Begin Again – น้อย กฤษดา สุโกศล แคลปป์

04.12.18 465 views

ย้อนกลับไปยังวงการเพลงในยุคมิลเลเนียมวงดนตรีที่ชื่อว่า ‘Pru’ (พรู) ได้สร้างปรากฎการณ์ให้กลุ่มคนฟังเพลงจำนวนหนึ่งไว้อย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของแนวดนตรีที่โดดเด่น การโชว์อันเต็มไปด้วยพลัง รวมทั้งเสียงร้องเป็นเอกลักษณ์ ทุกคนต่างฮือฮาและทึ่งไปกับลีลาของน้อย-กฤษดา สุโกศล แคลปป์ หรือที่หลายคนเรียกเขาว่า ‘น้อย วง Pru’ ความเกรี้ยวกราดและอินเนอร์ที่แสดงออกมาบนเวทีทุกครั้งยังคงตราตรึงแฟนเพลงในยุคนั้น แม้ว่าวง Pru จะหยุดทำเพลงไปแล้วหลังจบอัลบั้มที่ 2 แต่บทเพลงอย่าง ‘ทุกสิ่ง’ ‘Romeo & Juliet’ ‘ได้โปรด’ และ ‘รักเธอจนจบชีวิต’ ยังคงติดอยู่ในใจใครหลายคน

ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา สมาชิกแต่ละคนต่างแยกย้ายไปตามเส้นทางที่ตนเองเลือก เช่นเดียวกับน้อย นอกจากการไปช่วยธุรกิจของครอบครัว เรายังได้เห็นเขาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์มอยู่บ้าง ทว่าวันนี้หลังจากวางมือในวงการเพลงไป 12 ปี เขากลับมาอีกครั้ง ในฐานะศิลปินเดี่ยว ด้วยวัยย่าง 50 ปี เราพาทุกคนทบทวนและทำความรู้จักกับเขาอีกครั้ง และอัพเดตอัลบั้มล่าสุดที่เราหวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้ฟังในเร็ววัน รวมทั้งอวยพรให้อาการกระดูกเท้าขวาแตกนั้นหายวันหายคืน เพื่อจะได้เริ่มงานอัลบั้มใหม่นี้ 

“เราแค่อยากใกล้ชิดและสนุกกับคนดูเท่านั้นเอง แต่เราลืมไปว่ามันไม่เหมือนตอนหนุ่มๆ แล้ว ก็ต้องฟื้นฟูอีกอย่างน้อย 6 สัปดาห์เรารอตั้ง 12 ปีกว่าจะได้กลับมา นี่เป็นช่วงที่เราอยากโปรโมตเพลง ช่วงไฮซีซั่นของอีเวนต์มากมาย แต่ว่าเป็นแบบนี้ใครจะมาจ้างล่ะ (หัวเราะ)” 


ช่วงที่หายไปจากการทำเพลง คุณไปทำอะไร

ช่วงที่เราทำเพลง น้อยรู้ว่าตัวเองเป็นคนโชคดีมาก น้อยมีธุรกิจครอบครัวอยู่ แต่คุณแม่ก็เขาใจว่าคนเราเกิดมามีชีวิตครั้งเดียว เราเลยได้ทำในสิ่งที่เรารักที่สุดคือการทำเพลง และการแสดง น้อยชอบการแสดง จริงๆ เหมือนน้อยชอบการเล่าเรื่อง การปลดปล่อยอารมณ์ 

อย่างการแสดงคือโอกาสที่เราจะได้เป็นคนนั้นคนนี้ น้อยพยายามจะเป็นนักแสดงที่ดีที่สุด น้อยพยายามรับหลายบท อยากลองหลายอย่าง แต่เท่าที่เข้าใจ ทุกคนจะชอบและยอมเสียเงินมาดูบทแรงๆ ของน้อย (หัวเราะ) พวกนักเลง หรือโจรอะไรทำนองนี้ (ตัวจริงคุณดูสุภาพต่างจากตัวละครมาก) มันมีหลากหลายในตัวเรา เหมือนเป็นพายุ บางอย่างมันออกมาในชีวิตจริงไม่ได้ อะไรที่เก็บไว้เยอะๆ ก็เอามาใส่ในการแสดงแทน น้อยชอบบท ‘จ๊อด’ ในเรื่องอันธพาล ที่สุด ได้เป็น Gangster ถือปืน ในบทเป็นคนรักความยุติธรรม ซึ่งมันตรงกับน้อยมาก น้อยไม่ชอบอะไรที่มันไม่ยุติธรรมมากๆ มันเลยสนุกมากเวลาเล่นบทนี้

คุณแม่ก็สนับสนุนทั้งงานเพลง งานแสดง จนวันหนึ่งมันถึงเวลาที่ต้องมาช่วยงานที่บ้านบ้าง น้อยเองก็รู้ว่ามันต้องทำ น้อยไม่ได้เป็นผู้บริหารนะ องค์ประกอบการทำธุรกิจมันซับซ้อน ซึ่งน้อยทำในส่วนของการดีไซน์มากกว่า ของสะสมของน้อยเยอะ และน้อยเป็นคนตกแต่งค่อนข้างเก่ง มันก็เกิดเป็นโรงแรม The Siam คอนเซ็ปต์ทั้งหมดมาจากน้อย นี่ก็เป็นความโชคดีของน้อย เพราะคงไม่มีใครที่นึกอยากทำโรงแรมแล้วได้ทำเหมือนน้อย เหมือนไม่ได้อยู่บนโลกจริงเลย มองคนอื่นที่ต้องทำมาหากินทุกวัน มันต่างกันเลย แต่สิ่งเหล่านั้นมันเลยสะท้อนในเพลงที่น้อยเขียน


คุณไปหาเรื่องราวความลำบากจากไหน ในเมื่อคุณไม่เคยลำบาก 

เราเห็นจากคนรอบข้าง (คุณชอบสังเกตคนเหรอ) ใช่ๆ เพราะน้อยจบด้านมานุษยวิทยา (มหาวิทยาบอสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา) เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับคน วัฒนธรรมในหลายรูปแบบ ตอนทำวิทยานิพนธ์น้อยเลือกทำเกี่ยวกับโสเภณีในเมืองไทย ได้มาสัมภาษณ์ผู้หญิงที่ทำงานด้านนี้ ยิ่งทำให้เข้าใจคนมากขึ้น หลายคนเขาต้องทำมาหากินจริงๆ ในทางกลับกันทำให้น้อยเข้าใจผู้ชายที่มาใช้บริการอาบอบนวด จากที่เราไม่เข้าใจทั้ง 2 ฝ่าย และน้อยไม่ชอบเลยที่ผู้ชายมาสถานที่พวกนี้ เหมือนเขาทรยศครอบครัว แต่พอได้คุยกับบางคนที่เขาบอกว่าเขาแต่งงานมาเป็น 20 ปี จนภรรยาไม่อยากนอน ไม่อยากมีเซ็กซ์กับเขาแล้ว จะให้เขาทำยังไง ให้ดูหนังโป๊เหรอ มันทำให้เราเริ่มเข้าใจคนทั้ง 2 ด้าน 

คือเราสามารถสังเกตเรื่องรอบตัว คนรอบข้างมาเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้ เรามีคนรอบตัวทั้งที่มีเงินและไม่มีเงิน เราสังเกตชีวิตพวกเขา หลายครั้งทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตเราโชคดี เหมือน MV เพลงแรกที่เพิ่งออกมา


แด่ศาลที่เคารพ 

เพลง แด่ศาลที่เคารพ เราไปถ่ายกันในเรือนจำ ที่น้อยสนใจชีวิตพวกเขามันมาจากการที่น้อยชอบคอนเซ็ปต์ของการเริ่มต้นใหม่ มันเป็นเรื่องสุดยอดที่ใครคนหนึ่งได้รับโอกาส ให้ใช้ชีวิตใหม่อีกครั้งหลังจากที่เขาเคยทำพลาดมาก่อน ซึ่งมันยากมากที่จะได้โอกาสนี้ ออกมาแล้วก็ยังไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้รับการยอมรับจากสังคม หางานก็ไม่ได้ แต่น้อยก็ยังรู้สึกถึงพลังและมันเป็นเรื่องสวยงามมากที่เขาจะได้เริ่มต้นมัน และน้อยก็เอาเรื่องราวเหล่านี้ให้บอย (โกสิยพงษ์) ช่วยเขียนเนื้อเพลงให้ 


การกลับมาพร้อมกับสร้างเฟซบุ๊กแฟนเพจ 

น้อยไม่เคยมีทั้งเฟซบุ๊กและอินสตาแกรมเลย ถ้าทำได้น้อยอยากเกิดเมื่อ 100 ปีก่อน เหมือนน้อยเกิดผิดศตวรรษเลย แต่สุดท้ายเราต้องยอมรับว่าโลกมันเปลี่ยนไปแล้ว ยิ่งเรากลับมาหลังจากที่หายไป 12 ปี เราต้องรีคอนเน็กต์กับแฟนเบสของน้อย เราก็ยอมแพ้ให้เทคโนโลยี 

เราสังเกตว่าเวลาที่เราลงเรื่องส่วนตัว เรื่องไลฟ์สไตล์ยอดวิวจะสูงมาก แต่ความจริงสิ่งสำคัญของเราคือผลงาน คือเพลง บางทีน้อยก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน จริงๆ ในเฟซบุ๊กน้อยไม่ค่อยคาดหวังเท่าไหร่นะ แต่ในยูทูบน้อยก็อยากให้ยอดวิวมันเยอะ เพราะในนั้นมันคืองานเพลงของเรา มันมี Thump Up หรือ Thump Down มียอดวิวต่างๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเพลงเราฮิต หรือเป็นเพลงที่ประสบความสำเร็จรึยัง เลยทำให้น้อยลุ้น และก็กดดันด้วย รวมทั้งบางทีก็ยังคาดเดาไม่ได้ด้วยซ้ำ ยอดวิวมากมาย แต่ศิลปินกลับไม่มีงาน

เราก็พอเข้าใจมาบ้างก่อนกลับมา แต่ไม่ได้รู้ลึกเท่าตอนนี้ เราเป็นมนุษย์เราก็คาดหวังอยู่แล้วว่าจะมีคนฟังเรา ยุคนี้ทุกคนสามารถเป็นฮีโร่ได้ในโลกของเขา ซึ่งก็คือเฟซบุ๊ก เหมือนเน็ตไอดอลต่างๆ ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้ว และเห็นว่าทุกคนมีความสุขกับการมีพื้นที่ของตัวเองที่จะโชว์ว่าเขาเป็นใคร ส่วนตัวเราถ้าสามารถครอสโอเวอร์กับคนอื่นได้มันคงยิ่งดี 


#อย่าด่วนตัดสิน คืออะไร

เป็นมินิแคมเปญที่เกี่ยวกับเพลง แด่ศาลที่เคารพ ว่าอย่าด่วนตัดสิน…น้อยว่าสมัยนี้ทุกคนโดนเรื่องแบบนี้กันหมดแล้ว ไม่ใช่แค่คนในวงการบันเทิง ไม่ใช่แค่นักร้องนักแสดง 

อย่างน้อยเองก็มี พูดง่ายๆ ว่าถ้าเราเป็นศิลปินเราก็ไม่อยากให้ใครอ่านเรื่องที่คนว่าเรา มันมีมาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่คนยังไม่เข้าใจเรา ตอนนั้นมันเศร้านะ ในเว็บพันทิป เราเจอ 5 เหตุผลที่ไอ้นักร้องคนนี้มันห่วย มันกระแดะ 1 มันได้ออกอัลบั้มเพราะเป็นน้องชายของสุกี้ 2 คนมีสตางค์ไม่เข้าใจเพลงร็อกหรอก เด็กไฮโซฯ มาร้องร็อก 3 ร้องไปก็ไม่เข้าใจความเป็นร็อก 4 บัลเลต์มันมาเกี่ยวอะไรกับเพลงร็อกวะ 5 มันเฟก อันนี้เจ็บนะฮะ ผมว่าศิลปินแคร์เรื่องนี้มาก เวลาที่ใครมาว่าเราปลอม น้อยก็พยายามเข้าใจ

กลับไปสู่เรื่องมานุษยวิทยา พยายามทำความเข้าใจว่าทำไมเขาคิดแบบนั้น มันเป็นเรื่องคัลเจอร์…คือน้อยมีความเป็นอเมริกันอยู่ด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งเขาเน้นเรื่องความเท่าเทียมและประชาธิปไตย แต่สังคมเรามีความสูงและต่ำไม่เท่ากันแบบนั้นเยอะ เขามาวิจารณ์น้อยอย่างนั้นก็ได้…เขามีสิทธิ์ น้อยก็ต้องพิสูจน์ตัวเอง คุณจะเห็นว่าผมพยายามเท่าไหร่ คุณมีสิทธิ์วิจารณ์ แต่คุณพูดไม่ได้ว่าผมไม่พยายาม เพราะไม่ได้หมายความว่าผมออกเพลงมาแล้วจะดังหรือเก่งเลย เราต้องพยายามและสร้างความน่าเชื่อถือด้วย เขาจะเริ่มเคารพเราเอง 


ทำไมต้องบัลเลต์

น้อยเริ่มทุกอย่างสายมาก น้อยเริ่มร้องเพลงและเต้นตอนอายุ 31 อายุมากแล้ว แต่ความจริงมันก็โมโหอยู่ในใจในเรื่องที่เขาหาว่ามึงได้ออกอัลบั้มเพราะพี่ชายเป็นเจ้าของ Bakery Music เพราะก่อนหน้านั้นสมัยอยู่เมืองนอก น้อยพยายามเป็นนักแสดงละครเวทีที่นั่นอยู่ 3-4 ปีที่กูก็เคยเฟลมาเหมือนกันนะเว้ย กูรู้ว่าต้องไปออดิชั่น ไปเทสต์ และโดนปฏิเสธ ไม่เอามึงๆ หลายครั้ง น้อยรู้สึกยังไงกับการถูกปฏิเสธ น้อยเคยผ่านมันมาแล้ว ซึ่งเขาไม่รู้ (ทำงานอื่นด้วยเหรอ) น้อยก็เป็นบ๋อยด้วย แล้วถ้าได้งานแสดง เราก็ลาออกแล้วไปแสดง 

แต่น้อยก็รู้ว่าน้อยยังโชคดี คือน้อยก็ไม่ได้ลำบากขนาดนั้น น้อยโชคดีที่รู้ว่าเมื่อไหร่เราลำบากขึ้นมา เรายังมีทางออกได้ ยังมีคนช่วยเราได้ แต่หลายคนที่ใช้ชีวิตจริง เวลาที่เขาลำบาก ไม่มีทางออก ไม่รู้จะหาใคร ซึ่งเราก็ถูกสอนเรื่องนี้มา หลายคนอาจจะลืมว่าน้อยมีพ่อด้วยซึ่งพ่อน้อยไม่ใช่คนมีฐานะเหมือนแม่ เป็นคนเกิดในฟาร์มที่อเมริกา ไม่ได้ถึงขั้นเป็นคนจนนะ เป็นชนชั้นกลางที่มีวินัยสูงตามแบบคนอเมริกันคนหนึ่ง และเขาสั่งสอนว่าคุณต้องมีความพยายามกับชีวิต ต้องพูดความจริงเสมอ น้อยว่าสาเหตุหนึ่งที่คนอเมริกันไปได้ไกลก็เพราะเขามีวินัยเยอะมาก ต้องมีความพยายามและฝึกฝนเสมอในทุกๆ ด้าน 

พ่อสอนเรื่องนี้เสมอ หลังพ่อแม่หย่ากันน้อยมีโอกาสไปเยี่ยมพ่อ เรามีหน้าที่ของเรา กินเสร็จต้องล้างจาน ต้องเอาขยะไปทิ้ง ตัดหญ้าที่บ้าน ไปล้างรถให้พ่อ ได้เงินจากพ่อ ทำแบบนี้ทุกวัน สิ่งเหล่านี้มันฝังอยูในตัวเรา ในวันที่เราไปอยู่เมืองนอก เราก็ทำงานหาเงินเป็นบ๋อย กลับไปที่มีเด็กคนหนึ่งวิจารณ์เราในโลกโซเชียลฯ แบบนั้น (หัวเราะ) 


ลูกรู้ไหมว่าคุณเป็นศิลปิน 

รู้ฮะ แต่สมัยที่เขาเด็กกว่านี้มากเขาไม่ค่อยเข้าใจ ยิ่งเวลาเห็นน้อยทำหน้าเศร้าตอนร้องเพลง เขาร้องไห้ตาม เพราะนึกว่าพ่อเจ็บอยู่ ก็น่ารักดีในสมัยนั้น (ยิ้ม) 

พอมาตอนนี้เขาโตขึ้น ก็จะเห็นน้อยแต่งตัวก่อนไปโชว์ช่วงประมาณ 4-5 ทุ่ม เห็นน้อยแต่งตัว เราก็คอยถามลูกว่าพ่อดูดีหรือยัง ชุดที่พ่อใส่เป็นยังไง นั่งแต่งหน้าเล็กน้อยก่อนไป แล้วก็บอกกู๊ดไนต์ลูกๆ การมีลูกทำให้น้อยเข้าใจว่าความรักมหาศาลมันเป็นอย่างนี้นี่เอง มันเหมือนเราหลงรักแฟนในช่วง 3-5 ปีแรก ที่อยากใกล้กันเสมอ แต่กับลูกคือมันมากกว่านั้น
มันอยากอยู่ด้วยตลอดชีวิตเลย อยากนอนกอด อยากหวีผมให้ ซึ่งน้อยรู้ว่าไม่นานมันจะจบลง เพราะพวกเขาทั้งคู่ต้องเติบโต  

ส่วนกับภรรยา ก็คือสิ่งสำคัญอีกส่วน แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้น้อยรู้คือความรักไม่เหมือนที่เราเคยคิด ที่เรานึกว่ามันคือ Romeo & Juliet แต่ในวันที่เราอยู่กันมา 20 ปีมันไม่ได้เป็นแบบนั้น ความรักมันพัฒนาไปหลายทางมาก ไม่ใช่การจับมือกันเหมือนวันแรก แต่ไม่ได้แปลว่ามันแย่ลงนะ เพียงแต่ในวันที่มีลูกมันเปลี่ยนไป เราเริ่มให้ความสำคัญลูกด้วย บางครั้งเราต้องแยกกันช่วยดูลูก มันอาจไม่จู๋จี๋มากเท่าเมื่อก่อน แต่ก็ยังต้องมีเพื่อไม่ให้ความรักมันตาย แต่มันมีรูปแบบที่หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะลูก ในวันที่มีลูกคุณจะสัมผัสความมหัศจรรย์ของความรักที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง


การกลับมาครั้งนี้ทำไมไม่ใช่วง Pru อีกแล้ว พวกคุณทะเลาะกันไหม

เราไม่ได้ทะเลาะกันและยังรักกันดี แต่เรามีแพสชั่นเปลี่ยนไปตามวัย หลายคนทำหน้าที่อื่นๆ งานอื่นๆ มีสิ่งสำคัญในชีวิตมากกว่าเพลงแล้วครับ 

ส่วนน้อยยังอยากทำเพลงอยู่ ตอนนี้เรามีทั้งหมด 12 เพลงที่ทำเสร็จแล้ว เรามาทำเพลงคนเดียวมันก็สนุกไปอีกแบบ ได้ลองหลายแนวมีทั้งเพลงร็อก เพลงช้า เพลงน่ารัก หรือเพลงที่ฟังแล้วผ่อนคลายหน่อย การทำเพลงก็ไม่ต่างจาก Pru แค่ต้องเขียนทำนองและเรียบเรียงเอง ก็มี Co-Producer คอยช่วย ส่วนเรื่องเนื้อเพลงเราได้คนเก่งๆ มาช่วยอย่างบอย โกสิยพงษ์ บอย ตรัย และแสตมป์ แต่เพลงก็ต้องค่อยๆ ปล่อย ตอนนี้หงุดหงิดนิดหน่อยเพราะขาดันมาเจ็บอีก กลัวคนลืมเราจากซิงเกิ้ลแรกที่ปล่อยไป 


เพลงที่ชอบมากที่สุดในวันที่ยังเป็น Pru

ถ้าเกิดเป็นอัลบั้มแรก ก็เป็นเพลงที่ชื่อว่า ‘พรู’ มันไม่เคยเป็นซิงเกิ้ลได้เพราะมันยาวเกินไป สมัยนั้นเป็นซิงเกิ้ลไม่ได้เลย เพราะปล่อยในวิทยุไม่ได้ และมันทำให้เห็นข้อดีของยูทูบ (หัวเราะ) เพราะเดี๋ยวนี้เพลงยาวแค่ไหนก็เปิดฟังได้ ซึ่งเพลงนี้เป็นเพลงที่น้อยชอบและยังภูมิใจกับมันอยู่ ท่อนที่ชอบที่สุดคือ “ฉันรู้ว่าพรูจะสดใสสักวันหนึ่ง ฉันรู้ว่าพรูจะหัวเราะสักวันหนึ่ง ฉันรู้ว่าใครๆ จะยอมรับ ฉันรู้ว่าพรูจะส่งยิ้มให้ ไม่ต้องกลัว ร้องได้ ร้องระบายกับ
ตัวฉัน ร้องไห้และไม่ต้องอาย เพราะมันก็แค่นั้น สุดท้ายยังมีฉันอยู่กับพรู”  มันเป็นอีกเพลงที่ให้กำลังใจ เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากเด็กคนหนึ่ง ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเพลงนี้มาจากชื่อวง 

มันกลับไปเรื่องที่เราชอบมองความลำบาก กลับไปที่คนที่ชีวิตเขาลำบากจริงๆ ‘พรู’ คือเด็กขายพวงมาลัยคนหนึ่ง จริงๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าเขาชื่ออะไร แต่น้อยตั้งชื่อเขาว่าน้องพรู เพราะเขามีคาแร็กเตอร์เหมือนตัวละครในหนังเรื่องหนึ่งที่ชื่อว่าพรู จากนั้นก็แต่งเพลงให้เขา และใช้เป็นชื่อวงด้วย (ยิ้ม) 

ถ้าเป็นอัลบั้มที่ 2 จริงๆ ไม่ค่อยมีเพลงฮิตเลย มันเป็นอัลบั้มที่ไม่เวิร์ก แต่ถ้าถามว่าชอบเพลงไหนก็คงเป็นเพลง ‘บิน’ เป็นเพลงที่เต๋อ นวพล เลือกมาใส่ไว้ในเทรลเลอร์หนังเรื่อง Die Tomorrow ของเขาด้วย ทำให้น้อยรู้สึกดีใจที่คนรุ่นใหม่ยังคงชอบงานของเราอยู่ นอกจากนี้ ‘บิน’ คือเพลงเดียวที่เล่าเรื่องตัวเอง เพลงนี้พูดถึงความกลัวของน้อยเวลาอยู่บนเวที เนื้อหาก็พูดถึงศาลอีกแล้ว เหมือนคนดูคือศาลที่กำลังตัดสินเรา เวลาเราอยู่บนเวที บางครั้งเราอยากบินหนีจากเวทีนี้ออกไป


นอกจากนี้หลายคนมองว่าคุณเป็นคนสุภาพอ่อนหวานมาก จะมีอะไรที่ทำให้คุณโมโหได้มากที่สุด

ความไม่ยุติธรรม น้อยโมโหมาก และชีวิตมักเป็นแบบนั้น น้อยไม่เชื่อเรื่องกรรมตามสนอง ดูกันง่ายๆ ในบ้านเราที่คนทำผิดกฎหมายมากมาย แต่ตอนหลังชีวิตเขาก็จบสวยงาม ความจริงก็มีให้เห็นทั่วโลก แต่น้อยจะไปทำอะไรได้ล่ะฮะ (หัวเราะ) ความจริงใครทำอะไรผิดก็ต้องโดนลงโทษนะ เหมือนในเอ็มวีเพลงใหม่ของน้อย แต่หลายคนก็ไม่ได้รับโทษ น้อยเชื่อเรื่องการให้อภัยด้วย แต่หลายๆ ข่าวในบ้านเมือง เราเป็นประชาชนเราเห็นอยู่และหงุดหงิดใจ แต่เราไม่มีอำนาจพอ เราทำไม่ได้ เราพูดไม่ได้อีก อย่างน้อยในฐานะศิลปินลูกครึ่ง คนอเมริกันเขาพูดได้ แต่เราพูดไม่ได้ เราจะโดนโจมตี ถ้าเราออกความเห็นก็ไม่ได้ เพราะเราต้องทำมาหากิน เดี๋ยวไม่มีคนจ้าง วัฒนธรรมเราเป็นแบบนี้ น้อยก็เข้าใจนะฮะ (ยิ้ม)

 

พอพูดไม่ได้แล้วมีวิธีสงบสติอารมณ์อย่างไร

เอ่อ…เล่นคอนเสิร์ตหรือการแสดงมันช่วยเราได้นะฮะ เราได้ระบายอารมณ์ เป็นเทคนิคในการแสดงของเรา ยิ่งฉากไหนที่ต้องแสดงอารมณ์น้อยจะนึกถึงเรื่องพวกนี้ อะไรที่มันทนไม่ไหวก็ใส่ลงไปแทน 


เวลานอกเหนือจากงานและครอบครัวของคุณคืออะไร

ของเก่าฮะ อย่างที่บอกว่าน้อยอยากมีชีวิตในยุคเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ไม่อยากใช้ชีวิตสมัยนี้ิ จริงๆ สำหรับน้อยยุคนั้นมันสวยงาม นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่น้อยย้ายมาอยู่แถวเยาวราช รีโนเวตตึกโบราณเป็นบ้าน น้อยชอบความเป็นธรรมชาติแบบสมัยก่อน ไม่ต้องมีตึกโมเดิร์นให้มาก คงคล้ายๆ ที่คนเราชอบไปเที่ยวต่างจังหวัดมั้ง คือน้อยว่าคนในชนบทเองก็มีความบริสุทธิ์ มีการอยู่ร่วมกันเป็นชุมชน ช่วยเหลือกันและกันมากกว่าคนเมือง น้อยหมายถึงทุกประเทศนะ คนในเมืองหลวงมีความแข่งขัน

ของเก่าที่น้อยซื้อมามันมาจากวิญญาณในสิ่งนั้นๆ ไม่ต่างจากเวลาเรามองผู้หญิงที่สวยผู้ชายที่หล่อ เราปิ๊งเราก็อยากทำความรู้จักกับเธอ อยากให้มาเป็นของเรา เมื่อเราเลือกมาเราก็ดูแลอย่างดี