Every Cloud has a Silver Lining - กอล์ฟ พิชญะ นิธิไพศาลกุล

21.01.19 1,176 views

คนจำนวนมากเปรียบเทียบว่าชีวิตของคนมีขึ้นและลงเหมือนรถไฟเหาะ แต่บางครั้งนิยามไม่ได้หมายความว่าจะจำกัดความทุกเรื่องราวได้ ทุกคนมีวิถีและช่วงชีวิตที่แตกต่างกันไป ‘กอล์ฟ-พิชญะ นิธิไพศาลกุล’ อาจจะเหมาะกับคำว่าชีวิตกระโดดไปมามากกว่า

นับตั้งแต่วันที่ทุกคนรู้จักเขาในนาม ‘กอล์ฟ-ไมค์’ ศิลปินพี่น้องดูโอ้หน้าตาโดดเด่น กระแสความดังเปรี้ยงที่ต่อเนื่องยาวนานผ่านหลายบทเพลง หลายอัลบั้ม ไม่มีวัยรุ่นยุคมิลเลเนียมคนไหนไม่รู้จักเขา กระทั่งวันที่กอล์ฟและไมค์แยกออกมาทำงานเดี่ยว เป็นอีกก้าวกระโดดที่พาไปอีกโลกที่ไม่ใช่เพียงแค่โลกแห่งเสียงเพลง กระทั่งเมื่อปลายปีที่ผ่านมากลับมายังเส้นทางเสียงเพลงอีกครั้ง กับ ‘ฆ่าฉันดีกว่า’ เพลงที่ถ่ายทอดทุกอย่างในชีวิตขวบปีที่ผ่านมาของเขาได้หมดเปลือก 

HAMBURGER กระโดดเข้าไปในชีวิตของกอล์ฟตั้งแต่ก่อนเข้ามาสร้างปรากฏการณ์ให้วงการเพลง ชีวิตที่หลายคนคิดว่าหรูหรา ชีวิตที่คิดว่าแค่หน้าตาดีก็มีชัยไปกว่าครึ่ง ชีวิตความรักที่พังทลายไม่เป็นท่า และชีวิตที่ก้าวข้ามผ่านเรื่องราวเศร้าใจสู่ก้าวใหม่ในชีวิตอีกครั้ง 


ผลงานที่ผ่านมาส่วนใหญ่ของคุณคืองานแสดง ชอบการเป็นนักแสดงเหรอ 

ตอนเด็กๆ ติดเกม ถึงขนาดว่าแม่ยึดเกมไปซ่อนเลย และเราชอบพวกหนังแอ็กชั่น หนังซูเปอร์ฮีโร่ อารมณ์เด็กผู้ชาย ชอบโมเดล ใฝ่ฝันอยากเป็นซูเปอร์ฮีโร่ กอลฟ์ว่าเด็กผู้ชายทุกคนก็อยากเป็นกัน มันเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าการเข้ามาเป็นนักแสดงแล้วเปิดรับง่าย และงานแสดงมันก็มีมาเรื่อยๆ ปลายปีที่ผ่านมาก็มีเรื่อง นางสาวไม่จำกัดนามสกุล และปีนี้มีซีรีส์เรื่อง Bangkok Vampire ที่น่าจะได้ออนแอร์เร็วๆ นี้  

ชอบการแสดงนะครับ พอเราได้ลองแสดงไปสักเรื่องสองเรื่อง เหมือนได้เข้าไปเจอกับอะไรที่แปลกใหม่ ก็เริ่มซึมซับ และก็ชอบมัน  แต่เราก็เลือกบทเยอะก่อนรับเล่นพอสมควรนะ มีคนติดต่อมาหลายเรื่องที่ไม่ได้รับ จนบางทีก็กลัวเขาด่าเหมือนกันว่าทำไมเราไม่รับเลย (ยิ้ม) 


นอกจากรับงานแสดง ยังมีโอกาสชิมลางเป็นผู้จัดละครด้วย 

อย่างที่บอกไปแล้วว่าผมเป็นคนเนิร์ด ชอบเสพซูเปอร์ฮีโร่ คนที่มันมีพลังพิเศษต่างๆ เลยทำซีรีส์เรื่อง Devil Lover เผลอใจ..ให้นายปีศาจ เป็นซีรีส์พวกที่มีพลังพิเศษนิดนึง เป็นเรื่องที่เหนื่อยมากกก (หัวเราะ) การเป็นผู้จัดคืองานที่เหนื่อยมากจริงๆ ก่อนมาทำก็ศึกษาประมาณนึงแล้ว แต่ไม่ได้ละเอียดทุกเม็ด ตอนนั้นมันเริ่มมาจากว่าเราอยากลองทำอะไรใหม่ๆ เพื่อเป็นประสบการณ์ เพราะเราตัดต่อเองได้และชอบงานตัดต่อด้วย ทำงาน Visual Effect ได้ ถึงจะเป็นทักษะที่ได้จากการหัดเอาเองตามยูทูบ แต่เราเอามาปรับใช้ในงานเราได้เยอะเลย 


หัดเอาเองเหรอ

ใช่ๆ ไม่ได้เรียน เราดูคลิปของเมืองนอก เวลาว่างส่วนใหญ่อยู่บนยูทูบ 

เล่าย้อนไปสมัยที่เรียนไฮสคูล มันมีการประกวดถ่ายภาพที่โรงเรียนอินเตอร์เขาแข่งกัน เราก็ไปแข่งด้วย เพราะเราชอบงานถ่ายทำ ตอนนั้นไปซื้อผ้า Green Screen ถึงพาหุรัด เอามาขึงสนามบาสฯ ขโมยเก้าอี้ไม้ของคุณแม่มา แล้วเอาผ้าเขียวคลุม แล้วเราก็นั่ง แล้วก็มาตัดต่ออีกที ทำ Key Green Screen สมัยนั้นเทคโนโลยีมันยากมากนะ แต่คนก็ร้องว้าวกับงานเราเหมือนกันนะ หลายคนบอกว่าเด็กบ้านนี้มันลงทุน ส่วนบางคนก็งงว่าเราขึงผ้าทำไม ต้องใส่รองเท้าที่มีล้อถือกล้องตัวใหญ่ๆ วิ่งพุ่งเข้าไปถ่ายตอนนั้นรู้สึกเหมือนอยู่ในเรื่อง The Matrix


เด็กเนิร์ดในความหมายของคุณคือเด็กใส่แว่นตาหนาเตอะเหรอ 

ไม่ กอล์ฟไม่ได้ใส่แว่น น่าจะเป็นอินเนอร์มั้ง (หัวเราะ) มีฟีลที่ชอบอยู่กับอะไรบางอย่าง ติดเกม ชอบการ์ตูน หลายครั้งเรารู้สึกว่าตัวการ์ตูนเหล่านั้นมันอินสไปร์เราจังเลย รู้สึกว่ามันเท่จังเลย อยากแต่งตัวแบบการ์ตูนตัวนี้ แต่ว่าไม่มีงบ


ไม่มีงบ!?! 

ใช่ ตอนนั้นไม่มีงบ


แต่ว่าหลายคนคิดว่าคุณเป็นคนมีฐานะกันทั้งนั้นนะ

(ทำไมไม่ขอคุณแม่) เขามองว่าสิ่งที่เราทำมันฟุ่มเฟือย เราใช้เงินกับอะไรตรงนี้ทำไม อย่างสมมติเราชอบร็อกแมน แล้วถ้าอยากแต่งตัวเหมือนร็อกแมนก็ต้องตัดชุด และสมัยก่อนตัดชุดทีนึงมันแพง เราต้องไปหาพวกท่อสีฟ้าๆ มาหั่น แล้วเอามือใส่เข้าไปในท่อ ที่บ้านมีเงิน แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะใช้เงินกับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง 


ค้นพบเส้นทางของตัวเองตั้งแต่เด็กว่าจะมาเส้นทางนี้

ค้นพบว่าเป็นสายเนิร์ด กอล์ฟชอบอ่าน ชอบงานศิลปะ ชอบวาดรูป ชอบกราฟิกแต่ไม่คิดว่าจะมาร้องเพลงเลย จนกระทั่งเราเล่นเกมเยอะเกินไป เยอะจนแม่รู่สึกว่าปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว วันๆ กลับมาบ้าน เล่นแต่เกม แม่เลยส่งให้ไปเรียนร้องเพลงก็แล้วกัน ตอนนั้นมีโปรเจ็กต์เข้ามาพอดี แม่เลยส่งไปจะได้ไม่มีเวลามาเล่นเกม (พี่น้องคนอื่นๆ เล่นไหม) ก็เล่นทุกคนนะ แต่กอล์ฟเล่นหนักที่สุด 


พี่ๆ (แซนด์-แบงค์*) มีส่วนผลักดันให้คุณอยากเป็นศิลปินไหม 

ก็มีส่วน ตอนเด็กเราเห็นพี่เป็นนักร้อง พวกเขาต้องใส่เสื้อผ้าตามคอนเซ็ปต์ เราก็จะไปขโมยชุดเขามาใส่ เอามาถ่ายรูปเล่น มันก็เป็นอินสไปร์นึงของเราที่ทำให้อยากเป็นนักร้อง ตอนเด็กๆ เรารู้สึกว่าเขาเท่ เจ๋งจังเลยเป็นนักร้อง มีแฟนๆ มากรี๊ด ได้ใส่ชุดคอนเซ็ปต์สีชมพู-น้ำเงิน-ขาว เราเป็นคนชอบสีสันอยู่แล้ว ก็ยิ่งทำให้เราชอบสีสันมากขึ้นอีกจนถึงตอนนี้ 

ตอนเรียนไฮสคูลมีเพื่อนจ้างครูมาสอนเบรกแดนซ์ที่โรงเรียน เราชอบเต้นอยู่แล้วก็ไปเรียนกับเพื่อนๆ จนวันนึงเขาเลิกเรียนหมดแล้ว เหลือเราอยู่คนเดียวที่เรียนต่อ หลายสิบปีก่อนเบรกแดนซ์กำลังมา แต่น้อยคนมากในประเทศที่จะเต้นได้ เราเหมือนเป็นยุคบุกเบิก เราอยากเต้นให้ได้ ลงเรียนต่อมาเรื่อยๆ จนท่าที่หลายคนคิดว่าเด็กๆ ไม่น่าจะทำได้ อย่างพวกลงไปหมุน ไปกลิ้ง แต่เราทำได้ เป็นจุดที่ทำให้เราได้เข้าโครงการ G-JR พร้อมกับไมค์ ซึ่งแม่ก็สนับสนุนดี เพราะเราจะได้เลิกเล่นเกม (ยิ้ม) พอเข้าไป ก็ต้องร้องเพลงด้วย ตอนนั้นเรายังไม่อินกับเรื่องร้องเพลงเท่าไหร่นะ 


รู้สึกอย่างไรพอรู้ว่าต้องร้องเพลง 

ต้องร้องเพลงด้วยเหรอ เต้นอย่างเดียวไม่ได้เหรอ แต่พอเข้าคลาสเรียนก็เริ่มรู้สึกว่ามันก็โอเคนะ เจอเพื่อนๆ ใน G-JR เยอะแยะเต็มไปหมด เราได้มีเพื่อน เหมือนเพื่อนชวนกันมาสนุก เรียนร้องเพลง เรียนประสานเสียง มีไปเรียนเต้นอื่นๆ อีก อย่างตอนนั้นต้องเต้นแจ๊สด้วย ทำไมต้องแจ๊สต้องใส่กางเกงรัดติ้วนี่ไม่ชอบเลย เพราะเราสายฮิปฮอป เรามาสายเบรกแดนซ์ 


ความเป็นกอล์ฟ-ไมค์ ในตอนนั้นเป็นอย่างไร

สมัยนั้นกอล์ฟกับไมค์ตัวติดกันมาก ด้วยความที่อายุห่างกัน 2 ปีครึ่ง หลายครั้งกอล์ฟอาจจะดูโตกว่าอย่างเห็นได้ชัด ไมค์มีความเบบี้กว่า เขาติดเกมกว่า ตอนนั้นเกมออนไลน์กำลังฮิต ส่วนกอลฟ์จะมาฟีลว่าอยากทำให้ได้ เรารู้สึกว่ามีอีกหลายคนใน G-JR ที่เก่งๆ เราอยากทำให้ได้ ก็จะคอยตามไมค์มาซ้อม 


คำว่าคนอื่นเก่งกว่าของคุณต้องระดับไหน

เราอายุเยอะกว่า แต่เขากลับเป็นลีดเดอร์ของทีม แต่เราถูกแยกมาอยู่คลาสที่ดูเด็ก การแยกคลาสตอนนั้นมันเห็นชัดเจนว่าคลาสนี้แอดวานซ์ อีกคลาสไม่แอดวานซ์ เรารู้สึกเศร้านิดนึงว่าทำไมเขาเก่งวะ เพราะฉะนั้นเราต้องเก่งให้ได้ เราก็จะฝึกๆๆๆๆ พยายามทำยังไงก็ได้ให้เก่งๆๆๆ คิดอยู่แค่นั้น ส่วนไมค์ช่วงนั้นเอาแต่เล่นเกม เราก็จะให้มาซ้อม ทำไมเป็นอย่างนี้ๆ จนตีกันน่ะ เราขู่ว่าเดี๋ยวจะลบเกมทิ้ง น้องหยิบกรรไกรมาจะปาใส่เรา ยุคนั้นเขาติด Ragnarok (ยิ้ม) 


ได้ข่าวว่าทั้งเรียนและซ้อมนานมากกว่าจะมีผลงานจริงเหรอ

หลายปีมาก 


เคยคิดไหมว่าทำไมต้องซ้อมเยอะ ไม่มีผลงานออกมาเสียที “ฉันมาทำอะไรที่นี่?”

ไม่เคยคิดเลย แต่คิดว่าเมื่อไหร่จะได้ออกอัลบั้มวะ (หัวเราะ) เพราะว่าเราซ้อม G-JR มาปีนึง ปรากฏว่าผ่านไปปีนึงแล้ว2 ปีแล้ว ยังไม่ได้ออกเสียที ก็มีที่ผู้ใหญ่มาเลือกไปทำเพลงให้ ได้อัดเสียง มีคิวอัดตั้งแต่ 6 โมงเย็น จนถึงเที่ยงคืน อัดเยอะมาก เพราะเรายังร้องเพลงไม่แข็งแรง อัดกันดึกๆ จนเรารู้สึกว่ามันน่าจะได้แล้ว จะ 100% แล้ว น่าจะได้ออกอัลบั้มแล้ว แต่สุดท้ายผู้ใหญ่ยกเลิก เพราะเขารู้สึกว่ามันยังไม่โอเค ด้วยความที่ตอนนั้นเป็นช่วงที่อยู่ๆ ไมค์ก็สูงชะลูดขึ้น ลุคของไมค์ต้องเปลี่ยน นอกจากนี้เสียงไมค์ก็เปลี่ยนไปด้วย ไมค์เสียงแตกหนุ่ม จากที่ตอนแรกจะปล่อยเพลง ‘คนมาจากลิง’ ซึ่งเป็นเพลงที่เบบี๋มาก เป็นเพลงที่มาจากเรา 2 คนที่เหมือนลิง กอล์ฟ-ไมค์ตอนนั้นเหมือนลิงผมยาวๆ (ยิ้ม) เราก็เริ่มรู้สึกท้อ เพราะมันจะเสร็จอยู่แล้ว จนร้องไห้เลย พอต้องลบเพลงใหม่หมดเลย ใจเราร่วงลงมาเลย มันท้อ เพราะเราทำมาตั้งนาน คิดแบบเด็กๆ ถึงขั้นว่าหรือเขาจะไม่ให้เราออกเพลงแล้ว เพราะเราไม่เข้าใจระบบของผู้ใหญ่ เราไม่เข้าใจเรื่องการปรับลุค ปรับเพลงให้มันดีที่สุดก่อนที่ผลงานจะออกมา 


Bounce เพลงแรกของกอล์ฟ-ไมค์ ก็เกิดขึ้นใช่ไหม 

สุดท้ายเพลงแรกก็คือ Bounce พอมองย้อนกลับไปจากตอนนี้ เรารู้สึกว่าพี่ๆ ผู้ใหญ่เขาตั้งใจทำมากจริงๆ แม้กระทั่งการต้องลากไมโครโฟนออกมานอกห้องอัดเพื่ออัดเสียงลูกบาสฯ (หัวเราะ) โห จริงจังเนอะ เพื่อเอาเสียงลูกบาสฯ มาผสมกับเสียงกลอง ตอนนั้นเราไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมต้องอัดด้วยลูกบาสฯ 

ผ่านมา 4 ปี ในที่สุดก็มีอัลบั้มแรกของเรา ไม่มีชื่อ...คือใช้ชื่อว่า ‘กอล์ฟ-ไมค์’ เลย วันที่แถลงข่าวใต้ตึกแกรมมี่ ปูพรมแดงมีแฟนคลับเต็มไปหมด พอแถลงข่าวเสร็จเราร้องไห้เลย มันเป็นความรู้สึกที่ดีใจมาก เราไม่เคยเจอโมเมนต์นี้ ที่เราเหนื่อยมานานมาก นี่คือ This is the day วันนี้แหละที่เรารอมานาน วันที่มีคนมายืนรอ มีนักข่าวมา พอเราร้องไห้ ไมค์ก็ร้องตาม 


จากคนที่ไม่ชอบร้องเพลง การออกอัลบั้ม การต้องร้องเพลงตลอดเป็นอย่างไรบ้าง

ช่วงที่เรียน G-JR ไปสักพัก ก็เริ่มชอบร้องเพลงไปเอง ตอนนั้นชอบเพลงป๊อป ร็อก มีพี่ตูน Bodyslam ชอบพี่ปั๊บ Potato และพี่แบงค์ Clash เป็นไอดอล 


การมีส่วนร่วมในการทำเพลงล่ะ

อัลบั้มแรกของเราเป็นการทำเพลงตามผู้ใหญ่เป็นหลัก มีบ้างที่เราให้ไอเดียว่าเราอยากพูดถึงอะไร เราชอบอะไร การมีลูกบาสฯ มันก็เกิดมาจากที่พวกเราถนัดบาสฯ ทั้งคู่ เขาเลยเอามาเป็นไอเดียในการทำเพลง 

จนไปถึงอัลบั้ม 2 และ 3 ที่เราเริ่มมีประสบการณ์แล้ว และมีโอกาสได้ทำงานเพลงที่ญี่ปุ่น บวกกับเริ่มมีคนพูดว่ากอล์ฟ-ไมค์ขายหน้าตา ร้องเพลงไม่ได้หรอก...ก็อาจจะจริงของเขานะ เราก็ไม่ได้ร้องดีขนาดนั้น แต่เราก็พยายามพัฒนาตัวเองตลอดเวลา เพราะคำสบประมาทเหล่านั้น พยายามหัดเขียนเนื้อเพลงด้วย อยากมีส่วนร่วมในการทำเพลงให้มากขึ้น ส่งเพลงไปเสนอผู้ใหญ่ ช่วงตอนที่จะทำอัลบั้มที่ 2 เขาก็ตีกลับมา เขาบอกว่าใจคอเราจะใส่ทุกอย่างที่เขียนลงไปในหนึ่งเพลงเลยเหรอ (ยิ้ม) เราเคยออกแบบเอ็มวีด้วย มีการทำสตอรี่บอร์ดจริงจังไปเสนอพี่ธนวัฒ สืบสุวรรณ ที่เป็น Executive Producer ของเราตอนนั้น เขาก็ยอมดูนะ พอดูเสร็จ “ไอ้เหี้ย ใครจะทำแบบนี้ให้มึงได้” (หัวเราะ) พองานโดนตีกลับแบบนี้เราก็เฟล เราตั้งใจมากเลยนะ ทำไมทำไม่ได้ล่ะ แค่ห้อยตัวลงมาแค่นั้นเอง

หลังจากนั้นเราก็เรียนรู้แล้วว่าสิ่งที่เราจินตนาการมันใหญ่เกินไป หรือบางครั้งมันต้องใช้งบฯ เยอะ อะไรที่เขาบอกเราก็ทำตาม ก็จะมีเสริมฟีลลิ่งที่เราอยากทำ อย่างเช่นตอนทำเพลงกับพี่ดี้-นิติพงษ์ ห่อนาค เราก็เสนอว่าให้มีการเติมเมโลดี้แบบอาร์แอนด์บีผสมแร็ปเข้าไปในเพลง ‘ที่ปรึกษา’ เพลงนั้นก็เลยมีความแปลกขึ้นมาในยุคนั้น 


ทำเพลงต่อเนื่องหลายอัลบั้มติดต่อกัน ตอนนั้นรู้สึกว่าเป็นหน้าที่หรือเป็นความสนุก

การมีอัลบั้มต่อเนื่องเราว่าจริงๆ แล้วทุกอย่างมันขับเคลื่อนด้วยการที่เราทำสิ่งที่ชอบ ชอบการตอบรับ ชอบอ่านคอมเมนต์อย่างตอนนั้นเราก็ไปอ่านตามพันทิป เว็บบอร์ด เราต่อสู้กับการถูกมองว่าขายภาพลักษณ์มาตลอด ฐานแฟนคลับของเราเป็นผู้หญิง เขาก็กรี๊ดเราที่หน้าตา รูปลักษณ์ ภาพที่ทำให้เราเป็น เราอยากถูกยอมรับในกลุ่มอื่นด้วย ในกลุ่มผู้ชายด้วย 


ไม่รู้สึกเหรอว่ามันคือความโชคดีที่เราเกิดมามีหน้าตาดี 

ไม่ได้รู้สึก เราว่าเป็นข้อด้อยสำหรับเราด้วยซ้ำ คือเราไม่รู้หรอกว่าเราหน้าตาดีหรืออยู่ในระดับไหน แต่เรารู้แค่ว่าข้อนี้ทำให้เรายิ่งต้องเพิ่มศักยภาพของเราให้เด่นกว่าภาพลักษณ์ของเรา อย่างคนอื่นที่เขาอาจจะไม่ถูกมองเรื่องภาพลักษณ์ มันทำให้คนดูและยอมรับศักยภาพของได้ง่ายกว่า มันทำให้เราต้อง Work Hard กว่าคนอื่นไปอีก 


คิดว่าแต่ละอัลบั้มของกอล์ฟ-ไมค์ มีพัฒนาการที่สามารถลบภาพลักษณ์ได้ไหม

กอล์ฟว่ามันไหลขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างอัลบั้มสาม Get Ready คนยอมรับมากขึ้น เพราะเราพยายามร้องเพลงมากขึ้น อย่างอัลบั้มแรกเรายอมรับว่าบ่อยครั้งเราร้องลิปซิงก์ แต่เราก็เรียนร้องเพลงจนรู้สึกว่าเราแข็งแรงพอที่จะร้องแบบไม่ต้องลิปซิงก์ เราไม่อยากโดนมองว่าเป็นแค่ศิลปินที่มาเต้นๆ แล้วร้องลิปซิงก์ได้ เพราะสมัยก่อนเราดูนักร้องหลายคนอย่าง B2K, Justin Timberlake หรือนักร้องผิวสีอีกหลายคนที่เก่งๆ ทั้งร้องทั้งเต้นไปด้วย เราก็ไปศึกษาเทคนิคที่จะมาช่วย เพื่อใช้ในการที่เราจะร้องไปเต้นไป ซึ่งกอล์ฟก็เวิร์กด้วยตัวเอง ดูเว็บไซต์ ดูคลิป เปิดยูทูบ เพราะอยากร้องสดให้ได้ ซึ่งก็เริ่มทำตั้งแต่อัลบั้มที่ 2 

จริงๆ เราเริ่มร้องสดตั้งแต่อัลบั้มแรกแล้ว เวลาขึ้นคอนเสิร์ตใหญ่ แต่ว่าส่วนมากเป็นเพลงช้า พอเราโตขึ้นมาเรื่อยๆ เราก็พยายามทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เพื่อก้าวข้ามคำดูถูกของคน แต่ไม่ได้แปลว่าเราฝืนทำ เพราะสิ่งที่เราทำอยู่คือสิ่งที่เราชอบด้วย หลังจากนั้นเราก็ไปเรียน Engineer มาบ้าง แต่งทำนอง ทำดนตรี ทำบีต มิกซ์เพลง เพื่อแยกมาทำอัลบั้มเดี่ยวเอง


ก่อนที่จะพูดเรื่องแยกตัว อยากให้คุณเล่าเรื่องการทำงานกับญี่ปุ่น ซึ่งนับว่าเป็นศิลปินเบอร์แรกๆ ของไทยที่โกอินเตอร์ 

เราทำจนถึงอัลบั้มที่ 3 มันก็มี Special Album มีอัลบั้มที่ไปทำกับญี่ปุ่น อัลบั้มนั่นนี่รวมๆ แล้วน่าจะเกือบถึงสิบได้ 

การไปทำงานกับญี่ปุ่น ณ ตอนนั้นก็ถือว่าเป็นการโกอินเตอร์นะ เรารู้สึกว้าวขึ้นอีกขั้นนึง แต่ก็จะมีความขัดแย้งบางอย่างอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะเราเสพอาร์แอนด์บีมาตลอด พูดกันตามตรงการไปญี่ปุ่นเราไม่ค่อยได้ทำอะไรที่เป็นตัวเองเท่าไหร่ แต่มันก็คือโอกาสที่ได้ทำ และลุคเราก็ไปได้กับแนวนั้นด้วย มันคนละแนวกันเพราะความเป็น J-Pop เราก็จะเขินๆ นิดนึง (ยิ้ม) เห็นเสื้อลายดอก กางเกงเลื่อม หันหน้าไปมองกับไมค์ แล้วก็ลุย! เพราะมันคือหน้าที่ที่เราต้องทำ ทำไปช่วงหนึ่งจนตัดสินใจบอกผู้ใหญ่ว่ามันฝืนเราเยอะพอสมควร เราอยากทำอะไรที่เป็นตัวเรา จนกลับมาไทยและออกอัลบั้มอีกครั้ง และ Get Ready คือสิ่งที่เราชอบ เราได้มีส่วนร่วมด้านดนตรี ไปนั่งคลุกคลีที่บ้านโปรดิวเซอร์ จนได้เพลงแรกอย่าง Let’s Get Down เป็นเพลงฮิปฮอปแรกๆ ของช่วงนั้น คนก็ตื่นเต้น ซึ่งพี่วัฒเขาเปิดโอกาสให้เราเต็มที่ เขาไปไฟต์มาให้แล้วว่า เราทำได้


ในวันที่กอล์ฟ-ไมค์แยกกัน ทะเลาะกันหรือเปล่า

หลังอัลบั้มที่ 3 เราแยกกันเป็นศิลปินเดี่ยว แล้วเราก็ไปเรียนต่อ ไม่ได้ทะเลาะกันเลย คือกอล์ฟแค่รู้สึกว่าไม่อยากให้คนจำเราในแบบที่เป็นป๊อปไอดอลไปเรื่อยๆ จนวันนึงมันคงรู้สึกว่าแล้วยังไงต่อ กอล์ฟ-ไมค์เป็นยังไง สุดท้ายคนจะแยกไม่ออกว่าคนไหนคือกอล์ฟ คนไหนคือไมค์ เราแค่อยากให้คนรู้ว่าตัวตนของแต่ละคนเป็นยังไง ก็เดินเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ 

อืมมม...ตอนนั้นไมค์ไม่น่าจะรู้ กอล์ฟแค่เชื่อว่าตัวไมค์เองก็รู้สึกว่าตัวไมค์เองก็อยากทำอะไรที่เป็นตัวเองเหมือนกัน เพราะหลายครั้งไมค์เองก็ถูกเรียกว่ากอล์ฟ และกอล์ฟก็ถูกเรียกว่าไมค์  ไมค์รู้สึกว่าทำไมต้องจำเขาผิด มันทำให้รู้สึกอย่างที่บอกว่าสุดท้ายแล้วมันจะเป็นกอล์ฟคือใคร ไมค์คือใคร เลยลองเดินเข้าไปคุยกับผู้ใหญ่ดูแล้วกันว่าได้ไหม แต่ไม่ได้แปลว่าเราจะไม่กลับมาทำด้วยกัน แต่อยากลองทำเพลงที่เป็นอัลบั้มออกเดี่ยว มีความเป็นตัวตนของเรา ซึ่งเราก็มีความต่างกันบ้าง อย่างตอนนั้นไมค์จะฮิปฮอปไปเลย กอล์ฟจะมีซาวด์อิเล็กทรอนิกส์ผสมเข้ามา คาแร็กเตอร์มันต่างกัน


ทำไมถึงเลือกเรียนซาวด์เอ็นจิเนียร์

อยากทำ อยากแต่งเพลง มันอยากทำสิ่งที่เป็นตัวเรามากที่สุด เพราะบางทีเวลาทำงานเรามีความเกรงใจที่จะไปบอกเขาว่าตรงนี้อยากได้แบบนี้ ตรงนั้นอยากได้แบบนั้น เพราะเป็นคนละเอียดยิบมาก เรารู้เลยว่าถ้าจี้เขามากๆ เดี๋ยวเขาก็บอกให้มึงไปทำเองสิ (ยิ้ม) ก็เลยไปเรียนดีกว่า ซึ่งมันสนุกมาก รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งใหม่สำหรับเรา (เรียนอยู่นานแค่ไหน) ก็เรียนจนรู้ว่าต้องทำยังไง และพยายามหัดทำด้านอื่นๆ ด้วย เริ่มเอาเพลงคนอื่นมาวาง แล้วทำตามเพลงเขาก่อน เครื่องดนตรีแต่ละชิ้นทำยังไง ไลน์ซิงก์ทำยังไง เราไม่มีสกิลด้านเปียโนก็ทำได้แค่ฟังอย่างเดียวว่าตรงกับคอร์ดอะไร แล้วจิ้ม 1 โน้ตเราพอรู้เรื่องดนตรีตอนเรียนที่ G-JR เรื่องของเสียงประสาน แต่ไม่ได้เรียนเครื่องดนตรีอะไรเลย พยายามแกะเพลง แล้วหัดเอง


เมื่อไหร่ถึงมีอัลบั้มเดี่ยว

ช่วงนั้นปล่อยซิงเกิ้ลไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรวบรวมเพลงทั้งหมดมาอยู่ในอัลบั้ม ชื่อว่า 1nvasion เหมือนการบุก ตอนนั้นเราบ้า UFO มาก บ้าหนังเอเลี่ยน เป็นอิเล็กทรอนิกส์ ชอบอะไรที่มาก่อนเทรนด์ บางทีก็เร็วไป (ยิ้ม) แต่คำพูดนึงของพี่วัฒอยู่ในใจเราคือทำเพลงเสร็จแล้ว มึงจะเอาตังค์หรือจะเป็นฮีโร่ 

เราเลือกฮีโร่ ตอนนั้นไม่เอาเพลงแมสเลย สมมติเขาแนะนำว่าถ้าทำเพลงอยากได้ตังค์ช่วงนั้นก็ต้องแนว จั๊ดจั๊ดดาดา ของพี่ไอซ์ ศรัณยู แต่ถ้าอยากให้คนโอ้โห ว่ากอล์ฟทำซาวด์แบบนี้ด้วยเหรอวะ ก็ต้องเลือกทำเพลงที่อยากทำ อัลบั้มตอนนั้นน่าจะปี 2012 มั้งครับ คนฟังไม่เข้าใจ (หัวเราะ) 

แฟนคลับยังมี แต่ก็งงๆ เพราะเรามาจากกอล์ฟ-ไมค์ เพลงอีกแนวเลย ฟีดแบ็กก็เป็นอย่างที่พี่วัฒบอก มีคนชื่นชมนับถืองานเรา ถามว่าได้ตังค์ไหมก็ไม่ได้ตังค์ คนไม่ได้กรี๊ดเหมือนตอนเป็นกอล์ฟ-ไมค์ แต่เราภูมิใจกับสิ่งที่เราทำ คนในวงการดนตรีก็รู้สึกว่าเรากล้าทำเพลงแบบนี้เลยเหรอ ตอนนั้นเราทำเป็นแผ่นไวนิล หลังจากนั้นก็มีทำมาอีกบ้างเรื่อยๆ แต่ไม่สังกัดค่ายแล้ว 


คิดอย่างไรถ้ามีคนบอกว่าคุณทำอะไรที่อยากทำได้เสมอ เพราะมีที่บ้านซัพพอร์ตอยู่

ไม่นะ ไม่เคยได้ตังค์จากที่บ้านมาซัพพอร์ต เราหาเงินเองจากงานละคร การไปอีเวนต์ เราไม่เคยแบมือขอ  (ไม่เคยคิดจะกลับไปทำธุรกิจครอบครัวบ้างเหรอ) ก็มีไปทำบ้าง แต่นี่คือสิ่งที่เราทำมาตั้งแต่ต้น ทำแล้วสนุก ได้ทำเพลง ทำเอ็มวี มีชิ้นงานของเรา ชอบอะไรแบบนี้ งานดีไซน์ งานเบื้องหลัง งานเอ็นเตอร์เทน


คุณไม่เบื่อกับการอยู่ใต้สปอตไลต์ของวงการบันเทิงบ้างเหรอ

ชินแล้วมั้ง จนถึงตอนนี้เราก็ไม่ได้วางตัวเปลี่ยนไปเท่าไหร่นะครับ จริงๆ พี่ๆ นักข่าวอยู่กับกอล์ฟมาตั้งแต่เด็กๆ (ไม่รู้สึกว่าทำไมต้องมาเปลืองตัว หรือมีคนคอยจับตามอง) ไม่ได้รู้สึกอะไรขนาดนั้น เพราะรู้และทำใจอยู่แล้วตั้งแต่เข้ามา เราต้องดีลกับมัน 

คุณพ่อสอนกอล์ฟเสมอให้อ่อนน้อมถ่อมตน อย่าคิดว่าเราเก่งที่สุด มันมีคนเก่งกว่าเราเสมอ อย่าคิดว่าเราจะไม่มีวันลง เพราะทุกคนมีขาขึ้นก็มีขาลง เพียงแต่ว่าจะลงยังไงให้คนจดจำและรักเรา ลงยังไงให้ยังอยู่ในวงการได้เรื่อยๆ ความจริงต้องเรียกว่านิ่งขึ้น โตมากขึ้นอีกสเต็ป กอล์ฟเชื่อว่าทุกคนมียุคของตัวเอง หลังจากนั้นเหมือนหมดประทัดหรือพลุมันบู้มไปแล้ว ระหว่างที่มันกระจายระยิบค่อยๆ หายไป คือช่วงเวลาที่จะทำยังไงให้ส่องแสงในอากาศนานที่สุด 


การกลับมาทำเพลงหลังจากหายไป 4 ปี คิดว่ายังส่องแสงอยู่ไหม

ก็ได้กลับมานั่งอยู่ใน HAMBURGER ก็คิดว่าน่าจะ (หัวเราะ) จริงๆ แล้วที่หายไป 4 ปีนั้น ระหว่างทางเราก็มีการทำดนตรีอยู่เรื่อยๆ แต่รู้สึกว่ามันยังไม่ลงตัว ยังไม่ใช่ เราก็ปล่อยไปก่อน เราก็ทำงานอย่างอื่นไปด้วย มันก็เลยกลายเป็นว่างานเพลงของเรายังไม่ได้ชิ้นไหนที่ทำให้รู้สึกว่ามันอินสไปร์เรามากพอว่าเราจะทำเพลงออกมาแนวไหน ทำภาพออกมายังไง มันก็ลอยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่ง 4 ปี จนทำได้เพลงนี้ขึ้นมา เรารู้สึกว่าชอบแล้ว ก็เลยปล่อยเพลงนี้ออกมา 


ไม่กลัวเด็กรุ่นใหม่ๆ บ้างเหรอ

กอล์ฟมองว่าทำเพราะกอล์ฟอยากทำครับ เราก็ดูเด็กรุ่นใหม่นะว่าเขาทำอะไรกันบ้าง แต่เราก็ยึดมั่นสิ่งที่เราทำอยู่ ในคุณภาพทั้งการทำเพลงและเอ็มวี ถ้าเราทำงอกๆ ง่อยๆ คนดูรู้สึกได้ แต่เพลงนี้ส่งไปมิกซ์กับครูที่เคยสอนซาวด์ฯ ให้ช่วยแก้มิกซ์ 14 รอบ เพื่อให้ออกมาดีที่สุด มันคืองานของเรา มันจะอยู่บนยูทูบ มันคือ Lifetime ของเรา กอล์ฟมองว่ามีโอกาสทำงานต่างประเทศ เราอยากภูมิใจนำเสนองาน งานเพลงของคนไทย คุณภาพที่เรากล้ายื่นให้เขาดู 


เพลงนี้ทำไมต้องไปเมืองนอก ไปยังไงมายังไง

ตัดสินใจไปทำเพราะได้ไปคอนเสิร์ตกับพี่เป๊ก เราได้ตั๋วฟรี ทัวร์คอนเสิร์ตที่อเมริกากับพี่เป๊ก 4 เมือง 4 รัฐ ซึ่งเพลงนี้ทำมาอยู่แล้ว ในส่วนของเอ็มวีตอนแรกจะจ้างผู้กำกับเพราะไม่มั่นใจตัวเอง แต่ผู้จัดการบอกว่าก็ทำเองไปเลย เราก็ส่งไปถามพี่ๆ ที่รู้จักกันที่นั่นให้ช่วยแนะนำโลเคชั่นสวยๆ แล้วพอเห็นโลเคชั่นมันมีความแห้งแล้ง เป็นทะเลทราย เห็นแล้วชอบเลย เราเห็นภาพในหัว สุดท้ายเราก็กำกับเอง ก่อนไปถ่ายเอ็มวีคือรีเสิร์ชทุกอย่าง อะไรก็แล้วแต่ เก็บข้อมูลไว้เรื่อยๆ พอไปจริงๆ หน้างานมันคงไม่เหมือนเป๊ะ แต่ก็ให้มีดีเทลมากที่สุด ซึ่งภาพที่เราอยากได้มันเป็นไปตามความหมายของความรักที่เหมือนฆ่าให้ตาย ความรักที่มันแห้งแล้ง 


‘ฆ่าฉันดีกว่า’ ฟังกี่รอบก็รู้ว่ามาจากประสบการณ์จริงของความรักที่ไม่สมหวัง

ใช่ (ความรักตอนนี้เป็นอย่างไร) เฉยๆ ครับ รู้สึกว่าไม่ได้รีบร้อน...เขาเรียกว่าอะไรนะ คือเราเจอประสบการณ์แบบนี้มา มันทำให้เรารู้สึกเหมือนมีกำแพงนิดๆ เกิดขึ้นกับตัวเรา เพราะเราเป็นคนทุ่มเท ไม่ว่าจะเรื่องงานหรือความรัก เหมือนที่กอล์ฟบอกว่ากอล์ฟทำงานยังไง แต่การทุ่มเทกับคน คนคือคน มันไม่มีความแน่นอนเลยว่าสิ่งที่เราทุ่มเทไปมันจะเป็นยังไง เพราะฉะนั้นเลยทำให้เรารู้สึกว่าการที่ทุ่มเกินร้อยตลอดที่ผ่านมา แล้วทุกอย่างมันเฟล เรารู้สึกว่าตัวเองไม่กล้าทุ่มให้ใครเต็มร้อย


ครอบครัวเคยมีส่วนในการเลือกคบใครสักคนไหม

ไม่ กอล์ฟมองว่าถ้าคน 2 คนรักกันมันน่าจะช่วยพยุงได้ ทำให้ทุกอย่างดีขึ้นได้ 


เจ็บถึงขนาดปิดตัวเองไหม 

ก็ไม่ถึงขนาดปิดตัวเอง มันต้องเรียกว่าความรักที่ผ่านมามันถึงจุดที่เราคุยกับเรื่องชีวิตคู่ นั่นนี่ไกลแล้ว วางอนาคตร่วมกันแล้ว แต่พอ...ตามเนื้อเพลงเลยครับ ไม่รู้จะพูดยังไงจริงๆ ก็เลยสื่อออกมาเป็นเพลง 


จริงอย่างที่เขาบอกใช่ไหมว่าตัวหนังสือแทนความรู้สึกของคนได้

ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น แต่ว่าเราก็เอามาปรับใช้แล้ว เพราะมันผ่านช่วงนึงไปแล้ว สิ่งที่ออกมาเราเอามาปรับเปลี่ยนให้เป็นอาร์ตมากขึ้น มีท่าเต้นมีอะไรมาประกอบ เราเล่าทุกอย่างผ่านมิวสิกวิดีโอไปแล้ว ถ้าได้ลองดูดีๆ จะเห็นทั้งหมด 


ผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดได้อย่างไร 

ไม่รู้เลย ก็คงใช้เวลามั้งครับ ใช้เวลาไปพร้อมๆ กับการมองย้อนไปว่าเมื่อเราทุ่มไปที่สุดแล้ว แล้วมันโดนอะไรแบบนี้ เราคิดว่าเขาอาจจะไม่ได้ต้องการเราก็ได้ เราก็...คิดซะว่าทุ่มไปให้อากาศก็แล้วกัน (เห็นเป็นคนชอบฟังเพลง...เวลาเศร้ามีเพลงช่วยเยียวยาไหม) เวลาแย่จะไม่ฟังเพลง การฟังเพลงมันยิ่งตอกย้ำให้เราเศร้า กอล์ฟนั่งถอนหายใจตรงหน้าต่างแล้วมองท้องฟ้า แล้วค่อยๆ ตกตะกอนคิดว่าเราแม่งก็แค่มดตัวเดียวที่มาอาศัยโลกนี้อยู่ แล้วก็คิดอะไรไปเรื่อยๆ คิดลอยไป บางทีก็คิดว่าหรือเราจะซึมเศร้า แต่พอตื่นมาอีกวันมันรู้สึกเฟรชขึ้น 


เยียวยาตัวเองด้วยการนั่งเฉยๆ เหรอ 

บางทีเวลารู้สึกดาวน์ เราจะพยายามคิดบวกไว้ก่อน พยายามสร้างกำลังใจให้ตัวเอง เอาความบ้าซูเปอร์ฮีโร่มาช่วยเยียวยา เช่น การที่เราไปรู้ประวัติของโรเบิร์ต ดาวนี่ จูเนียร์ ที่เขาเคยผ่านอะไรมาบ้างในชีวิต จนวันนึงเขามีโอกาสได้เล่น Ironman แล้วก็กลับมาอีกครั้งจนได้ มันทำให้เรารู้สึกว่าทุกชีวิตมีจังหวะของชีวิตเนอะ ทุกคนผ่านเรื่องแย่ๆ มา แต่ไม่ได้แปลว่ามันจะแย่ไปจนวันตาย วันนึงเขามีโอกาสเข้าหาเขา เขาคว้าไว้ จนทำให้เขาได้ถึงจุดที่ยิ่งใหญ่ กอล์ฟอาจจะไม่ได้มีโอกาสเข้ามาหาเรา เพราะฉะนั้นบางทีเราเองที่ต้องเดินออกไปหาโอกาส นั่นคือสิ่งที่ทำให้กอล์ฟรู้สึกว่าต้องศึกษานี่นั่นอยู่ตลอดเวลา ต้องเก่งขึ้นเรื่อยๆ หรือพยายามหาโอกาสข้างหน้า โดยที่ไม่รู้ว่าระหว่างทางจะเจออะไรมั้ย 


เข็ดกับความรักมั้ย

ไม่เข็ดกับความรักขนาดนั้น แต่กลัวมากกว่า  


ตอนนี้ได้วางเส้นทางโกอินเตอร์อีกครั้งไว้ด้วยใช่มั้ย 

ก็คุยๆ ไว้บ้าง รับโปรเจ็กต์ไว้ คือกอล์ฟทำวีซ่ากับทางอเมริกาไว้แล้ว เป็นวีซ่าประเภทที่ทำงานที่นั่นได้อย่างถูกกฎหมาย ซึ่งกว่าจะทำวีซ่าผ่านมันยุ่งยากมาก นอกจากนี้มีคนรู้จักที่เปิดร้านอาหารอยู่ที่นั่นเขาเชิญคนไทยไปจัดคอนเสิร์ตที่นั่นบ่อยๆ จนทำเป็น Entertainment Company ขึ้นมา เขาก็ช่วยเรื่องวีซ่าของกอล์ฟ เขาบอกกับกอล์ฟว่าการที่กอล์ฟอยากไปที่อเมริกามันก็เหมือนการอยากทำตามฝันของเรา ไม่ว่าจะช่วงอายุเท่าไหร่ ถ้าเรามีศักยภาพจริง มันทำได้ แต่ก่อนอื่นต้องทำวีซ่าก่อน เพราะถ้าสมมติว่าเขาจะสปอนเซอร์เรา ถ้าเราแคสติ้งผ่านแล้วต้องทำงาน แต่วีซ่าไม่ผ่านก็ทำงานไม่ได้อยู่ดี แต่ว่าตอนนี้วีซ่าผ่านแล้ว ทุกอย่างพร้อมแล้ว ถือโอกาสได้ไปก็จะไปหาอะไรทำ อีกโอกาสก็คือที่จีนเองก็มาจีบให้เราไปทำงานด้วย ตอนนี้มันเลยเหมือน Two Way ก็เลยเหนื่อยเป็นพิเศษ และพยายามหาโอกาสให้ตัวเองเสมอ ส่วนเพลงเราก็ไม่ทิ้งด้วย และเรายังคงทำช่องยูทูบของตัวเองด้วย (Youtube: Golf Pichaya) 


คุณเคยเปรียบเทียบตัวเองว่าเป็นแมงมุม ตอนนี้ยังเป็นอยู่ไหม 

เราเป็นหน้ากากแมงมุมตอนไปรายการ The Mask Singer มันก็เป็นอย่างที่บอก เรื่องภาพจำของกอล์ฟที่แข็งแรงมากตั้งแต่ตอนแรกที่เข้ามา ซึ่งการที่จะลบ...เราไม่ได้อยากลบนะ การเป็นกอล์ฟ-ไมค์ ไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดี แต่เราอยากก้าวข้ามไป เราไม่ใช่ไอดอลที่ขายหน้าตา เต้นท่ายอกๆ แยกๆ แล้ว เพราะฉะนั้นการไปรายการนี้มันเป็นโอกาสดีที่ทำให้คนไม่ได้มองเราแค่ภาพลักษณ์ แต่มองและฟังเสียงเราข้างในหน้ากาก เราเลือกร้องเพลงสากล เพลงที่คงไม่มีใครคิดว่าเราจะหยิบมาร้อง พอคนรู้ว่าเป็นเรา “เฮ้ย...กอล์ฟร้องเพลงแนวนี้ได้ด้วยเหรอ” 


ความกลัวของคุณลดลงบ้างไหม

น้อยลงเยอะครับ เพราะกอล์ฟว่า ณ ตอนนี้เราค่อนข้างได้พิสูจน์ให้คนเห็นแล้วว่าเราเป็นศิลปินคนหนึ่งที่ครีเอตชิ้นงานเอง ทำชิ้นงานออกมา ต้องพยายามอย่างสูง พยายามทุกอย่างกว่าจะเห็น ไปพร้อมๆ กับหาเงินด้วย (ยิ้ม) 


ถ้าคุณประเมินตัวเองจากวันแรกที่เข้าสู่วงการจนถึงวันนี้ คุณให้คะแนนตัวเองเท่าไร

สัก 8 เต็ม 10 ได้มั้ง หมายถึงคะแนนความตั้งใจที่เราพยายามทำมาเรื่อยๆ เพราะมันไม่มีใครเพอร์เฟ็กต์ เก็บอีก 2 คะแนนไว้ก็แล้วกัน สำหรับส่วนที่ไม่เพอร์เฟ็กต์ แต่ทุกวันนี้กอล์ฟก็พยายามพัฒนาอะไรในอีกหลายมุมที่จะพัฒนาได้ 


เคยคิดจะปลดเกษียณตัวเองจากวงการบันเทิงไหม

ไม่ (เสียงหนักแน่น) ความใฝ่ฝันของกอล์ฟคือ...อย่างไมค์ เขาได้เซ็นสัญญากับทางฮอลลีวู้ดใช่ไหม ซึ่งเมื่อก่อนเขาเคยพูดเล่นๆ ว่าสักวันจะไปให้ถึงตรงนั้น ในใจเรายังคิดว่าจะได้เหรอวะ แต่ความจริงแล้วมันก็เป็นความฝันเราด้วยเหมือนกัน กอล์ฟเชื่อว่ามันเป็นความฝันของใครหลายคน และทำให้กอล์ฟต้องคิดต่อมาว่าจะไปให้ถึงตรงนั้นต้องทำยังไง อย่างแรกเลยคือเรียนภาษา เพราะถ้าภาษาอังกฤษไม่ได้เลยเราก็จบ ถึงเราตั้งใจจะเรียนภาษาอังกฤษเพิ่ม เพราะเราไม่ค่อยได้ใช้มันก็มีวืดบ้าง ต่อมาก็เรื่องแอ็กติ้ง มันเป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะนั้นเราต้องไปเรียนรู้เพิ่มเติมครับ