นโดนมาเยอะมาก แต่เราคิดว่าคงจริงอย่างที่เขาว่ากันนะ แค่สวยอย่างเดียวยังไม่พอหรอก เพราะคนสวยในประเทศนี้มีเยอะแล้ว ดังนั้นคุณต้องเก่งด้วย เราเลยพยายามแก้ไขข้อบกพร่องของตัวเองก่อนมาแข่งในรายการ ถ้าขึ้นชื่อว่า All Stars แล้ว ก็น่าจะเป็นการแข่งขันที่เข้มข้นกว่าครั้งก่อนๆ ซึ่งของจริงก็เป็นอย่างที่คิดเลย (หัวเราะ) แต่ถ้าให้บอกถึงความรู้สึก บอกตามตรงเลยว่าไม่ได้ว้าวเหมือนครั้งแรกที่เข้าแข่งขัน บอกว่าไม่สนุกเท่าครั้งแรกก็ได้ เหมือนเรารู้อยู่แล้วว่าเกมจะเดินไปทางไหน จะเกิดอะไรขึ้น”

เดาทางออกหมดเลยเหรอ

“เราเดาได้แม้กระทั่งว่าสัปดาห์นี้ใครจะชนะ หรือสัปดาห์นี้ใครจะออกเลยด้วยซ้ำไป”


พูดเหมือนรายการล็อกผลเอาไว้เลยนะ

“ไม่ได้ล็อกหรอกค่ะ แต่คนที่ตัดสินใจว่าใครจะเป็นคนชนะในซีซั่นนี้คือลูกค้าในแต่ละสัปดาห์ ซึ่งลูกค้าเขาก็ต้องเลือกคนที่เข้ากับผลิตภัณฑ์ของเขาเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว หากติดตามทุกสัปดาห์จะเห็นว่าสกาย (มาเรีย เฮิร์ชเลอร์) ชนะบ่อยมาก ซึ่งไม่ใช่แค่เราคนเดียวหรอก แต่เชื่อว่าทุกคนก็น่าจะคิดเหมือนกันว่าผลิตภัณฑ์หลายๆ อย่างในรายการเข้าทางสกาย จึงไม่แปลกถ้าลูกค้าจะชอบสกาย เรียกว่าน่าจะชอบตั้งแต่แรกเลยก็ได้”

ฟังดูไม่ค่อยยุติธรรมเลยนะ เพราะเหมือนไม่ได้ตัดสินที่ความสามารถ

“เราก็ไม่กล้าพูดว่ายุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม เพราะตัวสกายก็ไม่ใช่ว่าไม่เก่ง แต่เมื่อบวกกับคาแร็กเตอร์ของสกายเข้ากับผลิตภัณฑ์ก็เลยทำให้ได้เปรียบมากกว่าเราเท่านั้นเอง แล้วลูกค้าก็ไม่ได้ผิดด้วยที่ตัดสินใจแบบนั้น เพราะถ้าความสามารถไม่ต่างกันมาก เขาก็ต้องเลือกจากความชอบเป็นหลัก ยังเคยมีคนมาบอกเราเลยว่าทั้งที่เราก็ขาวเหมือนกัน สวยเหมือนกัน แต่กลับไม่ชนะก็เพราะว่าเก่งไม่เท่าสกาย แต่เราคิดว่าไม่ใช่หรอก มันเป็นเรื่องของเสน่ห์ส่วนตัวบางอย่างที่เข้ากับผลิตภัณฑ์มากกว่า เหมือนกับว่าถ้ามีคนสวยยืนอยู่ตรงหน้าสองคน คุณก็ต้องเลือกคนที่ตรงสเป๊กที่สุดใช่ไหมล่ะ แต่ถึงจะรู้อย่างนั้นเราก็ต้องทำออกมาให้เต็มความสามารถ เพื่อให้เขาเปลี่ยนใจหรือไม่เลือกเราไม่ได้แล้ว (ยิ้ม)”

มีสัปดาห์ไหนหรือแคมเปญอะไรที่มั่นใจมากว่าตัวเองต้องชนะแน่ๆ

“มีอยู่แล้วค่ะ แต่สุดท้ายก็ไม่ชนะ เฟลมากจริงๆ โดยเฉพาะสัปดาห์ของโชโกบุสซึฯ กับ TMB เรามั่นใจมากที่สุดแล้ว คนอื่นๆ ยังคิดว่าเราควรชนะเลยด้วยซ้ำไป แต่สุดท้ายพอไม่ชนะก็ได้แค่คิดว่าตัวเราอาจทำดี แต่ภาพรวมของทีมยังไม่โอเคก็ได้มั้ง พอพูดถึงเรื่องนี้ก็นึกเรื่องความรู้สึกไม่ยุติธรรมออกหนึ่งเรื่องเหมือนกันค่ะ ส่วนตัวคิดว่าเรื่องการตัดต่อไม่ค่อยยุติธรรมเท่าไร เพราะเหมือนเขาตัดต่อออกมาช่วยคนชนะในแคมเปญนั้นๆ เป็นหลัก ทั้งที่เบื้องหลังหรือระหว่างการแข่งขันมันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ เราคิดว่าที่ตัดต่อออกมาแบบนั้น อาจจะเป็นเพราะไม่อยากให้ภาพค้านสายตาคนดูมากกว่าได้นะ ซึ่งบางทีไม่ต้องรู้ไม่ต้องเห็นอะไรเยอะก็น่าจะดีกว่า”

หมายถึงตัดต่อให้เห็นว่าคนที่ชนะทำดีกว่า มีความมุ่งมั่นมากกว่า ประมาณนี้หรือเปล่า

“ส่วนหนึ่งค่ะ เพราะนอกจากนั้นก็ยังมีเรื่องแอร์ไทม์ของแต่ละคนที่ได้ไม่เท่ากัน หากสังเกตดีๆ จะเห็นเลยว่าบางคนได้แอร์ไทม์เยอะมาก ในขณะที่บางคนแทบจะไม่ค่อยได้มีบทบาทอะไรเลย ซึ่งเรามองว่าเขาก็ทำงานอย่างเต็มที่เหมือนกัน ก็น่าจะให้แอร์ไทม์เขามากกว่านี้สักหน่อย เพราะใครๆ ก็ต้องอยากมีซีนของตัวเองบ้างเป็นธรรมดาอยู่แล้ว”

แอร์ไทม์ของดารัณถือว่ามากหรือน้อย

“เรามองว่าน้อยไปนิดนึง เพราะส่วนตัวมองว่าก็มีที่ให้สัมภาษณ์เด็ดๆ แซ่บๆ ไปเยอะเหมือนกัน แต่เขากลับไม่เอาออกมาใช้ บางทีก็แอบคิดเหมือนนะว่ารายการวางคาแร็กเตอร์เราให้เป็นคนเรียบร้อยหรือเปล่า เราเลยได้แอร์ไทม์มาแค่นั้น”

แต่ดารัณไม่ใช่คนเรียบร้อยแน่ๆ

“(หัวเราะ) ใช่ค่ะ ไม่เรียบร้อยเลย แต่อาจจะเป็นอย่างที่บอกว่าเขาอยากให้เรามีคาแร็กเตอร์เรียบร้อยมั้ง อาจเพราะหน้าตาเราเรียบร้อยก็ได้ (ยิ้ม)”

คิดว่าการกลับมาแข่ง The Face All Stars จะมีผลต่อเส้นทางอาชีพในวงการไหม

“เรามองว่าการกลับมาแข่ง The Face All Stars จะช่วยทำให้เรากลับมามีกระแสอีกครั้งหนึ่ง เราปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ว่าการทำงานในวงการทุกวันนี้จำเป็นต้องมีกระแสมากกว่าคนอื่นนิดนึง เพราะสมัยนี้มีคนในวงการค่อนข้างเยอะ เราเลยต้องแข่งขันกันมากขึ้น ดังนั้นการกลับมาแข่งอีกครั้งยังไงก็ช่วยเรื่องกระแสอยู่แล้ว ถ้าให้เปรียบเทียบเราคิดว่าตอนแข่ง The Face ซีซั่น 3 เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนเริ่มรู้จักเราในระดับหนึ่ง แต่การกลับมาครั้งนี้จะทำให้เราได้รับความสนใจมากขึ้น อย่างตอนนี้ก็มีคนฟอลโลว์เราเยอะขึ้น มีงานเข้ามามากขึ้น”

อยากรู้ว่า Best & Worst ของดารันในซีซั่นนี้คือแคมเปญไหน

“Best ของเราคงเป็นแคมเปญแดร็กควีนค่ะ เพราะส่วนตัวอยากแต่งแบบนี้มานานมากแล้ว เอาจริงๆ คืออยากเป็นกะเทย เพราะชอบจริตของพวกเขามากๆ เลย พอได้มาลองทำจริงๆ แล้วก็ยิ่งรู้สึกชอบมากเข้าไปใหญ่ ส่วน Worst คงจะเป็นแคมเปญของ TRESemme เพราะสัปดาห์นั้นเขาทำผมให้เราไม่เสร็จ ไหนจะเรื่องชุดอีกที่ไม่พอดีกับรูปร่างของเราเลย เพราะชุดแรกที่เลือกเอาไว้โดนเปลี่ยนไปให้คนอื่น ทำให้เราขาดความมั่นใจมากๆ จริงๆ ยังมีเรื่องรองเท้าด้วยนะคะ เพราะแคมเปญนั้นเป็นการเดินถ่ายวิดีโอ แล้วรองเท้าดันขาดอีก ต้องยืมรองเท้าพี่คริสมาใส่ ซึ่งเล็กกว่าเท้าเราเบอร์หนึ่ง เวลาเดินจะเจ็บมาก ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเราเดินแปลกๆ ในแคมเปญนั้น”


มั่นใจแค่ไหนกับรอบ Final Walk

“เอาเป็นว่ามั่นใจมากเลยค่ะ ตอนนี้ก็ฟิตหุ่นจนอยู่ในระดับที่น่าพอใจแล้ว ก่อนหน้านี้น้ำหนักขึ้นเยอะมาก เพราะเรากินเพลินไปหน่อย เห็นคนอื่นกินแล้วไม่อ้วน แต่เรากินแล้วดันน้ำหนักขึ้นจนแบบอวบมาก แต่ล่าสุดก็ลงมา 6-7 กิโลกรัมจนน่าพอใจแล้ว ส่วนเราจะเตรียมอะไรไปโชว์บนเวทีคงยังบอกไม่ได้ แต่รับรองว่าสุดยอดมากแน่ๆ ถึงเราจะไม่ค่อยมีเวลาได้ซ้อมพร้อมกันสักเท่าไหร่ เพราะทั้งพี่เกด (เมทินี กิ่งโพยม) พี่คริส (คริส หอวัง) จีน่า (วิรายา ภัทรโชคชัย) นัดคิวกันยากมาก (เน้นเสียง) ก็เถอะ (หัวเราะ)”

ถามจริงๆ ว่าเปลี่ยนชื่อเพราะอยากให้มีโชคหรือประสบความสำเร็จใน The Face หรือเปล่า

“มีส่วนบ้างนะคะ แต่จริงๆ คือมีคนทักเรื่องชื่อมา 2-3 ปีแล้ว แต่เราก็ไม่ได้เชื่อสักเท่าไหร่ ก็เลยไม่ได้สนใจเรื่องเปลี่ยนชื่อ จนช่วงก่อนจะมาแข่ง The Face รอบนี้โดนทักบ่อยมากว่าชื่อไม่ดี ทักกันเก่งจริงๆ ก็เลยตัดสินใจเปลี่ยนดูก็ได้ หลังจากนี้อาจจะเป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ (หัวเราะ) ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าชื่อเดิมทำให้เราเป็นคนแข็งๆ ห้าวๆ ถ้าเปลี่ยนชื่อเป็นชื่อดารัณแล้วจะมีความเป็นผู้หญิงขึ้น ซึ่งพอเปลี่ยนแล้วหลายคนมาบอกกับเราว่านิสัยเปลี่ยนไป หวานขึ้น มีความเป็นผู้หญิงมากขึ้นจริงๆ ผู้ใหญ่ทุกคนชมว่าเราดีขึ้น จากตอนแรกไม่เชื่อเลย ก็กลายเป็นว่าสนใจเรื่องพวกนี้ไปแล้ว (หัวเราะ) แต่เราไม่ได้งมงายขนาดเชื่อไปหมดทุกอย่างนะ เพราะหลังจากเปลี่ยนชื่อแล้วก็มีคนมาทักว่าชื่อดารัณเป็นกาลกิณีกับวันเกิด ไม่ควรมี ด.เด็ก แต่เราเลือกจะช่างมัน เพราะชอบชื่อนี้แล้ว ไม่ต้องมายุ่งอีกแล้ว ถ้าจะเป็นกาลกิณีก็ปล่อยมันไป (หัวเราะ)”

นอกจากชื่อเล่นแล้วเปลี่ยนอะไรอีกบ้าง

“ชื่อจริงกับนามสกุลก็เปลี่ยนค่ะ เปลี่ยนจากวิลาวรรณ แอนเดอร์สัน มาเป็นเศรษฐิณิช ชนวราสุทธิสิริ เพราะมีอาจารย์ท่านหนึ่งแนะนำมาว่าชื่อจริงควรเปลี่ยนกว่าชื่อเล็กอีกนะ เพราะตกดวงมรณะ มีโอกาสเป็นแบบบิ๊ก D2B ได้เลย ซึ่งชีวิตเราก็ผ่านจุดต่ำสุดของชีวิตมาแล้ว แต่เขาบอกว่าเรื่องร้ายแรงยังไม่หมด เราเลยตัดสินใจเปลี่ยนทั้งชื่อจริงและนามสกุลตามที่เขาแนะนำมา จะว่าไปคนที่ทำงานในวงการบันเทิงก็อยู่ได้ด้วยเรื่องพวกนี้เหมือนกันนะ”

คิดว่าชื่อจะมีผลต่อการเป็นผู้ชนะ The Face Thailand All Stars ไหม

“ไม่มีผลหรอกค่ะ เพราะการแข่งขันใน The Face โดยเฉพาะรอบ Final Walk วัดกันที่ความสามารถล้วนๆ ดังนั้นถึงเราจะรู้ว่าใครเป็นตัวเต็ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเบียดขึ้นมาเป็นผู้ชนะไม่ได้ อยากให้จับตามองกันเอาไว้ให้ดีค่ะ”