กลับมาแก้ไขสิ่งที่เคยทำตนเองผิดหวังไว้ในใจ – จีน่า วิรายา

Written by  
02.07.18 196 views
Written by  

02.07.18 196 views

การเปิดใจแบบหมดเปลือกของ จีน่า-วิรายา ผู้ชนะ The Face Thailand All Stars ที่จะมาแจกแจงทุกดราม่า สาเหตุที่ยอมกลับมาอีกครั้ง แบบไม่มีกั๊ก 

“ Final Walk ในวันนั้นมันเหมือนฝันร้าย เรากังวล เครียด เราเอาความหวังของทุกคนขึ้นไปบนเวที ถึงทุกคนจะมองว่าเดินดีมาก แต่เรารู้ว่านั่นมันแค่ 50% ของที่เราทำได้ ”
— จีน่า วิรายา ภัทรโชคชัย



จีน่าหวังกับการเป็น The Winner มากเลยเหรอ  

มากค่ะ ตอนซีซั่น 2 เราหวังมาก หวังแบบตอนที่ยืนในรอบ Final Walk กัน 3 คน มีเรา ติช่า และกวาง แล้วเขาประกาศชื่อว่าเป็นติช่า เราก็ยิ้มดีใจกับเพื่อน แต่พอกลับบ้านนอนร้องไห้ทั้งคืน แต่ติช่าไม่รู้นะ คือเราก็เป็นเพื่อนกันอยู่ดี มันเป็นแค่ความเสียใจของเรา เสียใจเงียบๆ คนเดียว ไม่อยากให้ใครเศร้าไปด้วย ซึ่งความจริงแล้วเราก็พอรู้ตัวว่าเราไม่ได้แน่ๆ เพราะวันนั้นรู้ว่าเดินต่ำกว่ามาตรฐานของตัวเอง ไม่เคยเดินแบบแย่ขนาดนี้มาก่อนเลย รู้เลยว่าไม่ได้แน่นอน 

มาตรฐานของจีน่าคืออะไร
 

ตั้งแต่ซีซั่น 2 เรารู้ว่าจุดแข็งของเราคือการเดินแบบ นั่นคือสิ่งที่ทุกคนก็รู้เช่นกัน ซึ่ง Final Walk มันคือการเดินแบบ ทั้งๆ ที่เราควรจะทำออกมาได้ดี แต่กลายเป็นวันที่แย่มากวันหนึ่งในชีวิต ความรู้สึกข้างในของเราคือรู้ตัวเลยว่าเราไม่ได้ เราทำได้ไม่ดี เราแบกทุกอย่างไว้เต็มไปหมด ความประหม่า ความกังวล และความกดดัน ทั้งจากตัวเราเองและจากคนรอบตัว ถึงแม้ว่าหลายคนชมว่าสวยมากเหมือนนางพญา แต่ลึกๆ เรารู้ตัวว่านี่มัน 50 เปอร์เซ็นต์ของความสามารถเราเอง


ไม่เคยพลาดเลยหรือ

พลาดไง พลาดตอนซีซั่น 2! นี่คือเรื่องพลาดที่สุดในชีวิตเรา และเราจะไม่กลับไปจุดนั้นแล้ว เอาอย่างนี้จีน่าขอเล่าเรื่องนี้เต็มๆ เลยดีกว่า

 

ต้องบอกว่าพอตอนประกาศผล Final Walk ในวันนั้น เราก็บอกกับตัวเองว่าเราจะตั้งรูปโปรไฟล์ทุกอย่างบนโลกโซเชียลฯ เป็นรูปคู่กับพี่ลูกเกด (เมทินี กิ่งโพยม) ซึ่งเป็นเมนเทอร์ของจีน่ามาตลอด แล้วบอกกับตัวเองว่าเราจะไม่มีวันทำตัวเองแบบวันนั้นอีกเป็นอันขาด ในทุกๆ งานหลังจากนั้นของเราต้องทำให้ได้ดีที่สุด ต้องต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ ให้ได้ เพิ่งมาเปลี่ยนรูปเมื่อไม่กี่วันที่ได้แชมป์นี้เอง (ยิ้ม) 


การกลับมา The Face ซีซั่น 4 All Stars เป็นอย่างไร 

ตอนแรกที่รายการโทรมาชวน เราปฏิเสธเลยนะ เพราะช่วงนั้นมีทั้งงานเดินแบบ มีถ่ายละครด้วย แล้วคิวถ่ายมันยาวหลายสัปดาห์ ถ้ามาถ่าย The Face จะกลายเป็นว่าเราไม่ได้พักเลย หลังจากนั้นรายการโทรมาอีกรอบ เราขอเวลาคิด 5 นาที หลังวางสายจีน่าโทรหาพี่เกด พี่เกดก็ชวนกลับมานะ แต่เราก็บอกพี่เกดไปว่าอีกอย่างที่กังวลมากคือเรากลัวแป้ก ครั้งที่แล้วเราทำได้ดีมาก เราไม่เคยเข้าห้องดำ เราชนะแคมเปญมากที่สุด และได้ไปถึง Final Walk แล้ว ไม่อยากมาแล้วดร็อปลง มันจะมีข้อเปรียบเทียบทันที เป็นเรื่องของศักดิ์ศรี หรือถ้ากลับมาแล้วไม่ชนะอีกมันคงเฟลมาก จนพี่เกดพูดย้ำว่าอย่าคิดมาก มาเล่นเถอะ คิดเสียว่ามาสนุกกับพี่เกด

ได้ยินแบบนี้ก็ตัดสินใจมาแข่งอีกครั้ง ซึ่งก่อนไปอัดรายการก็เจอทั้งพี่บี พี่คริสด้วย พวกพี่ยังรับปากเลยว่าจะเลือกเรา แต่ในใจเรามีเมนเทอร์อยู่แล้วไง ก็ไปถามแม่ตัวเอง แต่พี่เกดตอบมาแบบซีเรียสมากว่าให้อยู่ทีมอื่น ให้เมนเทอร์คนอื่นสอนบ้าง ตัวเราช็อกไปเลย เหมือนโดนเทกลางอากาศ 

เมื่อพี่เกดพูดแบบนั้น เราก็โอเค แต่นอยด์เดินหันหลังให้พี่เกดแล้วเดินออกไปเลย จนวันที่ต้องเลือกเมนเทอร์มาถึง พี่บีและพี่คริสเลือกเราจริงตามสัญญา แต่ใจเรารู้สึกว่าจริตเข้าทางพี่คริสมากกว่า เหมือนเป็นพี่สาวคนหนึ่งของเรา ซึ่งพี่คริสก็บอกว่า “น้องคือ Final Walk ของพี่” ก็เลือกพี่คริสเป็นเมนเทอร์ ซึ่งมันรู้สึกดียิ่งขึ้นไปอีกเมื่อพี่เกดและพี่คริส
อยู่ทีมเดียวกัน

 


ไม่ได้เข้า Final Walk จะไม่กลายเป็นภาพจำอันโหดร้ายซ้ำอีกหรือ

ตั้งแต่วันที่ตัดสินใจกลับมาแล้วได้อยู่ในทีม มันมีมิตรภาพเกิดขึ้นค่ะ สุดท้ายแล้วออกจากรายการเราก็ยังมีงานอยู่ดี ถ้าเราไม่ถูกเลือกเราก็ต้องยอมรับว่าเราไม่เหมาะสมจริงๆ


สุดท้ายก็ได้เข้า Final Walk อีกครั้ง
 

 

เรามีเวลาเตรียมตัวแค่ 4 วัน วันละชั่วโมงนิดๆ เท่ากับว่าเราได้ซ้อมทั้งหมดประมาณ4 ชั่วโมงครึ่ง รวมวันซ้อมใหญ่บนเวทีจริงด้วยนะคะ เมนเทอร์ทุกคนคิดโชว์ แล้วแจ้งกับทางป้าตือว่าเราโชว์อะไร ต้องการอะไรในโชว์บ้าง ตัวเราต้องลอยบนโคมไฟแชนเดอเลียร์สูงกว่าพื้นตั้ง 5 เมตร ตอนแรกกังวลจนต้องบอกพี่เกดว่าทำไม่ได้แน่ๆ เพราะเรากลัวความสูง กระโปรงที่จะใส่ก็ยาวมาก “ยูทำได้ นี่คือโอกาสสุดท้ายที่เราจะชนะ แล้วเรามีโอกาสมากนะ ลองคิดถึงตอนที่ยูชนะสิ” พี่เกดนั่งคุยกับเรา ซึ่งตอนนั้นผลของแคมเปญแอ็กติ้งยังไม่ออกมาว่าใครชนะ เราก็เลยเอาวะ…สู้ๆๆๆ สู้จนถึงที่สุดแล้วกัน เราและดารัณขึ้นไปอยู่บนแชนเดอเลียร์ เปลี่ยนท่าไปเรื่อยๆ เป็นชั่วโมง มองลงมาข้างล่างจนเริ่มไม่กลัวแล้ว จนรู้สึกว่าถ้าตกลงไปก็แค่แข้งขาหัก เอาเป็นว่าสู้ตาย!