




















TOO MUCH
ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1976 โดยมุ่งเน้นการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายผู้ชายสวมใส่สบายสำหรับทุกวัน ภายใต้แนวคิด “Basic & Exciting” โดยนำเทรนด์ที่หลากหลายจากทั่วโลกมาใช้ในการออกแบบเสื้อผ้าลำลองชิ้นเบสิกในสไตล์ชุดกีฬา ชุดทำงาน และชุดทหาร ผสมผสานกับสไตล์ไอวี่ ร็อก เซิร์ฟ และสเกต เพื่อสร้างสรรค์ลุคลำลองที่ดูทันสมัย
แนวคิดหลักของคอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์ 2018 นี้ คือ “TOO MUCH” ซึ่งหมายถึงมากเกินไป โดยนำสไตล์การแต่งกายที่ทันสมัย ชุดกีฬา ชุดทหาร และชุดอเมริกันดั้งเดิม มาผสมผสานกัน ทำให้เกิดลุคใหม่ที่ประกอบไปด้วยกลิ่นอายของแต่ละสไตล์ผสมกัน อีกทั้งยังมีการใช้ไอเท็มขนาดโอเวอร์ไซส์และการเติมเทคโนโลยีลงในเนื้อผ้า ควบคู่กับแบบและสีสันต่างๆ โดยไม่มีการแบ่งประเภท ไม่มีกฎเกณฑ์ และไม่มีคำว่ามากเกินไปในการสร้างสรรค์สไตล์สำหรับฤดูกาลนี้
TOO MUCH
ก่อตั้งเมื่อปี
ค.ศ. 1976
โดยมุ่งเน้นการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายผู้ชายสวมใส่สบายสำหรับทุกวัน
ภายใต้แนวคิด “Basic & Exciting”
โดยนำเทรนด์ที่หลากหลายจากทั่วโลกมาใช้ในการออกแบบเสื้อผ้าลำลองชิ้นเบสิกในสไตล์ชุดกีฬา
ชุดทำงาน และชุดทหาร ผสมผสานกับสไตล์ไอวี่ ร็อก เซิร์ฟ และสเกต
เพื่อสร้างสรรค์ลุคลำลองที่ดูทันสมัย
แนวคิดหลักของคอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์ 2018 นี้ คือ “TOO MUCH” ซึ่งหมายถึงมากเกินไป โดยนำสไตล์การแต่งกายที่ทันสมัย ชุดกีฬา ชุดทหาร และชุดอเมริกันดั้งเดิม มาผสมผสานกัน ทำให้เกิดลุคใหม่ที่ประกอบไปด้วยกลิ่นอายของแต่ละสไตล์ผสมกัน อีกทั้งยังมีการใช้ไอเท็มขนาดโอเวอร์ไซส์และการเติมเทคโนโลยีลงในเนื้อผ้า ควบคู่กับแบบและสีสันต่างๆ โดยไม่มีการแบ่งประเภท ไม่มีกฎเกณฑ์ และไม่มีคำว่ามากเกินไปในการสร้างสรรค์สไตล์สำหรับฤดูกาลนี้
TOO MUCH
ก่อตั้งเมื่อปี
ค.ศ. 1976
โดยมุ่งเน้นการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายผู้ชายสวมใส่สบายสำหรับทุกวัน
ภายใต้แนวคิด “Basic & Exciting”
โดยนำเทรนด์ที่หลากหลายจากทั่วโลกมาใช้ในการออกแบบเสื้อผ้าลำลองชิ้นเบสิกในสไตล์ชุดกีฬา
ชุดทำงาน และชุดทหาร ผสมผสานกับสไตล์ไอวี่ ร็อก เซิร์ฟ และสเกต
เพื่อสร้างสรรค์ลุคลำลองที่ดูทันสมัย
แนวคิดหลักของคอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์ 2018 นี้ คือ “TOO MUCH” ซึ่งหมายถึงมากเกินไป โดยนำสไตล์การแต่งกายที่ทันสมัย ชุดกีฬา ชุดทหาร และชุดอเมริกันดั้งเดิม มาผสมผสานกัน ทำให้เกิดลุคใหม่ที่ประกอบไปด้วยกลิ่นอายของแต่ละสไตล์ผสมกัน อีกทั้งยังมีการใช้ไอเท็มขนาดโอเวอร์ไซส์และการเติมเทคโนโลยีลงในเนื้อผ้า ควบคู่กับแบบและสีสันต่างๆ โดยไม่มีการแบ่งประเภท ไม่มีกฎเกณฑ์ และไม่มีคำว่ามากเกินไปในการสร้างสรรค์สไตล์สำหรับฤดูกาลนี้
BEAMS+
สำหรับแนวคิด SEA SIDE STORY ถือกำเนิดเมื่อปี ค.ศ. 1999 มีชื่อเสียงด้านความสามารถในการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายผู้ชายสไตล์อเมริกันคลาสสิก โดยมีพื้นฐานมาจากการดีไซน์ชุดตามฟังก์ชั่นการใช้งาน 4 ประเภท ได้แก่ ชุดอเมริกันดั้งเดิม ชุดทำงาน ชุดกีฬา และชุดทหาร ซึ่งมาจากการแบ่งประเภทเครื่องแต่งกายตามวิถีชีวิตที่หลากหลายในช่วงยุคทองของอเมริการะหว่างกลางยุค 40s ถึงกลางยุค 60s นั่นเอง โดย
แนวคิดหลักสำหรับคอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์ปีนี้คือ “SEASIDE STORY” โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการแต่งกายสไตล์รีสอร์ตและวิถีชีวิตตามชายฝั่งตะวันออกช่วงฤดูร้อนกลางยุค 50s ถึงกลางยุค 60s โดยดึงมาจากฉากของเทศกาลดนตรี “New Port Jazz Festival” ที่มีเวทีกลางแจ้งและการบรรเลงเพลงแจ๊สในเทศกาลดนตรีกลางฤดูร้อน ผู้คนต่างยิ้มแย้ม เต้นรำ และเคลิบเคลิ้มกับจังหวะไปด้วยกันที่เกาะโคนี่ (Coney Island) เป็นการพักผ่อนช่วงฤดูร้อนในอุดมคติที่ผู้คนสามารถมีความสุขอยู่กับตัวเอง
BEAMS+
สำหรับแนวคิด SEA SIDE STORY ถือกำเนิดเมื่อปี ค.ศ. 1999 มีชื่อเสียงด้านความสามารถในการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายผู้ชายสไตล์อเมริกันคลาสสิก โดยมีพื้นฐานมาจากการดีไซน์ชุดตามฟังก์ชั่นการใช้งาน 4 ประเภท ได้แก่ ชุดอเมริกันดั้งเดิม ชุดทำงาน ชุดกีฬา และชุดทหาร ซึ่งมาจากการแบ่งประเภทเครื่องแต่งกายตามวิถีชีวิตที่หลากหลายในช่วงยุคทองของอเมริการะหว่างกลางยุค 40s ถึงกลางยุค 60s นั่นเอง โดยนำเสนอความสวยงามเหนือกาลเวลาของการออกแบบเพื่อการใช้งานของแฟชั่นชุดยูนิฟอร์ม และมุ่งที่จะคงธรรมเนียมการออกแบบเช่นนี้ไว้โดยปรับให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน
แนวคิดหลักสำหรับคอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์ปีนี้คือ “SEASIDE STORY” โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการแต่งกายสไตล์รีสอร์ตและวิถีชีวิตตามชายฝั่งตะวันออกช่วงฤดูร้อนกลางยุค 50s ถึงกลางยุค 60s โดยดึงมาจากฉากของเทศกาลดนตรี “New Port Jazz Festival” ที่มีเวทีกลางแจ้งและการบรรเลงเพลงแจ๊สในเทศกาลดนตรีกลางฤดูร้อน ผู้คนต่างยิ้มแย้ม เต้นรำ และเคลิบเคลิ้มกับจังหวะไปด้วยกันที่เกาะโคนี่ (Coney Island) เป็นการพักผ่อนช่วงฤดูร้อนในอุดมคติที่ผู้คนสามารถมีความสุขอยู่กับตัวเอง หยิบยกเรื่องราวเหล่านี้รังสรรค์ออกมาเป็นคอลเล็กชั่นเครื่องแต่งกายสไตล์ชุดทหารที่ได้แรงบันดาลใจจากชุดของเจ้าหน้าที่ Catapult officer ของทหารเรืออเมริกันและเสื้อผ้าสไตล์อเมริกันดั้งเดิม โดยมีเสื้อเชิ้ต เสื้อแจ็กเก็ต เสื้อเชิ้ตโปโล และเสื้อถักสำหรับฤดูร้อน เป็นไอเท็มหลักของคอลเล็กชั่น พร้อมใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเพิ่มสีสันลงบนเนื้อผ้าดั้งเดิม ทำให้ได้ลุคที่ดูทันสมัยและคลาสสิกไปพร้อมๆ กัน
BEAMS+
สำหรับแนวคิด SEA SIDE STORY ถือกำเนิดเมื่อปี ค.ศ. 1999 มีชื่อเสียงด้านความสามารถในการสร้างสรรค์เครื่องแต่งกายผู้ชายสไตล์อเมริกันคลาสสิก โดยมีพื้นฐานมาจากการดีไซน์ชุดตามฟังก์ชั่นการใช้งาน 4 ประเภท ได้แก่ ชุดอเมริกันดั้งเดิม ชุดทำงาน ชุดกีฬา และชุดทหาร ซึ่งมาจากการแบ่งประเภทเครื่องแต่งกายตามวิถีชีวิตที่หลากหลายในช่วงยุคทองของอเมริการะหว่างกลางยุค 40s ถึงกลางยุค 60s นั่นเอง โดยนำเสนอความสวยงามเหนือกาลเวลาของการออกแบบเพื่อการใช้งานของแฟชั่นชุดยูนิฟอร์ม และมุ่งที่จะคงธรรมเนียมการออกแบบเช่นนี้ไว้โดยปรับให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน
แนวคิดหลักสำหรับคอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์ปีนี้คือ “SEASIDE STORY” โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการแต่งกายสไตล์รีสอร์ตและวิถีชีวิตตามชายฝั่งตะวันออกช่วงฤดูร้อนกลางยุค 50s ถึงกลางยุค 60s โดยดึงมาจากฉากของเทศกาลดนตรี “New Port Jazz Festival” ที่มีเวทีกลางแจ้งและการบรรเลงเพลงแจ๊สในเทศกาลดนตรีกลางฤดูร้อน ผู้คนต่างยิ้มแย้ม เต้นรำ และเคลิบเคลิ้มกับจังหวะไปด้วยกันที่เกาะโคนี่ (Coney Island) เป็นการพักผ่อนช่วงฤดูร้อนในอุดมคติที่ผู้คนสามารถมีความสุขอยู่กับตัวเอง หยิบยกเรื่องราวเหล่านี้รังสรรค์ออกมาเป็นคอลเล็กชั่นเครื่องแต่งกายสไตล์ชุดทหารที่ได้แรงบันดาลใจจากชุดของเจ้าหน้าที่ Catapult officer ของทหารเรืออเมริกันและเสื้อผ้าสไตล์อเมริกันดั้งเดิม โดยมีเสื้อเชิ้ต เสื้อแจ็กเก็ต เสื้อเชิ้ตโปโล และเสื้อถักสำหรับฤดูร้อน เป็นไอเท็มหลักของคอลเล็กชั่น พร้อมใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและเพิ่มสีสันลงบนเนื้อผ้าดั้งเดิม ทำให้ได้ลุคที่ดูทันสมัยและคลาสสิกไปพร้อมๆ กัน
Vaporize
แนวคิด SAVAGE
นำเสนอสไตล์ทันสมัยแบบคนเมืองโดยได้รับแรงบันดาลใจจากดนตรี ซึ่งมาจากการที่ James Iha มือกีตาร์จากวง Smashing Pumpkins เป็นผู้ดูแลแบรนด์นั่นเอง
ในคอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์ 2018 VAPORIZE นำเสนอสไตล์ฮิปฮอปภายใต้ธีม “SAVAGE” หรือความเท่ ผ่านการสร้างสรรค์สไตล์เรียบหรูแบบร่วมสมัย แตกต่างจากสไตล์ฮิปฮอปแบบเก่าที่มักจะเป็นเสื้อผ้าทรงหลวมโคร่ง โดยเลือกใช้กางเกงเข้ารูปเพื่อทำให้ลุคดูทันสมัย และเน้นไอเท็มชุดกีฬา อาทิ ชุดแทร็กสูท เสื้อแจ็กเก็ตซิปหน้าและกางเกงเข้าชุดกัน เสื้อเบสบอล และกางเกงบาสเกตบอล ซึ่งออกแบบให้เป็นแบบฮิปฮอปที่ไม่เหมือนใครตามแบบฉบับของแบรนด์ พร้อมเลือกใช้สีเบจ สีเบอร์กันดี และสีน้ำตาล เป็นสามสีหลัก
Vaporize
แนวคิด SAVAGE
นำเสนอสไตล์ทันสมัยแบบคนเมืองโดยได้รับแรงบันดาลใจจากดนตรี ซึ่งมาจากการที่ James Iha มือกีตาร์จากวง Smashing Pumpkins เป็นผู้ดูแลแบรนด์นั่นเอง
ในคอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์ 2018 VAPORIZE นำเสนอสไตล์ฮิปฮอปภายใต้ธีม “SAVAGE” หรือความเท่ ผ่านการสร้างสรรค์สไตล์เรียบหรูแบบร่วมสมัย แตกต่างจากสไตล์ฮิปฮอปแบบเก่าที่มักจะเป็นเสื้อผ้าทรงหลวมโคร่ง โดยเลือกใช้กางเกงเข้ารูปเพื่อทำให้ลุคดูทันสมัย และเน้นไอเท็มชุดกีฬา อาทิ ชุดแทร็กสูท เสื้อแจ็กเก็ตซิปหน้าและกางเกงเข้าชุดกัน เสื้อเบสบอล และกางเกงบาสเกตบอล ซึ่งออกแบบให้เป็นแบบฮิปฮอปที่ไม่เหมือนใครตามแบบฉบับของแบรนด์ พร้อมเลือกใช้สีเบจ สีเบอร์กันดี และสีน้ำตาล เป็นสามสีหลักVaporize
แนวคิด SAVAGE
นำเสนอสไตล์ทันสมัยแบบคนเมืองโดยได้รับแรงบันดาลใจจากดนตรี ซึ่งมาจากการที่ James Iha มือกีตาร์จากวง Smashing Pumpkins เป็นผู้ดูแลแบรนด์นั่นเอง
ในคอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์
2018 VAPORIZE นำเสนอสไตล์ฮิปฮอปภายใต้ธีม “SAVAGE” หรือความเท่
ผ่านการสร้างสรรค์สไตล์เรียบหรูแบบร่วมสมัย
แตกต่างจากสไตล์ฮิปฮอปแบบเก่าที่มักจะเป็นเสื้อผ้าทรงหลวมโคร่ง
โดยเลือกใช้กางเกงเข้ารูปเพื่อทำให้ลุคดูทันสมัย และเน้นไอเท็มชุดกีฬา อาทิ
ชุดแทร็กสูท เสื้อแจ็กเก็ตซิปหน้าและกางเกงเข้าชุดกัน เสื้อเบสบอล
และกางเกงบาสเกตบอล
ซึ่งออกแบบให้เป็นแบบฮิปฮอปที่ไม่เหมือนใครตามแบบฉบับของแบรนด์
พร้อมเลือกใช้สีเบจ สีเบอร์กันดี และสีน้ำตาล เป็นสามสีหลัก
Vaporize
แนวคิด SAVAGE
นำเสนอสไตล์ทันสมัยแบบคนเมืองโดยได้รับแรงบันดาลใจจากดนตรี ซึ่งมาจากการที่ James Iha มือกีตาร์จากวง Smashing Pumpkins เป็นผู้ดูแลแบรนด์นั่นเอง
ในคอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์
2018 VAPORIZE นำเสนอสไตล์ฮิปฮอปภายใต้ธีม “SAVAGE” หรือความเท่
ผ่านการสร้างสรรค์สไตล์เรียบหรูแบบร่วมสมัย
แตกต่างจากสไตล์ฮิปฮอปแบบเก่าที่มักจะเป็นเสื้อผ้าทรงหลวมโคร่ง
โดยเลือกใช้กางเกงเข้ารูปเพื่อทำให้ลุคดูทันสมัย และเน้นไอเท็มชุดกีฬา อาทิ
ชุดแทร็กสูท เสื้อแจ็กเก็ตซิปหน้าและกางเกงเข้าชุดกัน เสื้อเบสบอล
และกางเกงบาสเกตบอล
ซึ่งออกแบบให้เป็นแบบฮิปฮอปที่ไม่เหมือนใครตามแบบฉบับของแบรนด์
พร้อมเลือกใช้สีเบจ สีเบอร์กันดี และสีน้ำตาล เป็นสามสีหลัก
Ray BEAMS
Dress Me Up and Dress Me Down
Ray BEAMS เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ.1984 ในฐานะคอลเล็กชั่นเครื่องแต่งกายผู้หญิงครั้งแรกของ BEAMS นำเสนอสไตล์ผสมผสานระหว่างการแต่งกายอิงตามกระแสแฟชั่นกับไอเท็มชิ้นเบสิก ภายใต้แนวคิด “The Way of Chic” โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นที่ที่ทำให้ผู้หญิงได้ค้นพบวิถีชีวิต การแต่งกาย และทุกๆ วันที่ดูชิคในแบบของเธอ
ธีมของคอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์ 2018 คือ “Dress Me Up and Dress Me Down” ซึ่งนำเสนอการเล่นเลเยอร์หลายชั้นและสไตล์แฟชั่นที่หลากหลายตามคำว่า “Dress Me Up” ในขณะที่ “Dress Me Down” นำเสนอสไตล์ที่ออกนอกกรอบ แต่ยังออกแบบให้ดูสมดุลด้วยการเพิ่มเสื้อแบบคอเสื้อถ่วงไปด้านหลัง และเสื้อเปิดไหล่ และมีเพิ่มความเป็นผู้หญิงและความสง่างามให้กับสไตล์สตรีทด้วยรายละเอียดอย่างเสื้อที่มีระบายขนาดใหญ่ ผ้าบางเนื้อเชียร์ หรือผ้าออร์แกนดี้ ทำให้หัวใจสำคัญของคอลเล็กชั่นนี้คือการนำเสนอ “สไตล์ผสมผสาน” กับองค์ประกอบที่หลากหลาย
Ray BEAMS
Dress Me Up and Dress Me Down
Ray BEAMS เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ.1984 ในฐานะคอลเล็กชั่นเครื่องแต่งกายผู้หญิงครั้งแรกของ BEAMS นำเสนอสไตล์ผสมผสานระหว่างการแต่งกายอิงตามกระแสแฟชั่นกับไอเท็มชิ้นเบสิก ภายใต้แนวคิด “The Way of Chic” โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นที่ที่ทำให้ผู้หญิงได้ค้นพบวิถีชีวิต การแต่งกาย และทุกๆ วันที่ดูชิคในแบบของเธอ
ธีมของคอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์
2018 คือ “Dress Me Up and Dress Me Down”
ซึ่งนำเสนอการเล่นเลเยอร์หลายชั้นและสไตล์แฟชั่นที่หลากหลายตามคำว่า “Dress
Me Up” ในขณะที่ “Dress Me Down” นำเสนอสไตล์ที่ออกนอกกรอบ
แต่ยังออกแบบให้ดูสมดุลด้วยการเพิ่มเสื้อแบบคอเสื้อถ่วงไปด้านหลัง
และเสื้อเปิดไหล่
และมีเพิ่มความเป็นผู้หญิงและความสง่างามให้กับสไตล์สตรีทด้วยรายละเอียดอย่างเสื้อที่มีระบายขนาดใหญ่
ผ้าบางเนื้อเชียร์ หรือผ้าออร์แกนดี้
ทำให้หัวใจสำคัญของคอลเล็กชั่นนี้คือการนำเสนอ “สไตล์ผสมผสาน”
กับองค์ประกอบที่หลากหลาย
Ray BEAMS
Dress Me Up and Dress Me Down
Ray BEAMS เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ.1984 ในฐานะคอลเล็กชั่นเครื่องแต่งกายผู้หญิงครั้งแรกของ BEAMS นำเสนอสไตล์ผสมผสานระหว่างการแต่งกายอิงตามกระแสแฟชั่นกับไอเท็มชิ้นเบสิก ภายใต้แนวคิด “The Way of Chic” โดยมีเป้าหมายที่จะเป็นที่ที่ทำให้ผู้หญิงได้ค้นพบวิถีชีวิต การแต่งกาย และทุกๆ วันที่ดูชิคในแบบของเธอ
ธีมของคอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์
2018 คือ “Dress Me Up and Dress Me Down”
ซึ่งนำเสนอการเล่นเลเยอร์หลายชั้นและสไตล์แฟชั่นที่หลากหลายตามคำว่า “Dress
Me Up” ในขณะที่ “Dress Me Down” นำเสนอสไตล์ที่ออกนอกกรอบ
แต่ยังออกแบบให้ดูสมดุลด้วยการเพิ่มเสื้อแบบคอเสื้อถ่วงไปด้านหลัง
และเสื้อเปิดไหล่
และมีเพิ่มความเป็นผู้หญิงและความสง่างามให้กับสไตล์สตรีทด้วยรายละเอียดอย่างเสื้อที่มีระบายขนาดใหญ่
ผ้าบางเนื้อเชียร์ หรือผ้าออร์แกนดี้
ทำให้หัวใจสำคัญของคอลเล็กชั่นนี้คือการนำเสนอ “สไตล์ผสมผสาน”
กับองค์ประกอบที่หลากหลาย
BEAMS BOY
TRADITIONAL ODYSSEY
เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ.1998 ในฐานะแบรนด์เครื่องแต่งกายไพรเวตเลเบลสำหรับผู้หญิงที่ชื่นชอบเครื่องแต่งกายผู้ชายแบบต้นตำรับโดยเน้นการใช้งานและความคงทน คอลเล็กชั่นมีกลิ่นอายเสื้อผ้าสไตล์ผู้ชายอย่างโดดเด่น และประกอบไปด้วยไอเท็มหลายชิ้นที่เป็นเอกลักษณ์
ในปี 2018 นี้ BEAMS BOY ฉลองครบรอบ 20 ปีโดยการนำเสนอผ่านคอลเล็กชั่น “TRADITIONAL ODYSSEY” โดยถือโอกาสนี้กลับมานำเสนอสไตล์ดั้งเดิมของแบรนด์ ซึ่งได้สร้างขึ้นตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คำว่า “Odyssey” หมายถึง การใช้ความคิดในการสำรวจค้นคว้า ซึ่งพ้องไปกับเป้าหมายของแบรนด์ในการกลับไปศึกษาอดีตเพื่อเดินทางสู่อนาคต ในคอลเล็กชั่นนี้ BEAMS BOY กลับมาเน้นไอเท็มที่เป็นต้นฉบับในแต่ละประเภท อาทิ ชุดทำงาน ชุดทหาร ไอวี่ สปอร์ต และชนเผ่า โดยนำเสนอสไตล์ผสมผสานเป็นเอกลักษณ์ และคัดเลือกไอเท็มที่หลากหลายมาไว้ด้วยกัน
BEAMS BOY
TRADITIONAL ODYSSEY
เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ.1998 ในฐานะแบรนด์เครื่องแต่งกายไพรเวตเลเบลสำหรับผู้หญิงที่ชื่นชอบเครื่องแต่งกายผู้ชายแบบต้นตำรับโดยเน้นการใช้งานและความคงทน คอลเล็กชั่นมีกลิ่นอายเสื้อผ้าสไตล์ผู้ชายอย่างโดดเด่น และประกอบไปด้วยไอเท็มหลายชิ้นที่เป็นเอกลักษณ์
ในปี 2018 นี้ BEAMS BOY ฉลองครบรอบ 20 ปีโดยการนำเสนอผ่านคอลเล็กชั่น “TRADITIONAL ODYSSEY” โดยถือโอกาสนี้กลับมานำเสนอสไตล์ดั้งเดิมของแบรนด์ ซึ่งได้สร้างขึ้นตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คำว่า “Odyssey” หมายถึง การใช้ความคิดในการสำรวจค้นคว้า ซึ่งพ้องไปกับเป้าหมายของแบรนด์ในการกลับไปศึกษาอดีตเพื่อเดินทางสู่อนาคต ในคอลเล็กชั่นนี้ BEAMS BOY กลับมาเน้นไอเท็มที่เป็นต้นฉบับในแต่ละประเภท อาทิ ชุดทำงาน ชุดทหาร ไอวี่ สปอร์ต และชนเผ่า โดยนำเสนอสไตล์ผสมผสานเป็นเอกลักษณ์ และคัดเลือกไอเท็มที่หลากหลายมาไว้ด้วยกัน
BEAMS BOY
TRADITIONAL ODYSSEY
เปิดตัวเมื่อปี ค.ศ.1998 ในฐานะแบรนด์เครื่องแต่งกายไพรเวตเลเบลสำหรับผู้หญิงที่ชื่นชอบเครื่องแต่งกายผู้ชายแบบต้นตำรับโดยเน้นการใช้งานและความคงทน คอลเล็กชั่นมีกลิ่นอายเสื้อผ้าสไตล์ผู้ชายอย่างโดดเด่น และประกอบไปด้วยไอเท็มหลายชิ้นที่เป็นเอกลักษณ์
ในปี 2018 นี้ BEAMS BOY ฉลองครบรอบ 20 ปีโดยการนำเสนอผ่านคอลเล็กชั่น “TRADITIONAL ODYSSEY” โดยถือโอกาสนี้กลับมานำเสนอสไตล์ดั้งเดิมของแบรนด์ ซึ่งได้สร้างขึ้นตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คำว่า “Odyssey” หมายถึง การใช้ความคิดในการสำรวจค้นคว้า ซึ่งพ้องไปกับเป้าหมายของแบรนด์ในการกลับไปศึกษาอดีตเพื่อเดินทางสู่อนาคต ในคอลเล็กชั่นนี้ BEAMS BOY กลับมาเน้นไอเท็มที่เป็นต้นฉบับในแต่ละประเภท อาทิ ชุดทำงาน ชุดทหาร ไอวี่ สปอร์ต และชนเผ่า โดยนำเสนอสไตล์ผสมผสานเป็นเอกลักษณ์ และคัดเลือกไอเท็มที่หลากหลายมาไว้ด้วยกัน
RBS
RBS คือแบรนด์ที่แตกย่อยมาจาก Ray BEAMS เป็นแบรนด์สำหรับผู้หญิงที่รักในแฟชั่นอย่างแท้จริงโดยไม่มีขอบเขตใดๆ RBS นำเสนอการแต่งกายร่วมสมัยด้วยสไตล์เรียบๆ แบบไม่ต้องพยายาม แฝงกลิ่นอายความเป็นผู้ชายในแบบ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุ ทำให้คอลเล็กชั่นประกอบไปด้วยไอเท็มที่ประณีต ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูงและพิถีพิถันในรายละเอียดอย่างแท้จริง
RBS
RBS คือแบรนด์ที่แตกย่อยมาจาก Ray BEAMS เป็นแบรนด์สำหรับผู้หญิงที่รักในแฟชั่นอย่างแท้จริงโดยไม่มีขอบเขตใดๆ RBS นำเสนอการแต่งกายร่วมสมัยด้วยสไตล์เรียบๆ แบบไม่ต้องพยายาม แฝงกลิ่นอายความเป็นผู้ชายในแบบ รวมถึงการเลือกใช้วัสดุ ทำให้คอลเล็กชั่นประกอบไปด้วยไอเท็มที่ประณีต ผลิตจากวัสดุคุณภาพสูงและพิถีพิถันในรายละเอียดอย่างแท้จริง
Maturely
ROMANCE
Maturely คือแบรนด์ที่แตกออกมาจาก BEAMS BOY เมื่อปี 2017 ด้วยแนวคิดหลักคือ “MODETRAD (mode and trad ทันสมัยและดั้งเดิม)” ซึ่งนำเสนอคอลเล็กชั่นที่ตีความแฟชั่นแบบดั้งเดิมให้มีความร่วมสมัยและสวยงาม
คอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์ 2018 ใช้แนวคิด “ROMANCE” ซึ่งหมายถึงความรักและการผจญภัย โดยได้แรงบันดาลใจจากการพบเจอและความผูกพันอันมีค่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ นำเสนอผ่านการออกแบบรายละเอียดต่างๆ อาทิ กระดุมแบบจีน ผ้ารัดเอว และเข็มขัดเชือก บนเสื้อผ้าสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และใส่ลูกเล่นเพื่อเพิ่มความหวานอย่าง ลูกไม้ cutwork งานปัก และลายตารางกิงแฮม เลือกใช้สีชมพูเปลือกหอยและสีฟ้าอ่อนเป็นสีหลัก เพื่อรังสรรค์คอลเล็กชั่นที่มีชีวิตชีวาและขี้เล่น มอบความโรแมนติกให้กับคุณ
Maturely
ROMANCE
Maturely คือแบรนด์ที่แตกออกมาจาก BEAMS BOY เมื่อปี 2017 ด้วยแนวคิดหลักคือ “MODETRAD (mode and trad ทันสมัยและดั้งเดิม)” ซึ่งนำเสนอคอลเล็กชั่นที่ตีความแฟชั่นแบบดั้งเดิมให้มีความร่วมสมัยและสวยงาม
คอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์ 2018 ใช้แนวคิด “ROMANCE” ซึ่งหมายถึงความรักและการผจญภัย โดยได้แรงบันดาลใจจากการพบเจอและความผูกพันอันมีค่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ นำเสนอผ่านการออกแบบรายละเอียดต่างๆ อาทิ กระดุมแบบจีน ผ้ารัดเอว และเข็มขัดเชือก บนเสื้อผ้าสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และใส่ลูกเล่นเพื่อเพิ่มความหวานอย่าง ลูกไม้ cutwork งานปัก และลายตารางกิงแฮม เลือกใช้สีชมพูเปลือกหอยและสีฟ้าอ่อนเป็นสีหลัก เพื่อรังสรรค์คอลเล็กชั่นที่มีชีวิตชีวาและขี้เล่น มอบความโรแมนติกให้กับคุณ
Maturely
ROMANCE
Maturely คือแบรนด์ที่แตกออกมาจาก BEAMS BOY เมื่อปี 2017 ด้วยแนวคิดหลักคือ “MODETRAD (mode and trad ทันสมัยและดั้งเดิม)” ซึ่งนำเสนอคอลเล็กชั่นที่ตีความแฟชั่นแบบดั้งเดิมให้มีความร่วมสมัยและสวยงาม
คอลเล็กชั่นสปริงซัมเมอร์ 2018 ใช้แนวคิด “ROMANCE” ซึ่งหมายถึงความรักและการผจญภัย โดยได้แรงบันดาลใจจากการพบเจอและความผูกพันอันมีค่าทั้งหมดที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์ นำเสนอผ่านการออกแบบรายละเอียดต่างๆ อาทิ กระดุมแบบจีน ผ้ารัดเอว และเข็มขัดเชือก บนเสื้อผ้าสไตล์ญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และใส่ลูกเล่นเพื่อเพิ่มความหวานอย่าง ลูกไม้ cutwork งานปัก และลายตารางกิงแฮม เลือกใช้สีชมพูเปลือกหอยและสีฟ้าอ่อนเป็นสีหลัก เพื่อรังสรรค์คอลเล็กชั่นที่มีชีวิตชีวาและขี้เล่น มอบความโรแมนติกให้กับคุณ