“ใบเฟิร์น ณัฏฐณิชา” คือใครนะ? แต่เมื่อพูดถึง “ณิชา ณัฏฐณิชา” หลายคนคงร้องอ๋อ

“ใบเฟิร์น ณัฏฐณิชา” คือใครนะ? แต่เมื่อพูดถึง “ณิชา ณัฏฐณิชา” หลายคนคงร้องอ๋อ

ก่อนหน้านี้  ใบเฟิร์น-ณัฏฐณิชาดังวัธนาวณิชย์ เป็นเด็กหญิงสาวธรรมดาๆคนหนึ่งที่มีความใฝ่ฝันเป็นของตัวเองไม่ต่างจากวัยรุ่นทั่วไป จนเดินเข้าสู่วงการบันเทิงครั้งแรกในวัย 17 ปี ชื่อของใบเฟิร์นจึงกลายเป็น “ณิชา-ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์” นักแสดงสาวคลื่นลูกใหม่มาแรงที่มีผลงานละครออกมาอย่างไม่ขาดสาย

เธอเปิดตัวด้วยบทบาทแรก “หนูสม หรือสมฤดี” จากละครเรื่องแรก ทองเนื้อเก้า (2556) และมีผลงานละครตามติดออกมาหลายเรื่อง เช่น คิวบิก (2557), สะใภ้จ้าว (2558), นางอาย (2559), เดอะคิวปิดส์ กามเทพซ้อนกล (2560), คลื่นชีวิต (2560) และล่าสุดกับ เสน่ห์นางงิ้ว  (2561), ลมไพรผูกรัก (2561) จนถึงงานรอคิวออกอากาศที่เราจะได้ติดตามในอีกไม่ช้าอีก 2 เรื่องอย่าง เพลิงพรางเทียน และ ดวงใจในมนตรา นอกจากความน่ารักสมวัย การรับบทบาทหลากหลายกว่า 10 เรื่องตลอดระยะเวลาแค่ 5 ปี กระแสข่าวลือดราม่าบนโลกโซเชียลฯ ที่จู่โจมมาอย่างหนักหน่วง หลากหลายเรื่องที่เกิดขึ้นก็น่าจะการันตีชั่วโมงบินในเส้นทางวงการบันเทิงของณิชาได้ดี 

ในเช้าวันที่เรานัดเจอกับณิชาเพื่อพูดคุยและถ่ายภาพแฟชั่นเซ็ตบนหน้าปกนิตยสาร HAMBURGER ฉบับนี้ นางเอกสาวหน้าหวานมาพร้อมกับคุณแม่ เธอสวมเสื้อกันหนาวสีดำตัวหลวมโคร่ง และกางเกงยีนส์ขาดรุ่ย หลังจากได้คุยกับเธอ นอกจากจะได้ทำความรู้จักกับนักแสดงสาวอย่าง “ณิชา” มากขึ้นแล้วเรายังได้รู้จักกับตัวตนของเด็กหญิงสาวหวานใสที่มีชื่อว่า “ใบเฟิร์น” อีกด้วย

คนจะชอบมองว่าเราเป็นสาวเรียบร้อย แต่จริงๆ แล้วเป็นคนอย่างไร
อยู่ไม่นิ่งค่ะ อย่างตอนถ่ายภาพเมื่อกี๊ที่ต้องอยู่นิ่งนานๆ ถ้าเห็นภาพเบื้องหลังก็จะเห็นว่าหนูเก็บกด (หัวเราะ) เวลาไปในที่ๆ ไม่คุ้นเคยหรือเจอคนไม่รู้จัก ไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง เราจะนิ่งไว้ก่อน คนก็เลยชอบมองว่าเราเป็นคนเรียบร้อยมั้ง แต่ถ้ารู้จักหนูจริงๆ ก็จะเป็นคนบ้าๆ บอๆ

ทำไมถึงเปลี่ยนชื่อจากใบเฟิร์นมาใช้ชื่อว่าณิชา
เราชื่อใบเฟิร์นมาตั้งแต่เด็ก ไม่คิดที่จะเปลี่ยน แต่ว่าพี่เบิ้มผู้จัดการเขารู้สึกว่าเรียก “ใบเฟิร์น ณัฏฐณิชา” แล้วแปลกๆ เขาก็เลยเรียกหนูว่าณิชามาตลอด คนอื่นก็เรียกณิชา คงเป็นเพราะว่าเป็นชื่อข้างหลังของชื่อจริงด้วย เรียกง่ายกว่าค่ะ

ตอนนี้ชอบตัวเองที่เป็น “ใบเฟิร์น” เด็กสาวธรรมดาๆ ที่ไม่มีใครรู้จักหรือเป็น “ณิชา” มากกว่ากัน
เอนเอียงไปทางใบเฟิร์นมากกว่า ส่วนหนึ่งเพราะเรารักความเป็นส่วนตัวด้วยล่ะ เป็นใบเฟิร์นก็ชิลล์ดี ไม่ต้องคิดเยอะ ทำเรื่องผิดพลาดหรือมั่วซั่วอะไรก็ได้ แต่พอมาอยู่ตรงนี้ต้องคิดเยอะขึ้น แต่จริงๆทุกวันนี้หนูก็ใช้ชีวิตเป็นทั้งใบเฟิร์นและณิชานะ เพราะหนูไม่ได้รู้สึกว่าอยู่ตรงนี้แล้วต้องตัดใบเฟิร์นออกไป ทุกวันนี้ก็แฮปปี้กับชีวิต มีมุมส่วนตัวของหนูที่เป็นใบเฟิร์นอยู่กับเพื่อนๆ ทำอะไรได้เหมือนเดิม แต่พอทำงานก็เป็นณิชาค่ะ

เขาเรียกว่าเป็นคนมีหลายพาร์ตในชีวิต
ใช่ค่ะ แต่หนูจะไม่ยอมเสียความเป็นใบเฟิร์นแน่นอน

ก่อนหน้านี้ความฝันในช่วงวัย 17 ปีของณิชาคืออะไร 
อยากเป็นศิลปินค่ะ ชอบวาดรูป ชอบออกแบบ ชอบงานสร้างสรรค์ ชอบระบายสี จริงจังมากถึงกับไปเรียนศิลปะหลายปีเลย ช่วงปิดเทอมหนูจะใช้เวลาอยู่ในห้องศิลปะกับเพื่อนๆ แล้วก็คิดว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยในคณะออกแบบ หลายคนแนะนำว่าไม่ให้เรียนคณะเกี่ยวกับการออกแบบ เพราะต้องทำงานหนัก ยิ่งพอมาเป็นนักแสดงทำควบคู่ไปพร้อมกันทั้งสองอย่างมันจะยาก ก็ต้องทิ้งความฝันครึ่งหนึ่ง เราก็เก็บความรักศิลปะไว้ในใจ

นักแสดงบางคนมีความฝัน แต่บางทีก็ต้องเลือกทิ้งไป 
เราไม่จำเป็นต้องทิ้งหรอกค่ะ แค่แบ่งเวลาให้ได้ เรายังวาดรูปอยู่เมื่อไหร่ก็ตามที่อยากวาด หรือถ้าวันหนึ่งอยากจะไปทำงานสายนั้นจริงๆ มันก็ต้องมีวิธีที่จะทำให้ทุกอย่างลงตัว อย่างตอนนี้เรารักการแสดง เราก็ไม่ทิ้งการแสดงเหมือนกัน 

คิดว่าตัวเองมีแววจะเข้าวงการบันเทิงมาก่อนไหม
เราไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองสวยหรือมีความสามารถด้านการแสดงออกเลย แค่นั่งอยู่ด้านหน้าห้องก็ไม่กล้าแล้ว ต้องไปนั่งด้านหลัง หรือเวลาออกไปพรีเซ็นต์งานหน้าห้อง เราขออาสาทำหน้าปกแทนแล้วกัน ให้เพื่อนคนอื่นออกไปแทน

ชีวิตเด็กเชียงใหม่ที่ก้าวเข้ามาทำงานในวงการบันเทิง รู้สึกว่ากรุงเทพฯ เป็นยังไงบ้าง
ที่ผ่านมาเราอยู่ที่เชียงใหม่มาตลอด พอย้ายเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เดินทางก็ไม่เป็น งงไปหมดเสียทุกอย่างเลย เราไม่ได้เป็นคนมีพรสวรรค์ ยอมรับเลยว่าไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านการแสดงเลย รู้สึกว่าตัวเองต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่น เขาอาจจะเรียนแค่ 1 ครั้ง แต่หนูต้องเรียน 10 ครั้ง เรายังสนุกกับการแสดงว่ามันจะยังมีอะไรเพิ่มเติมขึ้นมาอีก การแสดงมันไม่มีวันที่จะหยุดเรียนรู้ บทเปลี่ยนแปลงได้ตลอด ถ้าถามว่ารู้สึกยังไงกับการแสดงตัวเอง ก็รู้สึกว่าตอนนี้ค่อยๆ เข้าใจขึ้นเรื่อยๆ

คนที่ต้องใช้ความพยายามมากกว่าคนอื่น มีวิธีทำการบ้านอย่างไร
หนูเรียนแอ็กติ้งตลอดค่ะ ถึงทางช่องจะไม่ส่งไปเรียน เราก็จะพยายามหาเวลาไปเรียน อย่างที่บอกเรารู้ว่าตัวเองไม่ได้มีพรสวรรค์ ก็ต้องฝึกฝนเยอะกว่าคนอื่น กว่าจะเข้าใจตัวบทได้ก็พยายามเรียนหรือไปขอคำปรึกษาจากคนโน้นคนนี้ ถ้าจะเปิดกล้องละครเรื่องใหม่ ณิชาจะใช้เวลาทำการบ้านอยู่กับบทให้เยอะที่สุดแล้ว อ่านแล้วอ่านอีก อย่างเรื่องล่าสุดหนูอ่านไปประมาณ 4-5 รอบก่อนที่จะเปิดกล้อง เพื่อให้ได้เห็นบทเยอะขึ้น

เริ่มต้นเข้าสู่วงการบันเทิงตั้งแต่อายุ 17 ปีกับการแสดงละครเรื่องแรก “ทองเนื้อเก้า” 
ความรู้สึกแรกคือดีใจ ตอนนั้น ทองเนื้อเก้า เป็นละครที่คนจับตาดูเยอะด้วย ถึงเราเล่นแค่ตอนท้ายก็รู้สึกดีใจมาก แต่พอหลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเครียดแทน ฉันจะแสดงยังไงดี ต้องทำอะไรบ้าง วันที่เข้าฉากวันแรกมีพี่ป๋อ (ณัฐวุฒิ สกิดใจ), พี่เจมส์ (จิรายุ ตั้งศรีสุข) และป้าแมว (รุ่งกานดา เบญจมาภรณ์) มาคอยช่วยสอน ทำให้เราไม่เกร็ง แต่ละคนเป็นนักแสดงอาวุโสที่น่ารักมาก เขาพยายามทำให้เราสบาย หลังจากเล่นเรื่องนี้ก็เริ่มมีคนมองเห็นเรามากขึ้น ถามหาผู้หญิงที่มารับบทหนูสมในตอนเด็กว่าเป็นใคร ก็มีละครเข้ามาอีกเรื่อยๆ

อย่างเรื่อง นางอาย และ เสน่ห์นางงิ้ว ต่างก็เคยเป็นละครดังมากมาก่อน รู้สึกกดดันไหม
หนูเล่นบทของพี่จอย-ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ซ้ำ 2 เรื่องแล้ว เขาดังมาก เครียดค่ะ ตอนแรกเราดีใจที่ได้รับโอกาสดีๆ แต่พอเริ่มก็มีกดดันนะ ช่วงหลังเราเลยหันมาโฟกัสกับบทที่เราต้องเล่นดีกว่า เป็นความรู้สึกดีใจมากกว่าที่เราได้โอกาสที่ดี ถึงแม้จะท้าทายกับทุกอย่าง ไม่ว่าจะกระแส บท หรือยุคสมัยที่ต่างกันแล้วเปลี่ยนไป สุดท้ายเราก็แค่ตั้งใจทำให้ดีที่สุดแค่นั้น

ปกติณิชาชอบกดดันกับเรื่องอะไรมากที่สุด
จะกดดันกับตัวเองค่ะ (หัวเราะ) ไม่มีใครมากดดันหนู ตั้งแต่เข้าวงการมาเราเคยโดนบอกว่าตั้งใจเกินไป ตอนแรกก็ไม่เข้าใจว่าก็เราตั้งใจมันผิดยังไง แต่กับการแสดงเราต้องปล่อยให้เป็นธรรมชาติมากที่สุด เพราะตั้งใจเกินไป มันจะไม่ปลดล็อกให้ตัวละครออกมา พอเข้าฉากไป เราก็ยังเป็นเราที่ตั้งใจทำการแสดง แต่ไม่ได้เป็นตัวละคร ก็จะมีนอยด์ตัวเองว่าทำไมไม่เข้าใจสักที ต้องทำยังไง จะกดดันกับตัวเองมากกว่า

ยุคนี้มีนักแสดงหน้าใหม่เข้าวงการมาเยอะมาก ต้องแข่งขันยังไงบ้างเพื่อให้ตัวเองยืนอยู่ในวงการนี้ได้
เราพูดได้ว่าเราแข่งขันกับตัวเองเท่านั้นค่ะ จะไปแข่งขันกับคนอื่นทำไมถ้าเรายังไม่รู้เลยว่า ตัวเองเป็นยังไง แข่งกันกับตัวเองดีกว่า ว่าชั้นขยันได้แค่ไหน อย่าขี้เกียจนะ แข่งขันว่าเราจะก้าวผ่านอุปสรรค หรือว่าความท้าทายต่างๆ ไปได้ยังไง พัฒนาตัวเองดีกว่า ก่อนที่จะไปคิดว่าชั้นจะแข่งกับคนโน้น แข่งกับคนนี้ คือต้องแข่งกับตัวเองให้ชนะก่อน

บทบาทไหนที่เล่นแล้วรู้สึกว่าการแสดงเราก้าวกระโดดขึ้นมากกว่าแต่ก่อน
เสน่ห์นางงิ้วค่ะ เหมือนเราเข้าใจมากขึ้นกว่าเรื่องก่อนๆ เข้าใจทั้งตัวบท เข้าใจว่าการใช้ใจเล่นในการแสดงคืออะไร คำพูดว่า “ใช้ใจเล่น” มันยากมากเลยนะ อย่างเรื่องที่ยากคือ เพลิงพรางเทียน รับบทเป็นกลินทร์ เป็นนางเอกที่นิสัยไม่ดี เป็นเมียน้อย (หัวเราะ) เราไม่เคยเชื่อเรื่องการเป็นเมียน้อย แต่เรื่องนี้ตัวละครยอมเป็นรองอีกคนเพราะรักคนคนหนึ่งมาก หนูใช้เวลาอ่านบทให้ซึมซับ แล้วทำความเข้าใจว่าเขาคิดอะไรถึงยอมทำเพื่อผู้ชายคนนี้ได้ เพราะถ้าเป็นชีวิตของเราก็จะไม่ทำ แต่พอเราต้องเป็นตัวละครแล้วเนี่ย เราต้องข้ามตัวเองไปให้ได้ ก็ทำการบ้านค่อนข้างหนักมากๆ ค่ะ

มองอย่างไรกับสมัยก่อนที่นางเอกละครไทยต้องเป็นผู้หญิงแสนดี เป็นฝ่ายถูกรังแก แต่เดี๋ยวนี้นางเอกต้องลุกขึ้นมาสู้กับนางร้ายบ้าง
คำว่า “นางเอก” ไม่ได้หมายความว่าดีเสมอไป สำหรับหนูไม่ใช่แบบนั้นค่ะ นางเอกก็คือนักแสดงคนนึง เป็นผู้หญิงที่ได้รับบทนำของเรื่อง ไม่จำเป็นว่าจะต้องดีหรือร้าย เพราะว่าคนเรามันก็มีหลายแบบ เรามองว่านางเอกเป็นบทนำที่ถูกดำเนินเรื่องให้ติดตามเรื่องราวชีวิตของผู้หญิงคนนึงมากกว่า

เวลาเห็นรุ่นพี่นางเอกดังๆ มีความคิดอยากไปถึงจุดนั้นบ้างไหม
อยากค่ะ อยากเป็นนักแสดงที่ดี เล่นได้ทุกบทบาท เป็นความตั้งใจของเราอยู่แล้วว่าอยากเป็นนักแสดงที่มีบทอะไรมาก็เล่นได้หมด ไม่ครึ่งๆ กลางๆ ก็จะพยายามพัฒนาตัวเองต่อไป 

ตอนนี้มั่นใจกับการแสดงมากขึ้นหรือยัง
มั่นใจในความตั้งใจของตัวเอง เราตั้งใจจริงๆ อยากทำให้ดีทุกอย่าง แล้วก็มั่นใจในการแสดงมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าเข้าใจมากขึ้น แต่ถามว่ามั่นใจที่สุดหรือยัง ยังค่ะ ยังมีอะไรอีกมากที่เรายังไม่ถึงจุดนั้น 

อีกเรื่องหนึ่งของการเป็นนักแสดงที่ต้องเจอเลยก็คือการวิพากษ์วิจารณ์ ที่ผ่านมาณิชาเองก็เคยมีกระแสดราม่าเรื่องความรักเข้ามาอย่างหนัก ทั้งที่จริงๆ แล้วเรื่องแบบนี้มันก็เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ก็เป็นสิ่งที่คนอยากรู้ ชอบออกความคิดเห็น ณิชามองเรื่องนี้ว่าอย่างไร
ช่วงแรกก็มีนอยด์ แต่ตอนนี้ไม่แล้ว เราเข้าใจว่าอยู่ตรงนี้คนจะพูดอะไรก็ได้ค่ะ ถามว่าคนที่รู้ดีที่สุดในเรื่องของเราก็คือตัวเราเอง เพราะฉะนั้นไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ถ้ามันไม่ใช่ก็ปล่อยเขาพูดไปเถอะค่ะ แต่ถ้าเขาพูดแล้วมันจริงก็เก็บมาพัฒนาตัวเอง อย่างตอนแรกที่เข้ามาเล่น เราจะโดนคอมเมนต์เรื่องน้ำเสียง เราพูด “อืม โอเค อืม” คือเรียบมาก เราก็เก็บมาพัฒนาตัวเองไปเรียนร้องเพลง หนูคิดว่าเราต้องกรองสิ่งที่จะเก็บมาคิด บางอย่างไม่ใช่เรื่องก็ต้องปล่อยเขาไป มันคือความคิดเห็นของเขา แต่ว่าเรารู้ตัวเองดีที่สุด เราก็กรองในสิ่งที่มีประโยชน์กับเรามาใช้ดีกว่า เขาไม่ได้มาใช้ชีวิตกับเรา เพราะฉะนั้นคนที่รู้ดีที่สุดคือตัวของเราเอง จะมีใครมารู้จักตัวเราดีไปกว่าเรา ไม่ได้อะไรค่ะ มันเป็นเรื่องธรรมดา

มีความรู้สึกหนึ่งที่อยากพูด แต่ยังไม่เคยพูดออกไป เดี๋ยวนี้คนให้ความสำคัญกับโซเชียลฯ ในทางที่อาจจะไม่ได้ถูกต้องทั้งหมดค่ะ โซเชียลฯ มีผลกับความคิดคนได้เยอะมาก คนสนใจแต่สิ่งรอบตัวเองไปหมด สนใจแต่สิ่งภายนอก เรื่องคนนั้นเป็นยังไง ทุกอย่างถูกคอมเมนต์ซ้ำๆ โดยที่คุณอาจจะไม่ได้รู้เรื่องจริงๆ ก็ได้ คนชอบเสพหรือให้ความสำคัญกับเรื่องนอกตัวมากเกินไปจนไม่รู้ว่าเขาลืมกลับมานึกย้อนถึงอะไรหลายๆ เรื่อง

โซเชียลฯ เป็นสิ่งที่ดีนะคะ ทำให้โลกกว้างมากขึ้น เข้าถึงกันได้ง่ายขึ้น แต่เราต้องเลือกเสพข่าวอย่างมีสติ สิ่งที่อยู่ในนั้นบางอย่างเราต้องคัดกรองจริงๆ มีสาระไหมหรือไม่มี บางทีพลังโซเชียลฯ ก็ทำให้เรื่องบางเรื่องดีขึ้นได้ แต่บางเรื่องก็ทำให้ชีวิตคนคนนึงพังได้เหมือนกัน เราเคยดูสัมภาษณ์ของพี่คนหนึ่ง เรื่องนี้มีผลกระทบกับจิตใจเขามากๆ หนูเลยรู้สึกว่าก่อนที่เราจะไปด่าใคร ก่อนที่จะเข้าไปคอมเมนต์ใคร ออกความคิดเห็นต่างๆ นานา อยากให้ยั้งใจไว้นิดนึงว่ามันใช่แบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า บางคำพูดสามารถทำร้ายคนคนหนึ่งได้เลยจริงๆ

หนูชอบแคมเปญหนึ่งของพี่ยิปโซมากที่นักแสดงหลายๆ คนมาช่วยกันทำ หนูว่าคำหนึ่งคำมันทำร้ายคนได้มากจริงๆ อยากให้คนเห็นถึงความสำคัญตรงนี้ อยากให้เลือกเสพโซเชียลฯ อย่างมีสติมากขึ้น 

อย่างดาราบางคนจะเลือกปกปิดเรื่องส่วนตัวไว้ แต่ณิชาดูจะเป็นคนที่ชอบเปิดเผยมากกว่า 
ถ้ามั่นใจ หนูก็พร้อมที่จะพูดอยู่แล้ว แต่ว่าถ้ายังไม่มั่นใจหรือว่ายังไม่พร้อมกับเรื่องนี้ก็ไม่พูดดีกว่าค่ะ เอาอะไรที่มันชัวร์ๆ เอาอะไรที่รู้สึกว่าอยากพูด พูดได้ แล้วก็พูด ไม่ได้มานั่งคิดว่าชีวิตต้องปิดหรือเปิดทุกอย่าง หนูเป็นคนรักความเป็นส่วนตัวมากๆ ค่ะ ถ้าเป็นรายละเอียดที่ไม่จำเป็นต้องพูด ไม่จำเป็นต้องบอก ก็จะไม่พูด การที่จะพูดอะไรออกมา ไม่ว่าจะต่อหน้าสื่อหรือต่อหน้าใคร เราเป็นคนค่อนข้างคิดมากกับคำพูดตัวเองอยู่แล้ว เวลาจะพูดอะไรออกมาก็จะอยากรอให้ชัวร์ก่อน เรามั่นใจจริงๆ ถึงจะพูดออกมา ถ้ารู้สึกว่าเรื่องนี้ยังไม่มั่นใจหรือว่าไม่จำเป็นต้องให้ใครรู้ เราก็ไม่ต้องบอกก็ได้ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวจะไม่ชอบให้ใครมาจุกจิกเยอะ เพราะว่ามันคือเรื่องของเราค่ะ

ปกติชอบอ่านคอมเมนต์จากคนที่เข้ามาถาม หรือแสดงความเห็นไหม
ไม่อ่านค่ะ หนูแทบไม่รู้เลยว่าคนเขาคุยอะไรกันบ้าง เพราะเรามั่นใจในสิ่งที่เราทำ ในสิ่งที่เราเลือก ในสิ่งที่ทุกอย่างเราเป็นคนทำเองแล้ว เราแคร์คนทั้งโลกไม่ได้ค่ะ เรารู้ตัวเราเองที่สุดแค่นั้นก็พอ

เหมือนว่าเรามองตัวเองเป็นคนไม่ค่อยกล้าแสดงออก แต่ก็เป็นคนมีความเชื่อมั่นในตัวเอง
ใช่ค่ะ เชื่อในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเราไม่ได้ทำผิดอะไร บางทีก็ต้องฟังแม่ เพราะว่าบางเรื่องแม่อาจจะเห็นกว้างกว่า

ในฐานะนักแสดงตัวเล็กๆ เรามองเห็นอะไรในวงการบันเทิงของไทย
ในมุมมองของหนู วงการบันเทิงเป็นวงการที่มีคุณค่านะคะ สร้างความบันเทิงให้กับคนไม่ว่า จะด้านไหนก็ตาม คนที่อยากจะเข้ามาเป็นนักแสดง อยากให้ตั้งใจว่าตัวเองเป็นนักแสดงจริงๆ เป็นนักแสดงถ่ายทอดตัวละครออกมา ซึ่งการถ่ายทอดตัวละครนั้นออกมา มันสอนคนได้ มันให้ความบันเทิง ให้ความสุข ให้อะไรหลายอย่าง ถ้าเราตั้งใจกับมันจริงๆ หนูว่ามันเป็นสิ่งที่มีคุณค่า

อะไรคือสิ่งที่เราได้รับจากการเป็นนักแสดง 
หนูว่ามีหลายเรื่องมากเลย ตั้งแต่เข้ามา ตั้งแต่การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับคนหมู่มาก ต้องทำงานกับคนเยอะๆ ต้องมีความรับผิดชอบ เพราะแค่เราพังคนเดียวก็อาจจะพังไปทั้งกองก็ได้ ทำให้เข้าใจคนอื่นมากขึ้น จากเมื่อก่อนเราอาจจะมองแค่ว่าก็ชั้นคิดแบบนี้ ทำไมคุณคิดอย่างนั้น คิดไม่เหมือนกัน แต่พอเรามาวิเคราะห์ตัวละคร เราก็มีนิสัยวิเคราะห์คนไปด้วยว่าทำไมคนถึงทำแบบนั้น อยู่ตรงนี้ก็มีหลายสิ่งให้ขบคิดเยอะขึ้น เราก็โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น 

แล้วอะไรคือสิ่งที่เสียไปเพราะการเป็นนักแสดง
เสียไปก็อาจจะเป็นเวลาอยู่กับเพื่อน ถามว่าเรื่องที่เสียใจหนูว่านี่แหละค่ะ เพื่อนทั้งชั้นไปเที่ยวทะเลกัน แต่เราไม่ได้ไป ก็จะงอแงนิดนึง มีหลายรอบที่เพื่อนจัดทริปไปกันทั้งคณะหรือแค่เป็นกลุ่มเล็กๆ เที่ยวกัน เราก็จะไม่ได้ไป ก็รู้สึกเสียดายค่ะ แต่หนูก็รู้สึกใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่ได้รู้สึกว่าต้องเสียอะไรเพื่ออะไร เพราะตอนนี้ก็สนุกดีกับการออกมาทำงาน วันนี้ออกมาถ่ายแบบ เราก็โอเค มันเป็นช่วงเวลาที่ดีของเรา ไม่ได้ต้องเสียอะไรไป

เวลามีเรื่องกังวลใจ เลือกปรึกษาพ่อแม่หรือว่าเพื่อน
ปรึกษาตัวเอง หนูป็นคนชอบคุยกับตัวเอง (หัวเราะ) ชั้นเป็นอย่างนี้ถูกหรือเปล่า หรือสิ่งที่ชั้นจะทำไปมันผิด ส่วนใหญ่จะคิดเยอะๆ พอได้ข้อสรุปของตัวเองมาก่อน แล้วค่อยอาจจะเป็นแม่ค่ะ แม่อย่างนี้ดีไหม ถ้าแม่มีความคิดเห็นตรงกันข้าม หนูก็จะยังไม่ยอมรับตรงนั้น จะเก็บมาคิดอีกประมาณ 2-3 วัน ถ้ากลั่นกรองได้ค่อยมาพูดกันอีกที

ลูกสาวคนนี้ดื้อใช่ไหม
เขาเรียกว่าเชื่อในความคิดตัวเอง แต่เวลาแม่เตือนอะไรมาหนูก็ฟังค่ะ หนูต้องคิด เพราะว่าพ่อกับแม่ก็สอนให้เราเป็นคนคิด (หัวเราะ) หลายๆ คนช่วยกันคิดก็ดี แต่ว่าสุดท้ายเรามากลั่นกรองเองดีกว่า

ที่ผ่านมาพ่อแม่เลี้ยงเรามาแบบไหน
คุณพ่อเป็นคนมีระเบียบแบบแผนทุกอย่างค่ะ เรียนตอนนี้ กลับบ้านมาต้องทำการบ้าน อ่านหนังสือ มีเวลาดูทีวีให้เท่านี้ ส่วนแม่จะเป็นคนปล่อยให้ทำอะไรก็ได้ ทำไปเลย เสาร์-อาทิตย์อยากไปเที่ยวแม่ก็จะเป็นคนไปส่ง เป็นโหมดตารางชีวิตชิลล์ของเรา

ด้วยความที่เราเป็นนักแสดงด้วย แล้วก็เป็นเด็กคนหนึ่งด้วย เราอยากเป็นนักแสดงดาวรุ่งที่ดี หรืออยากเป็นนักเรียนที่เอาเกรดสวยๆ มาฝากพ่อแม่
(หัวเราะ) ต้องบอกก่อนว่าหนูเป็นพวกอยู่ในห้องเรียนก็จะนั่งวาดรูปตลอดเวลา ถามว่าตั้งใจเรียนไหม เราตั้งใจให้มันดีที่สุดอยู่แล้วค่ะ ก็ตั้งใจที่จะให้เกรดไม่ต่ำกว่าเกรด 3 อย่างวันไหนที่ไม่มีเรียน เราก็อ่านบท ก็แบ่งเวลาได้อยู่ 

เห็นว่าณิชามีเรียนขี่ม้า เราเลือกเรียนเองหรือเรียนเพราะต้องทำงาน
เรียนเองค่ะ เป็นอีกหนึ่งอย่างที่อยากทำ หนูชอบม้าก็เลยรู้สึกอยากเรียน แต่ไม่ได้คิดจะเป็นนักกีฬาขี่ม้า แค่รู้สึกว่าอย่างเวลาไปเขาใหญ่ อากาศดีๆ ถ้ามีม้าให้ขี่ออกไปอยู่กับธรรมชาติก็คงดี หนูจะชอบขี่เจ็ตสกีด้วยค่ะ ความรู้สึกคล้ายๆ กัน เหมือนเราได้ออกไปไกลมากๆ แล้วก็สงบอยู่กับทะเล มีแค่เรากับเจ็ตสกีแค่นั้น

ดูเป็นคนมีโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง
ใช่ค่ะ (หัวเราะ) บางทีก็จะรู้สึกอยากไปทะเล แต่ว่าไปแล้วไม่ทำอะไร เคยชวนแม่ไปแล้วก็นอนมองแต่ทะเล เพราะรู้สึกว่าสงบดี ไม่ต้องมีอะไรมากมาย

ชอบทะเลหรือชอบภูเขา
ทะเลค่ะ ไปได้ทุกที่เลย แค่เห็นทะเลหนูก็แฮปปี้ มองทะเลไปแล้วรู้สึกไร้ขีดจำกัด เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่ง หรือแม้กระทั่งตอนดำน้ำ พอลงไปใต้ทะเลมันสงบเงียบมากๆ เราเคยนั่งมองดอกไม้ดอกเดียว หรือไม่ก็ปะการังอยู่อย่างนั้น มองว่าธรรมชาติสร้างมาให้สวยขนาดนี้ได้ยังไง ทำไมมันถึงไล่สีได้ขนาดนี้ ใครเป็นคนสร้าง อาจจะดูบ้านิดนึง แต่หนูก็เป็นอย่างนี้แหละ

อย่างงานอดิเรกเรื่องการถ่ายภาพ ทำไมถึงชอบกล้องฟิล์ม
มันคลาสสิกดี เรารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่อาร์ตดีอย่างบอกไม่ถูก เวลาไปเที่ยวก็อยากจะเก็บภาพตรงนั้นไว้ ไม่อยากให้เป็นแค่ภาพจากกล้องดิจิทัลธรรมดาๆ


ภาพ: ณัฐพล วุฒิเพ็ชร์