
บอกเลยว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา หรั่ง-อภิวิชญ์ เรียร์ดอน ไม่ใช่แค่หน้าตา แต่คือสิ่งที่เขาคิดที่เขาทำ ทำไมเขาถึงเลือกเรียนประวัติศาสตร์ ทำไมเขาถึงอยากออกจากบ้านมาอยู่ด้วยตัวเองก่อนอายุ 18 ทำงานมาแล้วตั้งแต่การเป็นเด็กเสิร์ฟในโรงแรมจนมาถึงผลงานการแสดงเรื่องล่าสุด App War และอะไรคือเป้าหมายในชีวิตของผู้ชายมาดกวนคนนี้
เป็นลูกครึ่งที่โตมาแบบฝรั่งหรือแบบไทย
คือผมไม่อยากบอกว่าผมโตมาแบบฝรั่งหรือไทย ผมโตมากับพ่อแม่ คือบ้านผมฝั่งหนึ่งเป็นคนจีน ฝั่งหนึ่งเป็นฝรั่ง พ่อเป็นคนอังกฤษที่ไม่ได้อยู่ในอังกฤษ ส่วนแม่ผมเป็นคนไทยเชื้อสายจีนที่ก็นั่งด่าสังคมไทยเหมือนกัน ฝั่งแม่เขาก็จะสอนเรื่องการทำงาน การประสบความสำเร็จ ส่วนพ่อผมเขาก็จะสอนให้ลองทำเอง ยูอยากทำอะไรตามสบายเลย แต่คือทั้งคู่ไม่ได้มีกฎตายตัว เขาสอนให้เรายืดหยุ่นได้ คือพ่อแม่ผมเขาเลิกกัน ผมเลยโตมาแบบไปหาแม่บ้างไปหาพ่อบ้าง แล้วพอเขามีครอบครัวใหม่ทั้งคู่ มันยิ่งทำให้เราต้องโตขึ้นด้วยตัวเอง
เริ่มมาทำงานหน้ากล้องตั้งแต่เมื่อไหร่
ก่อนหน้านี้ทำงานร้านอาหารในโรงแรม พวกงานพาร์ตไทม์ต่างๆ แล้วช่วงประมาณปี 2 ที่เรียนมหาวิทยาลัย เราย้ายเข้ามาเรียนที่กรุงเทพฯ เราเริ่มเจอเด็กภาพยนตร์ เด็กภาพยนตร์มันเห็นเราก็เฮ้ย ไอ้นี่มันเล่นได้ ก็จับมาเล่นหนังบ้าง ถ่ายงานบ้าง เราก็เริ่มสนิทกับเด็กภาพยนตร์ พอเราขึ้นปี 4 ยังไม่ทันจบ มันก็เอางานมาให้เราทำเลย เป็นงานพิธีกรรายการท่องเที่ยวรายการหนึ่ง ซึ่งเราก็เริ่มจากตรงนั้นที่เป็นงานหน้ากล้อง
เรื่องนี้เป็นการแสดงหนังใหญ่เรื่องแรกเลยใช่ไหม
ถ้าเป็นหนังใหญ่ ใช่ครับ
รู้สึกยังไงบ้าง
เออ...คือผมไม่รู้ว่ากองอื่นเขาเป็นยังไง อย่างเราเคยไปเป็นตัวประกอบกองละคร เราชื่นชมการทำงานของเขามาก เพราะเขาทำงานเร็ว มีกล้องสามตัว ทุกอย่างรวดเร็วตามเวลา พอมาทำงานกับพี่เสือเรารู้สึกว่ามันแหกหนักมาก แต่เราก็พร้อมจะแหกไปกับเขา เรายอมนอนตีสาม ยอมกลับบ้านหกโมงเช้าได้ เพราะเราไม่ได้รู้สึกว่าเราคือลูกจ้าง เราเหมือนมาเพื่อช่วยเขา มาทำงานให้เขา การทำงานกับพี่เสือสนุก ไม่ตึงเครียด บางทีมันอาจจะหย่อนยานจนแหกโค้งไปซะเยอะ แต่ก็ไม่เป็นไรเพราะเรารู้สึกว่าเราพร้อมจะแหกไปกับเขาได้ เขาเก็บทุกรายละเอียดทั้งตัวเรา ทั้งแอ็กติ้งโค้ช หลายๆ อย่างพออยู่หน้าเซ็ตมันก็มีการปรับเปลี่ยนบ่อย ซึ่งเราก็โอเคที่จะได้ทำ เป็นการเพิ่มความสามารถ เพราะตัวเราเองก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยคิดว่าจะได้มาทำ เราได้เรียนรู้ในสิ่งที่เราไม่เคยคาดคิดว่าจะได้รู้ หรืออยากจะรู้ อย่างเรื่องการแสดงนี่แหละ
พอได้มาแสดงจริงจังครั้งแรกแล้วชอบไหม
ก่อนหน้านี้มันก็มีจริงจังมาแล้วนะ คือผมทำงานมาตลอด พยายามหาเงินตั้งแต่กฎหมายอนุญาตให้เด็กสามารถทำงานหาเงินได้ ซึ่งเรารู้สึกว่าต่อให้กองเล็กแค่ไหน เงินน้อยแค่ไหน เราก็ต้องทำให้เต็มที่ทุกครั้ง มันไม่ใช่ความรู้สึกว่านี่คือครั้งแรกที่ทำงานแบบมืออาชีพ อย่างกองเอ็มวีมันถ่ายวันเดียวก็จริง แต่เขาก็อยากให้งานออกมาดีแล้วเราก็มาในฐานะลูกจ้าง เพราะท้ายที่สุดแล้วเขาจ้างเรามา เราต้องทำให้ดี ไม่งั้นเขาก็เฉดหัวทิ้ง
ตัวละคร ‘บิ๊ว’ ในเรื่องเป็นยังไงบ้าง
เป็นคนห่าม สุดโต่ง อย่างคนอื่นจะเหนียมๆ เก้ๆ กังๆ กล้าๆ กลัวๆ หน่อย แต่ไอ้นี่จะกล้าได้กล้าเสีย มีร้อยใส่ร้อย เป็นเหมือนพวกหัวขบวน พวกไม้กันหมา เป็นอารมณ์แบบออกไปโดนก่อน ออกไปตายก่อน รับหน้าเอง แต่ในแง่ความเป็นคน บิ๊วจะมั่นใจในตัวเอง แล้วถ้าเทียบจากตัวละครผู้ชาย บิ๊วจะดูเป็นคนที่อยากประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจ
ชื่อเสียงเงินทองมากท่ี่สุด
ตัวละครบิ๊วคล้ายกับตัวหรั่งไหม
คือเรารู้สึกว่าเขาเอาเรามาเล่นบทนี้เพราะมันคล้ายเรามากนี่แหละ เราเคยทำงานกับผู้กำกับมาก่อน เขาก็รู้ว่าเราพอทำประมาณนี้ได้ แล้วเราก็รู้สึกว่าหลายๆ อย่างในตัวละครมันเชื่อมโยงกับตัวเรามากพอสมควร ทั้งในหนังเอง ตัวบทเอง และชีวิตเราเองที่มันก็ค่อนข้างมีหลายอย่างที่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์ในหนังได้
เห็นบอกว่าเรียนประวัติศาสตร์มา ทำไมถึงเลือกเรียนประวัติศาสตร์
เราโตมากับสารคดี หนังสารคดี มีสามอย่างที่เราเห็นในทีวีตอนเด็กๆ คือหนัง การ์ตูน แล้วก็สารคดี ซึ่งเรารู้สึกว่าหนังมันเป็นอะไรที่แฟนตาซีมากๆ ตอนเด็กชอบดูหนังแอ็กชั่นเวอร์ๆ ซึ่งมันดูห่างไกลความเป็นจริงสำหรับเราตอนนั้น แต่สารคดีเราโตมากับมัน เราชอบไปพิพิธภัณฑ์ ดูนู่นดูนี่ เอาจริงๆ เราก็ไม่ได้เป็นคนที่หลงใหลประวัติศาสตร์ถึงขั้นจะเรียกว่านักประวัติศาสตร์ เพราะว่าเราเจอคนที่เขาทำอาชีพนั้นจริงๆ แล้วเขามีแพสชั่นสูงกว่าเราหลายร้อยเท่าตัว ตอนเลือกเรียนคณะนี้คือเลือกด้วยเหตุผลที่ว่าเอายังไงก็ได้ให้มีที่เรียน (หัวเราะ) แต่เราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเราเสียเวลากับการเรียนตรงนี้นะ เพราะรู้สึกสนุกกับมัน มันทำให้เราเข้าใจความเป็นไปของทุกอย่างได้ดีมาก ท้ายที่สุดแล้วประวัติศาสตร์คือรากฐานของการศึกษาทุกอย่าง คุณเรียนภาพยนตร์คุณก็ต้องศึกษาประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ คุณเรียนการละครคุณก็ต้องศึกษาต้นกำเนิดการละครว่าเป็นยังไง ท้ายที่สุดเราได้เปรียบ เราได้วิธีการ เราได้เครื่องมือในการเป็นผู้สังเกตการณ์ ผมดีใจมากด้วยซ้ำที่ผมเรียนจบตรงนี้มา เพราะเรารู้สึกว่าเรากลายเป็นนักสังเกตการณ์ เราชอบและอยากทำความเข้าใจความเป็นไปในสังคม มันทำให้เรากลายเป็นคนอยากติดตาม อยากรู้ อยากวิพากษ์วิจารณ์ อยากด่า อยากโดนคนด่า
ถ้าไม่บอกก็จะไม่รู้เลยว่าหรั่งเรียนประวัติศาสตร์มา
คือหลายๆ คนรู้ว่าผมเรียนประวัติศาสตร์มาก็เอ๋อแดกไปเลย (หัวเราะ) แบบเฮ้ยไม่น่าใช่นะ
แล้วแพสชั่นในการใช้ชีวิตของหรั่งคืออะไร
ผมอยากอยู่บ้านเฉยๆ ไม่ต้องทำอะไร (หัวเราะ) จริงๆ คือเราอยากสร้างความรู้ให้คน แต่เรายังไม่ได้วางแผน เราเริ่มรู้แล้วว่าแผนเป็นสิ่งที่ต้องวางไว้ก่อน ญาติผู้ใหญ่คนหนึ่งของผมที่ประสบความสำเร็จเขาพูดมาว่าแผนการในชีวิตมันเปลี่ยนแปลงได้เสมอ มันมีแผนเอ แผนบี แผนซี มันเปลี่ยนได้ตลอดทุกช่วงเวลาของชีวิตอยู่แล้ว ที่สำคัญคือต้องมีจุดยืน มีทางที่ตัวเองอยากไป ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไปตามแผนนั้นตลอด ซึ่งผมรู้สึกว่าตอนนี้ผมอยู่ในจุดที่ต้องเลือกว่าผมอยากไปทางไหนมากกว่า
คิดยังไงกับเด็กรุ่นใหม่ที่ใช้สื่อออนไลน์สร้างพื้นที่ทำให้ตัวเองดัง
คือผมไม่รู้นะ เพราะส่วนตัวผมไม่เคยอยากเป็นคนดัง ผมอยากเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีใครรู้จักด้วยซ้ำ เพราะตั้งแต่เด็กด้วยความที่ผมเป็นลูกครึ่ง คือหน้ามันไม่ใช่เด็กไทยนึกออกไหม เวลาเรานั่งรถเมล์ นั่งวิน นั่งรถตู้กับพ่อ เราก็จะเจอคนที่ป้ายรถเมล์ทักเราด้วยความที่เราเป็นฝรั่ง เราเลยรู้สึกเกลียดการเป็นซัมวันมากๆ เพราะเขาไม่ให้พื้นที่ความเป็นส่วนตัวกับเรา เขาไม่เคยถาม ไม่เคยดูว่าเราโอเคไหม เราเลยไม่เข้าใจว่าคนจะอยากดังไปทำไมกันนักหนา เราก็ไม่ได้อยากดัง เรามาถึงตรงนี้ได้เราก็ไม่ได้คิดอยู่ดีว่าเราอยากจะดัง แล้วถ้าถามว่าต่อไปมันไม่ดังเป็นอะไรไหม เราก็ไม่เป็นไรนะ เราไม่ได้งอมืองอเท้าขอเงินใคร เราก็ไปหากินทางอื่นต่อได้ เราไม่ได้สนใจขนาดนั้นอยู่แล้ว
อีกอย่างหนึ่งที่เรารู้สึกคือพอดังหรือมีชื่อเสียงแล้วเนี่ยมันมีสิทธิพิเศษไง สังคมเรามันมีชนชั้น มันมีความเหลื่อมล้ำเยอะ พอคุณดังมันก็เท่ากับคุณมียศติดตัว ซึ่งประเทศเราแม่งให้คุณค่ากับการติดยศอะไรหลายๆ เยอะมาก คนในเครื่องแบบ คนดัง หรือคนที่มีคนติดตามเยอะ ผมรู้สึกว่าถ้าท้ายที่สุดคุณไม่ได้สร้างอะไรที่มันมีประโยชน์ให้กับคนหรือสังคมจริงๆ คุณดังไปก็เท่านั้นอยู่ดี คือผมรู้สึกว่ามันค่อนข้างไร้สาระนะ มึงโฟกัสกับสิ่งที่มึงอยากทำดีกว่า ไม่ใช่ไปโฟกัสว่าอยากจะดัง
คิดว่าเด็กรุ่นใหม่ในยุคนี้ต้องแบกรับอะไรบ้าง
ผมไม่รู้ว่าในฐานะของสังคมโลกเป็นยังไงนะ แต่เท่าที่เห็นคือคนส่วนใหญ่จะแบกความฝันไว้ซะเยอะ ในขณะที่มันอาจจะสวนทางกับความเป็นจริงไปบ้าง ผมรู้สึกว่าคนแบกความฝันแต่ไม่ค่อยแบกความจริงกัน ท้ายที่สุดพอมานั่งย้อนดูแล้วคุณแบกความฝันของคุณอยู่ แต่คุณไม่ได้ทำด้วยมือของตัวเองจริงๆ คุณก็ยังอยู่บ้านกับพ่อแม่ ใช้เงินพ่อแม่อยู่เลย สำหรับผมคือผมแบกปากท้องของตัวเอง เป้าหมายแรกของผมที่ผมแบกเลยคือ ก่อนที่ผมจะเรียนจบทำยังไงก็ได้ให้เลิกขอตังค์พ่อแม่ จะลำบาก จะเช่าบ้านอยู่ยังไงก็ได้ แต่คือกูต้องเลิกเป็นภาระพ่อแม่ นั่นคือสิ่งแรกที่ผมแบก สองคือทำยังไงก็ได้ให้ตัวเอง
มีความสุข คือจะรวยจะจนยังไงก็ได้ ขอให้เลี้ยงปากท้องได้ ท้องอิ่มเราก็มีความสุข และผมเชื่อว่าตัวผมเองสามารถสร้างความสุขให้คนอื่นได้ ถ้าเริ่มจากความสุขในตัวผม
ผมเชื่อว่าผมสามารถสร้างพลังงานบวกต่อไปให้คนอื่นได้ นี่คือสิ่งที่ผมแบกนะ
ถ้าหนังเรื่องนี้ดังระเบิดขึ้นมา ความคิดหรือมุมมองการใช้ชีวิตจะเปลี่ยนไปไหม
คือในฉากหน้าผมคงต้องเปลี่ยนอยู่แล้วแหละ ผมคงไม่มานั่งพูดกับใครว่ากูเป็นคนไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้นะ มันพูดไม่ได้ถูกปะ แต่ท้ายที่สุดเบื้องลึกเบื้องหลังของผมก็คงสถุลเหมือนเดิม (หัวเราะ) ไม่ได้เปลี่ยนอะไรหรอก ผมอยากได้ตังค์เว้ย แต่ผมไม่ได้อยากได้หน้า ผมได้ตังค์เสร็จผมจะใช้ตังค์ ผมไม่ได้อยากได้หน้าแล้วออกไปใช้หน้า
อย่างนี้ถ้าดังก็จะต้องมีแฟนคลับนะ
ก็บอกเลยว่าถ้ามีนะ อย่าคาดหวังกับผม อย่าคาดหวังว่าผมจะพูดดี คืออย่าคาดหวังว่าผมจะรักพวกคุณมาก แบบนักแสดงดีเด่น รักแฟนคลับสุดตีนอะไรอย่างนี้ คือแฟนคลับก็ต้องเข้าใจผม ถ้าผมมีแฟนคลับขึ้นมาจริงๆ ผมจะขอบคุณมากที่ชื่นชอบและติดตามผม แต่อย่าคาดหวังกับผมเกินไป ความคาดหวังเดียวที่ผมจะทำให้ได้คือความคาดหวังของคนใกล้ตัว คนที่สำคัญกับชีวิตผมจริงๆ เราคงตอบแทนความหวังให้กับคนที่มีผลกับชีวิตเราจริงๆ มากกว่า แต่ถ้ามีแฟนคลับขึ้นมาจริงๆ ถามว่าคาดหวังในตัวผมได้ไหม ก็ได้แหละ แต่อย่าหวังว่าผมจะดี จะเพอร์เฟ็กต์ หล่อแบบพระเอกละครแบบนั้น ไม่ต้องหวังเลยกูไม่ใช่ กูนี่โคตรตัวร้ายเลย (หัวเราะ)