Experimental Life – ณัฐ ศักดาทร

ในวัยย่าง 36 ปีของ ‘ณัฐ ศักดาทร’ เขาพร้อมที่จะเล่าถึงประสบการณ์ความสัมพันธ์ ความรัก และเซ็กซ์ที่เขาได้ผ่านมา ทำให้เราได้พบกับมุมมองที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคติการมีคู่ครองคนเดียวหรือหลายคน ประสบการณ์การนอกใจคนรัก และรูปลักษณ์ภายนอกที่เขาพูดเสียงแข็งว่ายังไงๆ รูปลักษณ์ภายนอกก็สำคัญ


รับบทเกย์รอบที่ 2 แล้ว ครั้งนี้แตกต่างกับครั้งแรกอย่างไรบ้าง 

ครั้งนั้นเล่นกับพี่อั๊ต อัษฎา บทตอนนั้นจะโตกว่าเรื่อง Friend Zone ประมาณหนึ่ง เป็นภาพของครอบครัวเลย มันมีมิติของตัวละครที่จะพูดถึงเรื่องแฟน ครอบครัว ลูก การเป็นเกย์ในสังคม บทมันโตกว่าหมอแซมที่เราจะเห็นในมุมของแค่งานกับแฟน แล้วก็มีความหวือหวา เซ็กซ์ พวกนี้เข้ามาด้วย ความท้าทายก็ต่างกันไป


เคยมีประสบการณ์กับคำว่า Friend Zone ไหม

ความสัมพันธ์ที่ไม่ชัดเจนใช่ไหม ก็เคยเจอนะ คุยกับคนหนึ่งมาเป็นปี ก็คลุมเครือ ตกลงจะเป็นแฟนหรือเปล่า หรือเป็นคนพิเศษ แต่ก็ไม่ใช่ มีโมโห มีงอน ทุกอย่างมันมากกว่าเพื่อน แต่เราไม่มีสิทธิ์ในตัวเขา เราไม่รู้ขอบเขตของความสัมพันธ์ว่าเราทำอะไรได้บ้าง มันอึดอัดนะ เพราะทุกครั้งมันก็จะมีข้ออ้างขึ้นมาว่าก็ไม่ได้เป็นอะไรกันไม่ใช่เหรอ 

ในตอนนั้นมันก็มีความสุขนะ จากการที่เราได้รู้จักตัวตนของกันและกันประมาณหนึ่ง ได้อยู่ด้วยกัน แชร์เรื่องราวต่างๆ ในตอนนั้นมันก็โอเคนะ แต่สุดท้ายแล้วผมว่าความชัดเจนในความสัมพันธ์มันก็สำคัญนะ ไม่ต้องถึงกับตั้งกฎ 1 2 3 4 แต่มันคือความชัดเจนซึ่งกันและกัน ลดความระแวง เกิดความมั่นใจซึ่งกันและกัน มันก็ช่วยให้ทั้งคู่ไปต่อกันง่ายขึ้น 
 

 

เข็ดไหมกับความสัมพันธ์แบบนี้ 

(ถอนหายใจ) ผมก็จะ 36 ปีแล้วนะ (หัวเราะ) ก็ผ่านอะไรมาเยอะ มันก็ไม่ใช่วันที่จะมาคุยเล่นกับใครไปเรื่อยแล้วด้วย เรื่องรับผิดชอบก็เยอะ ถ้ามีความสัมพันธ์ก็อยากมีแล้วเราสบายใจ มีความสุข ไม่เหนื่อยเพิ่ม คือมันเหนื่อยได้กับการทำให้มันเวิร์ก แต่ไม่ใช่เหนื่อยทะเลาะกัน

อีกอย่างผมไม่อยากกลายเป็นคนที่โอเคกับความสัมพันธ์แบบคลุมเครือ มันเหมือนการเปิดโอกาสให้เราเริ่มทำอะไรที่มันไม่ดี เราจะใช้ความคลุมเครือในการอ้างนู่นอ้างนี่ เลยไม่อยากให้ตัวเองไปอยู่ในจุดนั้น ถ้าจะต้องไปอยู่จุดนั้นจริงๆ อีกคนนั้นต้องใช่หมดทุกอย่างเลย
 


ความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องเป็นอย่างไรบ้าง 

รับบทเป็นหมอแซม เป็นหมอในห้องฉุกเฉิน คบอยู่กับเอิร์ธ (สิงโต ปราชญา) ด้วยความเป็นหมอก็จะมีความเป็นระเบียบ ความเป๊ะในหลายๆ อย่าง แล้วก็เป็นคนยอมแฟนในช่วงแรกนะ จนกระทั่งมีสตั๊ด (พลัสเตอร์ พรพิพัฒน์) เข้ามา ก็ทำให้ความสัมพันธ์มันมีการเปรียบเทียบกัน ทำให้เกิดเรื่องอะไรบางอย่างขึ้น


เชื่อในความสัมพันธ์แบบ Monogamy ไหม

1 คน 1 คู่ มันก็เป็นสิ่งที่ควรจะเป็นนะ (ควรจะเป็น แสดงว่า Polygamy ก็สามารถเป็นไปได้ใช่ไหม) ควรจะในเชิงที่ว่าปัญหาที่ตามมามันจะน้อยลงมากกว่า ปัญหารักๆ เลิกๆ ส่วนใหญ่มันก็มาจากการนอกใจ ถ้าความสัมพันธ์หลุดออกจาก Monogamy ไปแล้ว มันคงจะต้องใช้ความเข้าใจของกันและกันอย่างมาก มากขนาดที่แยกเรื่องความสัมพันธ์ออกจากเซ็กซ์ การรักษาสมดุลของแต่ละคนในความสัมพันธ์เลยรู้สึกว่า จริงๆ แล้ว Monogamy มันไม่ใช่คำตอบที่ถูกที่สุดสำหรับความสัมพันธ์ เลยใช้คำว่า ‘ควรจะเป็น’ ผมอาจจะผิดก็ได้ แต่ที่แน่ๆ มันช่วยตัดปัญหาใหญ่ๆ ไปได้หลายเรื่อง

ส่วนตัวผมถ้าตัดสินใจคบใครแล้วก็จะซีเรียสนะ คู่เดียวคนเดียวเท่านั้น แต่ตัวผมเองก็เคยพลาดไปเหมือนกัน ซึ่งเกิดขึ้นครั้งเดียว และสัญญากับตัวเองว่าจะไม่เกิดขึ้นอีกแล้ว 
 

 

ทำไมถึงตัดสินใจนอกใจแฟน

มันอยู่ในช่วงของความสัมพันธ์ที่เริ่มใส่ใจกันน้อยลง แคร์ความรู้สึกกันน้อยลง ห่างกัน ไม่ค่อยได้คุยกัน จนเราตั้งคำถามกับตัวเองว่าคนนี้ยังเป็นคนที่ใช่สำหรับเราอยู่หรือเปล่า มันจะไปได้ในระยะยาวไหม เราก็เลยไปเริ่มคุยกับคนอื่น มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น โดยเราให้เหตุผลว่าเราจะหาคำตอบว่าความสัมพันธ์ที่มีอยู่ตอนนั้นมันจริงใช่ไหม โดยเอาความรู้สึกไปทดสอบกับคนอื่น ไม่รู้ตอนนั้นคิดอะไรอยู่นะ (หัวเราะ) มันไม่ถูกตั้งแต่แรกอยู่แล้วที่จะเอาบุคคลที่สามมาแก้ปัญหาของคนสองคน 

 

แล้ว Polygamy ล่ะ 

มันไม่ผิดหรอก ถ้าทุกบุคคลที่อยู่ในความสัมพันธ์มีความสุข เติมเต็มกันและกัน ไม่มีเรื่องของความอิจฉาริษยา ถ้าจัดการได้ก็โอเค Good Luck นะ เพราะเคยเจอมาหลายคน หลายคู่ ที่พยายามเพิ่มใครซักคนเข้ามาในความสัมพันธ์ มันก็ต้องมีการปรับหรือพยายามยอมรับจนพวกเขาโอเค แต่ส่วนตัวผมรับเรื่องพวกนี้ไม่ได้

 


ความรัก เซ็กซ์ ในวัยย่าง 36 ปี ของณัฐ ศักดาทร เป็นอย่างไร

ความรักก็โสดครับ มีเหงาบ้าง เครียดบ้าง มันก็มีความคิดว่าเราจะหาคนนั้นเจอได้ที่ไหนวะ เขาอยู่ไหน ทำไมไม่มาซักที เหนื่อยแล้วนะ (หัวเราะ) เคยมีช่วงพยายามคุยกับใครหลายๆ คน คุยเยอะๆ สุดท้ายยิ่งหาก็ยิ่งไม่เจอ จริงๆ มันก็มีช่วงที่บอกกับตัวเองเหมือนกันว่าอยู่คนเดียวก็ได้นะ มันเป็นไอเดียว่าเราไม่จำเป็นต้องมีคู่ก็ได้ เราไม่ต้องยึดติดกับความสัมพันธ์ ไม่เอาความสุขความทุกข์ของเราไปขึ้นอยู่กับเขาคนเดียว เราก็คงจะมีความสุขด้วยตัวเองได้ 

เซ็กซ์นี่เล่าได้เหรอ (หัวเราะ) หวือหวาไหม ก็มีช่วงหนักๆ เหมือนกันนะ หลุดไปเกือบปี มันก็เริ่มจากการคุยกับหลายๆ คน แล้วมันก็กลายเป็นว่าเรารู้จักกันในระดับที่ผิวเผินมาก แล้วมันไม่ได้เติมเต็มอะไรในตัวเราเลย มันกลับยิ่งทำให้เราเคว้งอยู่ข้างในไปซะอีก พอได้สติผมก็เลยเดินออกจากตรงนั้นมา ตั้งแต่ตอนนั้นเซ็กซ์ของผมก็จะมีกับคนที่…โอเคมันก็ไม่ได้มีอะไรกับแฟน 100% หรอก มันก็มีช่วงที่ไม่มีแฟนบ้าง (หัวเราะ) เอาเป็นว่าผมจะมีกับคนที่เรารู้สึกดี เรารู้สึกผูกพันกับเขาแบบนี้แล้วกัน มันต่างกันจริงๆ นะ ต่างกันมาก 
 

 

คิดว่ารูปลักษณ์ภายนอกมีผลต่อความสัมพันธ์มากน้อยแค่ไหน 

ผมเคยเจอบางคนที่แบบดูดีมาก แต่พอได้คุยด้วยแล้วโห หมดเสน่ห์เลย แต่กับบางคนดูดีประมาณหนึ่งคุยกันแล้วเห็นถึงนิสัยการใช้ชีวิตแล้วเรากลับชอบเขามาก ปัจจัยภายนอกมันเป็นด่านแรกที่จะเตะตากัน มันก็สำคัญเหมือนกันนะ Physical Attraction เนี่ย ถ้าทุกวันนี้คุณยังกรี๊ดคนหล่อคนสวยอยู่บ้างเล็กน้อย คุณก็เป็นคนหนึ่งที่ให้ความสำคัญกับภายนอกแล้ว

เรื่องนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการออกกำลังกายที่ผ่านมา 5-6 ปี ของผม ช่วงแรกๆ ผมไม่มั่นใจในตัวเอง ก็รู้สึกว่าหน้าตาเราไม่ได้หล่อแบบว่าพระเอก บวกกับเราก็สูงแค่เนี้ย 170 ซม. จะไปสู้อะไรกับเขาได้วะเนี่ย ซึ่งพูดกันแฟร์ๆ โอกาสหลายๆ อย่างในวงการบันเทิง คนที่หน้าตาดีก็จะได้โอกาสที่ดีมาได้ง่ายกว่า คือมันก็ไม่ได้เสมอไปหรอก แต่ว่าความง่ายในการได้งานมันง่ายกว่า เพราะฉะนั้นเราก็เลยรู้สึกว่าถ้าเราพัฒนาอะไรที่มันเป็นภายนอกของเราอีกซักนิดน่าจะดีกว่า ก็เลยหันไปออกกำลังกายครับ ให้เรารู้สึกตัวเองมีบุคลิกภาพที่ดี ดูแข็งแรงขึ้น แล้วมันก็ได้ผลจริงๆ นะ คนก็หันมามองเรามากขึ้น ให้โอกาสเรา เขาถึงรู้ว่าเราเป็นคนที่ตั้งใจกับโอกาสต่างๆ ที่มันได้มา ซึ่งเราก็ต้องทำภายนอกของเราให้น่าสนใจก่อน 
 

ถ้าถามว่าผมเป็น Narcissistic (หมกหมุ่นกับตัวเอง) หรือเปล่า ผมว่าไม่นะ แต่ผมว่าผม Insecure (รู้สึกไม่ปลอดภัย) มากกว่า เพราะผมจะตั้งคำถามกับตัวเองว่าผมดีพอหรือยัง
 

 

แต่ละงานก็จะมีอายุขัยของมัน คิดว่าจะรักษารูปลักษณ์ภายนอกไปถึงเมื่อไหร่ 

ขอขยายความเรื่องที่บอกว่าภายนอกมันสำคัญนิดหนึ่ง ผมไม่อยากให้พยายามจนไปโฟกัสจนเครียด สภาพร่างกายมันก็ต้องดูดีประมาณหนึ่ง เพราะมันมีผลต่อการจัดวางอะไรบางอย่างในสังคม ตราบใดที่สังคมยังไม่สามารถโฟกัสเรื่องภายในได้อย่างเดียว เราทำเพื่อสร้างโอกาส สังคมมันเป็นแบบนี้ เราต้องอยู่ในระบบให้ฉลาด อย่าอยู่อย่างเป็นทาสของมัน รู้ว่าระบบเป็นอย่างไร เล่นตามระบบ เล่นตามเกม แต่เล่นให้เหนือกว่านั้นหน่อย

กลับมาที่คำถาม คงจะดูแลให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ ฟังแล้วมันอาจจะดูคลิเช่นะ การดูแลร่างกายมันไม่ได้ดีแต่กับสุขภาพกาย มันได้สุขภาพจิตด้วย เรามีความมั่นใจในตัวเองมากขึ้น ภูมิใจในตัวเองด้วย มันเป็นการเริ่มต้น Mindset ที่ดีที่เราควรจะมีไปเรื่อยๆ