บันไดที่ไม่มีวันสิ้นสุดของ ‘ต่อ ธนภพ’

กำแพงของความคาดหวังคนเราไม่เท่ากัน บางคนเลือกที่จะตั้งความหวังไว้เพียงเล็กน้อยให้กับชีวิต บางคนฝันถึงเรื่องยิ่งใหญ่ และในช่วงวันและวัยอย่างนี้ของต่อ กำแพงของเขายังคงก่อตัวสูงขึ้นไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ราว 4 ปีก่อนหน้านี้  ต่อธนภพ ลีรัตนขจร  เริ่มต้นเส้นทางอาชีพนักแสดงด้วยบทบาทของไผ่จาก  ซีรีส์ฮอร์โมนวัยว้าวุ่น (2013) จนกระทั่งล่าสุด  เราเห็นอีกบทบาทของเขาจากซีรีส์ Side by Side พี่น้องลูกขนไก่ของ Project S The Series กับการรับบทเป็นยิมเด็กหนุ่มออทิสติกที่มีความสามารถด้านกีฬาแบดมินตัน

 

บทบาทการแสดงที่ก้าวกระโดดของต่อ
ซีรีส์เรื่อง Side by Side พี่น้องลูกขนไก่เป็นซี่รีส์เรื่องที่ 2 ของ Project S The series ซึ่งในพาร์ทของผมคือ  นักกีฬาแบดมิดตัน  คราวนี้ไม่มีมุมกล้องมาช่วยแล้ว  เราต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง  และยังเป็นเรื่องเดียวที่ไม่ได้ดำเนินเรื่องนำด้วยกีฬา  แต่กลับนำเรื่องของครอบครัวหนึ่งที่คุณพ่อเสียชีวิต  มีคุณแม่เป็น Single Mom ที่ต้องเลี้ยงลูกชายที่เป็นออทิสติก  ตอนแรกผมกลัวว่าจะเข้าใจบทได้มากพอไหม  เพราะรู้สึกว่าตัวเองยังเล่นไม่เก่ง  แต่พอได้มารับบทนี้  ผมต้องใช้ประสบการณ์ในการแสดงที่ผ่านมาเยอะอยู่พอสมควร  แล้วคงเรียกว่าเป็นโอกาสที่ได้มาเร็วเกินไป  ปกติคนเรากว่าจะเดินก้าวข้ามไปบนกำแพงสูงๆ  คงต้องใช้ขึ้นไปเรื่อยๆ  แต่ตอนนี้คือกำแพงที่สูงมากๆ  แล้วเราดันก้าวข้ามไปทีเดียว

ต่อมีวิธีก้าวผ่านกำแพงตรงนั้นไปได้อย่างไร
 “
ผมว่า  ถ้าเราเปลี่ยนทัศนคติจากข้างใน  ภายนอกเราจะเปลี่ยน  การเข้าไปในตัวละครไหนสักตัวจะต้องมีอินเนอร์แหละ  แต่นี่ไม่ใช่แค่อินเนอร์  มันลึกไปกว่านั้น  เหมือนเป็นการรีเซ็ทใหม่ทั้งหมดเลย  เมื่อก่อนพอได้บทมา  ทำอย่างไรก็ได้ให้ตัวเองเข้าใจบท  แต่บทเด็กออทิสติกทำแบบนั้นไม่พอ  ก็เข้าใจบทนะ  แต่ยังเล่นไม่ได้  ผมเลยเปลี่ยนความคิดใหม่ไปเลยว่า  งั้นไม่ต้องไปทำความเข้าใจละ  แต่แค่คิดว่า  ผมอยากเป็น ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เป็นตัวละครนั้นให้ได้

ที่ผ่านทำการบ้านสำหรับการแสดงของตัวเองอย่างไรบ้าง
 “
ผมทำทุกอย่างเลย  เก็บทุกอย่างเป็นแหล่งข้อมูลทั้งหมด  จนออกมาเป็นคาแรกเตอร์ที่ผมสร้างขึ้นมาเอง  เคยเห็นเด็กเนิร์ดไหมครับ  เด็กเนิร์ดจะรวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่ม  มีครูสอนคนเดียวกัน  ใช้หนังสือเล่มเดียวกัน  แต่เด็กแต่ละคนเก่งไม่เท่ากัน  แล้วอะไรคือสิ่งที่ทำให้เขาเก่งไม่เท่ากัน  สไตล์การจดแต่ละคนแตกต่างกัน  บางคนจดมุม  บางคนจดกลาง  บางคนจดเป็นภาพวาด  ดังนั้นเวลาผมได้เรียนรู้อะไรมา  ผมชอบเก็บนู่นนี่นั่นผสมปนเปกันไปหมด  เพราะรู้สึกว่าอยากทำให้มันเป็นสไตล์ของตัวเอง

ความรู้สึกในวันแรกที่เข้าวงการกับวันนี้แตกต่างกันไหม
วันแรกเป็นศูนย์  ส่วนวันนี้เป็นหลุมดำครับ  หลุมดำที่อยากจะดูดทุกสิ่งทุกอย่างที่พบเจอเข้าไป  เป็นช่วงเวลาที่อยากเก็บเกี่ยวให้ได้มากที่สุด  อยากเป็นคนเก่งกว่านี้  อาชีพนักแสดงในมุมมองคนอื่น  เป็นอาชีพที่ได้ง่ายและได้เยอะ  ได้อะไรสิทธิพิเศษมากกว่าคนอื่น  แต่โลกนี้ไม่ได้ไม่แฟร์ขนาดนั้นหรอก  เป็นไปไม่ได้หรอกครับที่เราจะไม่จ่ายอะไรไปเลย  ก็จ่ายตัวเราไปไง  เพราะฉะนั้นถ้าเราเลือกเดินบนเส้นทางนี้ก็ต้องถามตัวเองให้ชัดว่า  เราขายตัวเองได้เปล่า

สิ่งที่ได้จากการเป็นนักแสดง
 “
สำหรับผมการทำอาชีพนี้คือ  กำไรนะ  กำไรตรงที่เราเป็นอะไรก็ได้  ผมเคยเป็นคนที่ไม่มีจุดหมายในชีวิต  วันหนึ่งเราก็สามารถลุกขึ้นทำอะไรขึ้นมาด้วยตัวเองได้เหมือนกัน  แล้วก็นำพาให้เราไปทำอะไรอีกหลายอย่างที่เราไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะได้ทำ  ผมอยู่เฉยๆ  ผมคงไม่ไปกระโดดน้ำบนแท่นนักกีฬา  ผมใช้ชีวิตปกติ  แล้วจะบ้าไปกระโดดแบบนั้นทำไม  จริงๆ  จะเรียกว่า  อาชีพนักแสดงเป็นชีวิตของผมไปแล้วก็ได้

สิ่งที่เสียไปจากการเป็นนักแสดง
เวลาครับ..แค่โดนขายเวลาก็จบแล้ว  เพราะขายเวลาเท่ากับไม่มีเวลา  ไม่มีเวลาก็อย่าคิดเลยว่าจะทำอะไร  เพราะไม่มีเวลาทำ  อันที่จริงด้วยอายุเท่านี้ผมเองก็มีเรื่องให้ห่วงเยอะนะ  เพราะสุดท้ายมันคือการที่อยากดูแลครอบครัวตั้งแต่อายุแบบนี้  ซึ่งก็คงเกิดขึ้นไม่บ่อยหรอก  ที่ผ่านมาเลยไม่ค่อยมีเวลาคิดเรื่องตัวเองเยอะ  จะคิดถึงเรื่องที่บ้านคิดถึงพ่อแม่ก่อน

มุมมองของนักแสดงหนุ่มตัวเล็ก
คงถึงเวลาที่บ้านเราจะมีคำว่า  นักแสดงมืออาชีพจริงๆ  เสียที  บ้านเราคงใช้คำว่า  ฉาบฉวย  เราไม่เบื่อหรอกับคำว่าอาชีพนี้ไม่มั่นคง  แต่ทำไมต่างประเทศเขาถึงมีความมั่นคง  แต่ถ้าจะให้สตรองจริงก็คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่  ผมว่า  ดาราใครๆ  ก็เป็นได้  แต่นักแสดงไม่ได้เป็นกันได้ทุกคน  นักแสดงตัวหนึ่งเป็นบทที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่น  แต่คุณไม่ได้มีสิทธิ์ที่จะเด่นกว่าคนอื่นเลย  ถ้าจะดูตัวละครแค่ตัวเดียว  งั้นหนังเรื่องหนึ่งก็ควรจะมีนักแสดงแค่คนสองคนก็พอแล้ว  แต่ละเรื่องผมว่าทุกตัวละครต่างมีประโยชน์  มีความหมายและเป็นที่น่าจดจำได้มากกว่า

 

ชอบทำงานเบื้องด้านหรือเบื้องหลังมากกว่ากัน
ผมอยากลองทำเบื้องหลังอยู่เหมือนกันนะครับ  แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำอะไร  ปกติก็จุ้นกับเขาไปเรื่อย  ทีมไฟ  ทีมกล้อง  กำกับ  ผู้ช่วย  ตัดต่อ  ผมก็ไปสุงสิงกับพวกเขาหมด  ยิ่งพอมีโอกาสเล่นเรื่องล่าสุดนี้เราอินกับมันมากเสียจนเราอยากลองทำงานทุกกระบวนการเลยครับ  อยากรู้ว่าถ้าเราอยู่กับมันตั้งแต่ต้นเราจะลึกลงไปได้มากกว่านี้อีกไหม

คิดอย่างไรกับการแสดงในชีวิตจริงที่คนเดี๋ยวนี้ใส่หน้ากากหากัน
ก็นั่นแหละครับเป็นสิ่งที่ทำให้ผมได้มายืนอยู่ตรงจุดนี้  แล้วเลือกที่จะไม่ใส่หน้ากาก  หลายคนอาจคิดว่าเราเป็นคนดี  แต่เราก็บอกตรงๆว่า  เราก็ไม่ได้เป็นคนดีหรอก  ผมว่าทุกคนเป็นสีเทาที่มีทั้งมุมดีและไม่ดี  แต่แค่มุมดีของเราถูกจริตกับคุณหรือเปล่า  คุณเลยมองว่าเราดี  ไม่งั้นคุณจะบอกว่า  คุณชอบเราแต่ไม่ชอบอีกคนได้ยังไง  ถ้าเราไม่ใช่อย่างนั้น  ลองถามตัวเองดูไหมว่า  ไม่เคยรู้สึกอายบ้างเลยหรอที่ต้องไปหลอกทั้งตัวเองและคนอื่น

จุดสูงสุดของการเป็นนักแสดงที่พอใจ        
อันที่จริงแล้วผมกลับไม่คิดเรื่องของความสูงมาก่อนเลย  รู้นะว่าตัวเองเป็นคนทะเยอทะยาน  แต่ความเก่งมันไม่มีจุดสิ้นสุด  ถ้าเรารู้สึกว่าตอนนี้เราเก่งที่สุดแล้ว  นั่นแปลว่า  ต่อจากนี้เราก็คงอยู่ต่อไปได้อีกได้ไม่นาน  เหมือนเราเริ่มหยุดเติบโต  สำหรับผมนะ  ถ้านักแสดงคิดว่า  เก่งแล้วเมื่อไหร่จบทันที