First Time – พลัสเตอร์ พรพิพัฒน์ พัฒนเศรษฐานนท์

ถ้าเป็นสมัยก่อน การที่ดาราซักคนจะออกมาพูดเรื่องความสัมพันธ์ ใครเป็นแฟนกับใคร หรือใครกำลังดูใจกับใคร คงเป็นเรื่องที่ยากน่าดู ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเซ็กซ์ หรือความเห็นต่างๆ เลย ถ้าเผลอแสดงความเห็นออกมาคงจะได้พาดหัวเป็นข่าวหน้าหนึ่งกันเป็นสัปดาห์

แม้ว่า ‘พลัสเตอร์-พรพิพัฒน์ พัฒนเศรษฐานนท์’ จะเคยผ่านผลงานการแสดงซีรีส์มาบ้างแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกของเขากับการรับบทเกย์ในซีรีส์เรื่องใหม่ล่าสุด Friend Zone ที่พร้อมจะเล่าถึงมุมมองเรื่องเซ็กซ์ ความรัก และความสัมพันธ์ ที่เขามองว่ามันเป็นเรื่องที่ใครๆ ก็ควรพูดถึงได้
 

 

รับบทเกย์ครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้าง 

เครียดซะมากกว่าครับ เพราะระหว่างถ่าย Friend Zone ก็มีถ่ายเรื่อง Happy Birthday คู่กันไปด้วย เรื่องแรกเป็นเกย์ เรื่องที่สองเป็นผู้ชาย ผู้ชายแมนๆ มันก็จะสลับกันไปๆ มาๆ แต่ก็พยายามทำออกมาให้ได้ดีทั้งคู่ครับ และเราได้เพื่อนร่วมงานดีทั้ง 2 กองเลย งานออกมาเราก็โอเคนะ พอใจเลย


หลังจากรับบทเกย์แล้ว มีมุมมองกับเพศทางเลือกเปลี่ยนไปไหม
 

เปลี่ยนนะ เป็นมุมมองเรื่องความรักดีกว่า ผมว่าไม่ว่าจะเพศไหนมันก็เหมือนกัน อย่างในเรื่องความรักของเกย์ก็มีการสร้างอนาคต วางแผนล่วงหน้า เหมือนคู่ชายหญิง มีร้องไห้ เสียใจ ดราม่า แฮปปี้ ครบ เขาไม่ได้มองความรักเป็นเรื่องผ่านๆ มันไม่ได้มีแต่เรื่องแบบนั้นไง

 

ประสบการณ์กับคำว่า Friend Zone

สำหรับผมคำว่า Friend Zone ก็คือแค่เพื่อนกันครับ แค่นั้นเลย (หัวเราะ) ไม่เคยเพราะว่าไม่ค่อยชอบเพื่อน ชอบคนอายุมากกว่า ผมมีคติแบบนี้ ถ้าเราเริ่มรู้จักกันในความสัมพันธ์แบบไหน ผมจะไม่ค่อยเปลี่ยน เช่น ถ้าเป็นพี่น้องหรือเพื่อนกันมาก่อน จะไม่ยอมให้ความรู้สึกพัฒนา เรื่อง Friend Zone เลยไม่เคยเกิดกับผมนะ มีแต่ชอบหรือไม่ชอบไปเลย 

 

มาที่ตัวละคร ‘สตั๊ด’ เป็นไงบ้างกับบทบาทนี้ 

ในเรื่องสตั๊ดเป็นเพื่อนสนิทกับเอิร์ธ (สิงโต ปราชญา) ครับ รู้จักกันมานาน ช่วยเหลือกันมาตลอด แล้ววันนึงสตั๊ดมีปัญหาเรื่องที่อยู่ก็เลยมาขอเอิร์ธอยู่ด้วย ซึ่งเอิร์ธก็มีแฟนแล้วคือพี่แซม (ณัฐ ศักดาทร) แล้วเรื่องราวก็เลยเถิดไปเพราะเราไปชอบหมอแซม สตั๊ดก็เลยแสดงด้านมืดออกมา กลายเป็นปัญหาความสัมพันธ์ของทั้ง 3 คน ซึ่งผลจะเป็นอย่างไรก็ต้องติดตาม 

 

ทำไมถึงคิดว่าความสัมพันธ์ของคน 3 คน มันจะเป็นปัญหาล่ะ 

มันวุ่นวายมากนะ ความสัมพันธ์แบบ 3 คน พอมันมีการเปรียบเทียบเกิดขึ้น ก็จะมีความรู้สึกหึงหวง คนนั้นจะยังไง คนนี้จะยังไง ความรู้สึกของทั้ง 3 คนน่าจะงงไปหมด 

ผมเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐานแล้วกันว่าถ้ามันต้องมีความสัมพันธ์กัน 3 คน ผมยอมถอยเองดีกว่า การมอบความรักให้ใครสำหรับผมมีได้แค่คนเดียว ผมไม่รู้หรอก แต่สำหรับผมไม่เอาดีกว่า หรืออีกมุมบางคู่ก็อาจจะแฮปปี้ก็ได้นะ

 

คิดว่าเซ็กซ์สำคัญกับความสัมพันธ์ไหม 

ผมมองเป็นส่วนประกอบของความสัมพันธ์ดีกว่า แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของความสัมพันธ์ มันทำให้ชีวิตคู่มีสีสัน ชีวิตคู่มันเรียนรู้จากเซ็กซ์ได้นะ เขาชอบอะไรไม่ชอบอะไร เอาใจเขามาใส่ใจเรา เซ็กซ์มันไม่ใช่ทุกอย่าง แต่ก็อาจจะขาดไม่ได้ (หัวเราะ)

 

มีความเห็นอย่างไรบ้างกับคำว่า ‘One Night Stand’

ถ้ามองในมุมของเรื่องศีลธรรมผมไม่ตัดสินหรอกว่ามันผิดหรือไม่ผิด มันขึ้นอยู่กับบุคคล เรื่องแบบนี้มันเป็นสิ่งที่เราเลือกที่จะทำหรือไม่ทำ ไม่มีใครมาบังคับว่าต้องไปนอนกับคนนู้นคนนี้นะ แต่ส่วนตัวผมคิดว่าคนที่มี ‘One Night Stand’ เขาไม่ได้ต้องการแค่เซ็กซ์หรอก พวกเขาต้องการมากกว่านั้น แต่ด้วยหลายๆ ปัจจัยอาจทำให้เขาอาจจะต้องหยุดความสัมพันธ์ไว้แค่นั้น

 

ทำไมถึงคิดแบบนั้น

การที่คนเราจะมีอะไรกับใครคงไม่ได้เกิดแค่การดีลกันไปมาหรอก มันต้องมีเคมีบางอย่างที่ทำให้ทั้งคู่ยอมตกลงมีอะไรกัน ความสัมพันธ์มันน่าจะต่อยอดน่าจะคลิกกันได้ อยู่ที่ทั้งคู่พัฒนาไปถึงขั้นแบบมีสเตตัสหรือเปล่าอันนั้นก็อีกเรื่อง ผมยังเชื่อเลยว่า One Night Stand มันสามารถพัฒนาเป็น LTR (Long Term Relationship) ความสัมพันธ์ระยะยาวได้ด้วยซ้ำ

อย่างที่ผมบอกตอนแรก ผมเชื่อเรื่องความสัมพันธ์ในครั้งแรก ของแบบนี้มันไม่ได้เริ่มต้นจากการเป็นเพื่อนไง มันเลยน่าจะพัฒนาได้ แต่ถ้าเป็นเพื่อนกันมาก่อนแล้วขอบายดีกว่า ไม่เริ่ม One Night อะไรทั้งนั้น (หัวเราะ)

 

ให้ความสำคัญกับสถานะความสัมพันธ์ไหม 

ตอนนี้สำหรับผมไม่ค่อยสนใจคำว่า ‘สถานะ’ เท่าไหร่นะ ผมเองอยากมีคนที่คุยกันแล้วเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น อย่างตอนนี้ผมเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ติดครอบครัว และมันก็มีข้อจำกัดอะไรหลายๆ อย่างที่ทำให้ผมรู้สึกว่าสถานะมันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น แต่ถ้าถามว่ามีสถานะกันมันดีไหม แน่นอนว่าดีอยู่แล้ว แต่ถ้าถามว่าจำเป็นไหม ผมว่าไม่เพราะผมรู้ว่าผมต้องโฟกัสกับคนที่ผมรักก็โอเคแล้ว

ผมก็เคยถูกคบแบบไม่มีสถานะ ผมเข้าใจเลยนะ มันทำอะไรก็ไม่สุด ไม่รู้ว่าขอบเขตเราอยู่ตรงไหน ทำได้แค่ไหน มีครั้งหนึ่งหวงมาก ได้แต่เตือนสติตัวเองว่าเออ เราไม่มีสิทธิ์ 

 

คิดว่าการพูดเรื่องเซ็กซ์ในฐานะดารา มีขอบเขตของตัวเองหรือเปล่า

สำหรับผมไม่นะ ผมสบายใจที่จะพูดเรื่องเซ็กซ์ คนเราพูดเรื่องชีวิตประจำวันได้ เราก็ควรจะพูดเรื่องเซ็กซ์ได้ มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องเคยเจอเคยผ่านกันมาบ้าง โอเคจะช้าหรือเร็วมันก็อีกเรื่อง ก็เลยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องปกติ ตราบใดที่เราไม่พูดให้คนอื่นเสียหาย ผมก็คงไม่เล่าเป็นฉากๆ หรอก เราก็เล่าแบบภาพรวม อะไรพูดได้อะไรพูดไม่ได้ มันอยู่ที่วุฒิภาวะของเราเอง 

 

มองเรื่องความรักของตัวเองในอนาคตเป็นอย่างไร

อยากแต่งงานนะ ผมหยอดกระปุกแต่งงานเลย ไม่รู้สิ รู้สึกว่าอยากมีงานแต่งงาน ผมมองความสัมพันธ์ในอีก 5 ปีเป็นแบบอยากมีเพื่อนคู่คิดซักคนหนึ่งที่จะอยู่กับเรา เรียนรู้กัน ใช้ชีวิตร่วมกัน เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ด้วยกัน ได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ ดูสีชมพูไปหมดเลยเนอะ (หัวเราะ)