CALL ME AN ACTOR เจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ

เราคงเคยผ่านตากันมาบ้างแล้วกับผลงานการแสดงของเจมส์-ธีรดนย์ ศุภพันธุ์ภิญโญ ไม่ว่าจะเป็น Hormones วัยว้าวุ่น, ฉลาดเกมส์โกง และละครชุด Project S the Series ตอน SOS skate ซึม ซ่าส์ เพียงพอที่จะการันตีฝีมือการแสดงในฐานะนักแสดงอาชีพของเขาได้แล้ว วันนี้เขาตัดสินใจที่จะคว้าโอกาสของการเป็นศิลปินที่เป็นอีกหนึ่งความฝันของเขากับโปรเจ็กต์ 9×9 เส้นทางของการเป็นศิลปินฝึกหัดของเขากำลังเริ่มต้นขึ้นแล้ว


โปรเจ็กต์ 9×9 ของเจมส์เป็นอย่างไรบ้างครับ

ผมอยู่กับโปรเจ็กต์นี้มานานอยู่เหมือนกัน เป็นปีแล้วครับ เราก็ซุ่มซ้อมกันมา ตั้งแต่ก่อนแถลงข่าวจนทุกวันนี้ก็ยังฝึกซ้อมกัน ยังต้องฝึกร้องเพลง ฝึกเต้นกันอยู่เรื่อยๆ และไม่ได้ฝึกวันแค่วันละชั่วโมง สองชั่วโมงนะ เราฝึกกัน 4-5 ชั่วโมง ทั้งเหนื่อยทั้งสนุกครับ มันก็จะมีความคล้ายกับการฝึกซ้อมเพื่อเป็นไอดอลหน่อยๆ แต่ก็แตกต่างกันที่วัฒนธรรม ของเราจะเหมือนเป็นศิลปินฝึกหัดมากกว่า

ก็ในโปรเจ็กต์นี้จะมี 4 พาร์ต ร้อง เต้น แสดง คอนเสิร์ต คนอื่นๆ น่าจะพูดไปหมดแล้วล่ะ (หัวเราะ) ก็เล่าเรื่องของผมเลยแล้วกัน ส่วนตัวผมชอบการร้องเพลงนะ แต่แค่ไม่ชอบตัวเองเวลาต้องร้องต่อหน้าผู้คนเยอะๆ คือปมนี้มันเกิดจากตอนเล่นเรื่อง Hormones วัยว้าวุ่น เลยทำให้เราเกลียดการร้องเพลง ก็เลิกร้องเพลงและลืมมันไปเลย พอเข้ามาโปรเจ็กต์ 9×9 ก็ทำให้เรากลับมานึกได้ว่าจริงๆ แล้วเรายังชอบร้องเพลงนี่นา ทำให้เรามีแรงฮึดที่อยากจะก้าวข้ามกำแพง ก้าวข้ามปมอันนี้ไปให้ได้

แล้วช่วงนี้เราใกล้ที่จะมีเพอร์ฟอรแมนซ์ “Into the Light” ก็ยิ่งซ้อมร้องกันตลอดเวลา พอมีคนร้องท่อนหนึ่งขึ้นมา อีกคนก็ร้องตาม มีไลน์ประสานตามมาอีก สนุกครับสนุก (เราจะได้เห็น 9×9 ในแบบ Acappella ไหม?) ผมเคยเสนอไอเดียไปเหมือนกัน ส่งคลิปจากยูทูบเข้าไปในกลุ่มไลน์ว่าอยากลองทำแบบนี้ น่าจะเท่นะ แต่ความเป็นจริงเรายังห่างไกลกับคำว่า Acappella อีกมาก แต่ถ้ามันมีโอกาสก็อยากฝึกให้เราเป็น Acappella เหมือนกันครับ

ส่วนเรื่องเต้น ผมค่อนข้างแฮปปี้มากกว่าเรื่องร้องนะ รู้สึกว่าสรีระเรามันไปทางนี้ได้ ทำแล้วแฮปปี้กับมัน แล้วผมมีปอร์เช่เป็นต้นแบบเลย เขาเต้นได้หลากหลายมาก


คุยเรื่องพาร์ตการแสดงกันบ้าง น่าจะเป็นพาร์ตที่เจมส์ถนัด

เราทั้ง 9 คนก็จะมีผลงานของพาร์ตการแสดงเป็นละครเรื่อง “เลือดข้นคนจาง” ผมก็รับบทเป็น “เวกัส”  มีน้องชายชื่อ “มาเก๊า” รับบทโดยริว บทของคุณพ่อจะเป็นของพี่ลิฟท์ สุพจน์ ของคุณแม่จะเป็นพี่ปิ่น เก็จมณี ครับ โดยโปรเจ็กต์ 9×9 เนี่ยก็ได้แสดงร่วมกันเป็นลูกพี่ลูกน้องกันในครอบครัวใหญ่ที่เป็นเหมือนครอบครัวกงสี

  ส่วนตัวของเวกัสเนี่ย เขาจะมีลักษณะของลูกคนโต มีความเป็นผู้ใหญ่ แก่แดดนิดๆ มีตรรกะ เหตุและผลในการดำเนินชีวิต 1+1 ของเวกัสจะต้องเท่ากับ 2 เท่านั้น แล้วการพูดจาเนี่ย คือคิดแบบไหนก็พูดแบบนั้นเลย คิดว่าสิ่งไหนถูกก็จะทำสิ่งนั้น พูดสิ่งนั้นเลย โดยไม่แคร์ความรู้สึกคนอื่น แล้วเขาจะเป็นคนที่ความถูกต้องจะต้องมาก่อนเสมอ และผมชอบตัวละครนี้ตรงที่ เวลาที่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นเวกัสจะตัดสินใจในแบบที่เราไม่คิดมาก่อน แต่มันก็เป็นไปตามหลักการของเหตุและผลของเขานะ คือเขาตัดสินใจได้ถูกต้องแหละ แต่มันอาจจะไม่ถูกใจบางคน


หลังจากได้เล่นเรื่อง เลือดข้นคนจาง ชอบอะไรในเรื่องนี้

ผมชอบบทนะ คือพอมันเป็นเนื้อเรื่องในลักษณะของครอบครัวใหญ่ขนาดนี้ที่มีหลานถึง 9 คน ยังไม่รวมลูก แล้วไหนจะลูกสะใภ้ ไหนจะลูกเขยอีก มันมีไดนามิกของตัวละครเยอะมาก มันไม่มีใครเป็นคนดีทั้งเรื่อง และก็ไม่มีใครร้ายไปทั้งเรื่อง ทุกคนมีขาว-ดำ มีความเทาๆ อยู่ในตัว ทำเพื่อประโยชน์ของตัวเอง มันถ่ายทอดความสัมพันธ์ ปัญหาของความเป็นครอบครัวคนจีนกงสีครอบครัวใหญ่ครอบครัวหนึ่งได้ดีครับ


ร่วมงานกับพี่ย้ง ทรงยศ ครั้งที่ 2 แล้วเป็นอย่างไรบ้าง ยังโหดเหมือนเดิมไหม

ส่วนตัวผมรู้จักกับพี่ย้งมาจะ 5 ปีแล้ว ในเรื่องของการทำงานร่วมงานกันเป็นครั้งที่ 2 พี่ย้งก็ยังคงดีกรีความโหดเหมือนเดิมเลยครับ แต่ผมชอบเจอผู้กำกับแบบนี้ เขามีภาพในหัวชัดเจนมาก ไม่ปล่อยอะไรเล็กๆ น้อยๆ มันต้องดีมันต้องใช่ ผู้กำกับเขาอยู่หลังจอมอนิเตอร์ เขาเห็นอะไรหลายอย่าง ก็ต้องให้เขา อาจจะมีถ้อยคำรุนแรงหลุดมาบ้าง แต่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทำให้ผมเทกผ่านเหมือนกันนะ(หัวเราะ) สนุกครับ

  แต่เรื่องนี้ผมเทกไม่เยอะนะ ด้วยนักแสดงที่เยอะด้วย รุ่นใหญ่หลายท่านด้วย ก็เป็นโอกาสที่ดีของผมที่จะได้เรียนรู้จากประสบการณ์จากหลายๆ ท่าน และเป็นเกียรติของผมมากเหมือนกันที่ได้ร่วมงานด้วย ผมก็ต้องทำการบ้านหนักหน่อย ก็ต้องแคร์กันและกันนิดหนึ่ง


เล่นละครมาหลายเรื่องแล้ว บทบาทไหนที่เจมส์คิดว่าท้าทายที่สุด

ถ้าเป็น Hormones วัยว้าวุ่น กับ ฉลาดเกมส์โกง อันนี้เป็นบทคนรวยใช้เงินแก้ปัญหา ก็ไม่ค่อยยากเท่าไหร่ เป็นตัวเองสุดแล้ว(หัวเราะ) แต่ที่อินลงไปแบบลึกจริงๆ น่าจะเป็น “บู” ในเรื่อง SOS skate ซึม ซ่าส์ นะ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากที่สุด ผมว่าที่ยากที่สุดน่าจะเป็นภาพยนตร์เรื่องต่อไปที่ได้เล่นกับ เฌอปราง BNK48 นี่แหละ เรื่องนี้คือสุดมาก  


มีบทบาทไหนที่เจมส์อยากลองเล่นดูบ้าง 

ผมอยากเล่นเป็นผู้หญิงครับ ไม่ใช่แบบแดร็กควีนหรือกะเทยนะ แต่เล่นเป็นผู้หญิงเลย ใส่วิกเนียนๆ แต่งหน้า หรือแบบที่กายชายใจหญิง ผมว่ามันต้องสนุกแน่ๆ ผมอยากลองตื่นมาในร่างของผู้หญิงนะ หุ่นดีส่วนสูงกำลังดี ชอบใส่รองเท้าส้นสูง ทาลิปสติกสีแดง มาแบบตรงข้ามกับผมทุกอย่าง (ถอนหายใจเบาๆ) เขาคงหุ่นดีจัง ตัวสูงกว่าผมอีก


คิดว่ามาตรฐานการเป็นดาราหรือศิลปินในเมืองไทยมันเยอะเกินไปไหม ไหนจะต้องร้องเพลงได้ เต้นได้ แสดงละครได้อีก

ตอนแรกผมก็แสดงอย่างเดียวนะ ก็แฮปปี้กับการแสดง แต่พอวันหนึ่งมันมีโอกาสเข้ามาที่จะให้ผมได้ลองทำในสิ่งที่เราอยากลองทำ อย่างผมเนี่ยได้ก้าวข้ามปมในใจ และผมก็อยากจะเป็นศิลปินอยู่แล้ว ทุกอย่ามันพอดีก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ทำ ผมค่อนข้างอินกับโปรเจ็กต์นี้มากๆ เลยนะ ถ้าถามว่ามันจะเยอะไปไหม มันน่าจะอยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่าว่าเขาพอใจที่จะเป็นนักร้อง นักแสดง หรือดารา


ณ ตอนนี้ เจมส์วางตัวเองในวงการบันเทิงในฐานะอะไร

เอาเป็นว่าจากเด็กที่วันๆ ไม่ได้ทำอะไรนอกจากเรียน เที่ยวเล่น เดินสยาม ได้บังเอิญมาเจอสิ่งๆ หนึ่งที่เรียกว่าการแสดง ได้รับโอกาสที่จะลองทำแล้วตกหลุมรักมัน ตอนเช้าๆ ผมมีแรงอยากลุกออกจากเตียงเพื่อที่จะไปอยู่หน้ากองถ่าย และด้วยความโชคดีอะไรก็ไม่รู้ที่ผมสามารถยึดทักษะการแสดงมาเป็นอาชีพได้อีก ผมก็คงพูดได้เต็มปากแล้วครับว่า “ผมเป็นนักแสดง”