Agnostic Man – อนันดา เอเวอริ่งแฮม

ผ่านมาแล้ว 14 ปีกับความสำเร็จของภาพยนตร์ไทยเรื่อง ‘ชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ’ นำแสดงโดย ‘อนันดา เอเวอริ่งแฮม’ และ ‘จ๋า-ณัฐฐาวีรนุช ทองมี’ ที่โด่งดังไปในระดับโลก และได้รับรางวัลจากงานเทศกาลภาพยนตร์ต่างๆ มากมาย ด้วยเรื่องราวที่มีความเป็นสากลไม่ว่าจะฟังจากภาษาอะไร ผลงานแสดงของทั้งคู่สามารถส่งผ่านความหลอนเข้าสู่โสตประสาทของผู้ชมได้ทั่วโลก 

14 ปีต่อมาทั้งคู่กลับมาอีกครั้งกับภาพยนตร์เรื่อง ‘สิงสู่’ ที่จะนำความหลอนมามอบให้ผู้ชมอีกครั้ง และการกลับมาคืนจอกับภาพยนตร์สยองขวัญครั้งนี้ของอนันดาทำให้เราอยากเข้าไปสำรวจเรื่องราวของความหลอน ความกลัวภายในจิตใจ มุมมองของเรื่องราวทางจิตวิญญาณผี ศาสนา และความเชื่อของเขาคนนี้ 


หลังจาก ชัตเตอร์ฯ แล้ว อนันดากลับมามีผลงานหนังสยองขวัญบ้างไหม

มี 2 เรื่องครับ The Coffin โลงต่อตาย กับ ห้องหุ่น ครับ 


แสดงหนังผีมา 3 เรื่อง ขอถามว่าเชื่อเรื่องผีบ้างไหม 

ตั้งแต่เด็กๆ เป็นคนไม่ได้เชื่อเรื่องผี เรื่องเหนือธรรมชาติ หรืออะไรที่มันเกินวิทยาศาสตร์ ผมเชื่อเรื่องของพลังงานมากกว่า ตามหลักพลังงานมันจะสาบสูญไปไม่ได้ แต่มันจะแปรสภาพไปเป็นอย่างอื่น ผมก็นึกถึงว่าถ้าร่างกายเรามันมีพลังงาน หรือเกิดจากการรวมกันของพลังงานหลายๆ ส่วน แล้ววันหนึ่งเมื่อร่างกายเราไม่ฟังก์ชั่นแล้ว พลังงานที่เคยอยู่กับเราก็จะต้องกลายไปเป็นพลังงานให้กับอย่างอื่นแทน 

แต่มันก็มีเรื่องผีเข้ามาอยู่ในชีวิตผมบ้าง อย่างแฟนเก่าผมคนหนึ่งเขาเป็นคนมีเซนส์เรื่องพวกนี้ ตอนคบกันเวลาเราไปในบางสถานที่เขาจะนิ่งไป ผมก็จะ…เอาอีกแล้ว สัมผัสได้อีกแล้ว แล้วเขาก็จะไม่พูดอะไร แต่พอกลับมาก็จะมาเล่าให้ฟังว่ารู้สึกนะประมาณนี้ ซึ่งผมอยู่กับเขามา 4 ปีก็จะบอกว่าสิ่งที่เขาพูดมันไม่จริง มันก็ไม่ใช่

ผมไม่ปฏิเสธว่ามันเป็นเรื่องที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้ามาแบบลากไส้ ห้อยหัว เราก็จะ…เพ้อเจ้อน่า 


จากประสบการณ์ของอนันดา เคยเจอผีหรือเปล่า 

โอเค เล่าก็ได้ (หัวเราะ) เป็นช่วงที่ถ่ายเรื่อง ชัตเตอร์ฯ มีช่วงหนึ่งผมนอนไม่ค่อยหลับ ก็เลยขอให้ทีมงานเปิดโรงแรมที่อยู่ละแวกเดียวกับกองถ่ายให้ ซึ่งก็ไม่ได้ไกลอะไรจากกรุงเทพฯ เลยอยู่แถวๆ ปริมณฑลนี่เอง สภาพของโรงแรมก็เก่าๆ หน่อยอยู่ในซอยเปลี่ยว ทั้งโรงแรมก็มีอยู่สองคน คนต้อนรับกับแม่บ้าน คืนนั้นผมก็ได้ห้องสวีทห้องใหญ่เลย โล่งๆ พกไวน์ไปขวดหนึ่งก็นั่งดื่มให้พอง่วง พอหลับไปได้ซักพักผมก็รู้สึกอึดอัด มันฝันร้ายหรืออะไรสักอย่าง คล้ายๆ จะหลับไม่สนิท ก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ด้วยห้องที่ค่อนข้างใหญ่แสงมันไม่เพียงพอ สภาพห้องตอนนั้นมืดมาก ผมก็เริ่มมองหาจุดโฟกัสในห้อง ก็มองไปที่ม่านเพราะมันมีแสงจากข้างนอกเข้ามาบ้างไง มองไปก็เห็นเหมือนมีเงาคนยืนอยู่ตรงม่านแต่ยืนในห้องนะ ผมก็เป็นพวกช่างมันๆ กูง่วง กูเหนื่อย แล้วก็ไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้
อยู่แล้ว มันก็เงาห่าอะไรสักอย่างก็ช่างมัน จะนอนแล้ว (หัวเราะ)


มีต่อไหม

ยังไม่หมด คราวนี้ก็เอาอีก อยู่ดีๆ ก็อึดอัด คิดในใจ “อะไรอีกวะ” เปลี่ยนมานอนตะแคงอยู่ข้างเตียงก็ยังอึดอัดเหมือนเดิม แต่คราวนี้ที่เราสะดุ้งตื่นอีกครั้งเนี่ย คือห่างจากเราไม่มากขนาดเอามือแตะได้ ประมาณครึ่งเมตร มันเหมือนมีคนคุกเข่าอยู่ข้างเตียง แล้วก้มหัวดูสั่นๆ ผมช็อกตกใจฉิบหาย (หัวเราะ) จะคนหรือจะผีเนี่ย แต่มันเป็นช็อกชนิดที่แบบขยับไม่ได้ เหมือนโดนตรึงอยู่กับที่ ผมพยายามจะยื่นมือไปเปิดไฟข้างเตียง แต่เขาก็นั่งอยู่ตรงนั้นนานพอสมควร สุดท้ายนาฬิกาปลุกดัง หลุดจากภวังค์ มือก็เอื้อมไปเปิดสวิตช์ได้ ซึ่งก็แน่นอน เปิดมาก็ไม่มีอะไร ผมก็เหวออยู่พักใหญ่ เพราะว่าเราก็ไม่ได้เชื่อเรื่องพวกนี้ ก็ลุกไปอาบน้ำแบบงงๆ แล้วก็ไม่ได้รีบวิ่งออกจากห้องเลยนะ วันนั้นก็ไปเล่าให้คนในกองฟัง เขาก็บอกกันว่าเหมือนผีอำเลย เราก็แบบผีอำเหรอ? ก็เพิ่งรู้ว่าผีอำคืออะไรวันนั้นนี่เอง 


แล้วสรุปว่าผีอำจริงๆ หรือเปล่า

ก็ผ่านมาปีกว่า เราก็ยังสงสัยว่าคืนนั้นผมเจออะไรกันแน่ นั่งดูทีวีเพลินๆ ไปเจอช่อง History Channel เป็นพวกสารคดี Sci-fi ที่จะมีรายการแบบ Paranormal จับคลื่นหาผี ไล่หา UFO (หัวเราะ) แล้วมันก็มีอันหนึ่งที่เป็นเรื่องราวคล้ายๆ กับที่ผมเจอเลย แต่ของฝรั่งเขาบอกว่าเจอเป็นเอเลี่ยน เขาบอกว่ารู้สึกว่าถูกลักพาตัว ประมาณว่าตื่นขึ้นมาแล้วมีอะไรไม่รู้คล้ายๆ เงาอยู่รอบตัว และเขาก็ขยับไม่ได้ แล้วก็มันเหมือนมีคนมาทดลองกับตัวเขา ผมรู้สึกว่ามันคล้ายกันมากเลยไปศึกษาเพิ่มเติม ก็ไปค้นพบว่ามันมีสารชื่อ ‘Sleep Paralysis’ สารตัวนี้มันจะถูกหลั่งออกมาตอนที่เราหลับ เพื่อให้ร่างกายเราเป็นอัมพาตชั่วคราวในขณะหลับ ทำให้ร่างกายนิ่ง เพราะไม่อย่างนั้นเวลาฝันว่าว่ายน้ำ กระโดด ปีนเขา เราก็จะปีนออกหน้าต่างไปเลย (หัวเราะ) แต่คราวนี้ถ้าเราอยู่ในภาวะที่เครียดหรือว่ามีเรื่องกังวล เราสามารถตื่นระหว่างฝันได้ เราลืมตาขึ้นมา แต่สมองยังคิดว่าเราอยู่ในฝัน และเราสามารถเห็นสิ่งอยู่ในฝันได้ระหว่างที่เราลืมตา มันจะเหมือนเป็นภาพซ้อนของความฝันและความจริง และยังขยับตัวไม่ได้อีก พอสรุปออกมาแบบนี้ผมเลยสบายใจว่าเรื่องผีของผมมันคงเป็นแค่ ‘Sleep Paralysis’


อะไรที่หล่อหลอมให้อนันดาเป็นคนที่มีความคิดบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์

ตอนเด็ก เรื่องความเชื่อและศาสนาไม่ได้มีอิทธิพลกับผมขนาดนั้น พ่อแม่ไม่ได้รู้สึกว่าลูกจะต้องนับถือศาสนาตามสังคมหรือธรรมเนียม ก็เลยไม่มีชุดความเชื่อพวกนี้ ตอนผมโตขึ้นมาพวกเขาก็ปล่อย ผมอยากรู้อะไรก็ไปศึกษาเอา แต่สิ่งหนึ่งที่ได้มาจากครอบครัวคือเรื่องของตรรกะ เหตุและผล คือก่อนที่จะไปคิดว่าเราเข้าใจสถานการณ์ คือช่วยมองในเชิงเหตุและผลก่อน อย่างตอนเด็กๆ พ่อจะพาผมไปเดินเล่นที่สวนในบ้าน เขาจะพาไปตอนกลางคืน ก็จะมีเสียงกบ นก อะไรก็ว่าไป แล้วจะทิ้งเราไว้ข้างนอก บอกว่าอีก 10 นาทีค่อยตามมานะ ตอนแรกๆ ผมกลัวนะ หลายๆ ครั้งเข้ามันเปลี่ยนจากความกลัวเป็นความสงสัย แล้วเราพยายามทำความเข้าใจมันก่อนที่จะกลัว 

น่าจะเป็นเพราะเหตุนี้ด้วยแหละมั้งที่ทำให้ผมเองไม่ได้รู้สึกกลัวอะไรที่มองไม่เห็น และผมก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันสำคัญ และส่งผลกับชีวิตผมขนาดนั้น


แต่เด็กในไทยส่วนใหญ่โตมากับความกลัวนะ 

เป็นสิ่งที่ผมไม่เห็นด้วยที่สุดเลยกับการพยายามเอาผี เอาความน่ากลัว เอาความไม่รู้มาสั่งสอนเด็ก เช่น ถ้าไม่นอนเร็วๆ ผีจะมาเอาตัวไป ไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องเอาความกลัวเข้ามาขู่เด็ก แล้วปิดท้ายด้วยการสั่งสอนอะไรบางอย่าง 

สมองเด็กกำลังเติบโต มันยังไม่เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ แล้วไปปลูกฝังความกลัว ผมก็คิดว่ามันอาจจะเป็น Norm ของสังคมไทยหรือเปล่าที่ทุกคนเขาก็ทำกัน ต้องให้เด็กกลัวไว้ มันจะได้ไม่ดื้อ แต่มันก็จะมีผลไปถึงตอนโต ถ้าเกิดเขาเชื่อเรื่องผีจริงๆ โตขึ้นมาเขาก็ต้องเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มีจริง ซึ่งมันก็ไม่ผิดที่เขาจะเชื่ออย่างนั้น แต่ผมแค่รู้สึกว่าเราไม่ได้ให้โอกาสที่เขาจะเลือกกลัวหรือไม่กลัวแค่นั้นเอง 

คือสำหรับผม ผมโตมาด้วย Critical Thinking ใช่ไหม…ซึ่งก็โอเค ถ้าคิดวิเคราะห์แล้วตัดสินว่ามันคือผี ก็ผีก็ได้ (หัวเราะ) ไม่มีใครว่าหรอก แต่คือไม่อยากให้มันเกิดความงมงายเฉยๆ


คิดว่าความกลัวพวกนี้ส่งผลต่อสังคมไทยอย่างไรบ้าง

มันส่งผลที่ทำให้เกิดความงมงายหรือว่าความเชื่อนะ แล้วพฤติกรรมเหล่านี้ก็จะทำให้เรารู้สึก Secure (ปลอดภัย) ขึ้นไง เช่น ไปเพิ่มโชคให้ตัวเอง หรือว่าไปบูชาอะไรแปลกๆ ซึ่งตรงนี้ผมเป็นห่วงมาก เพราะเราทำกันตลอด ไปหาพระให้ดูเลขให้ ไปไหว้พระ ไปบนบานศาลกล่าว ผมแอบรู้สึกว่ามันเพ้อเจ้อ ถ้าไปในทางยึดเหนี่ยวจิตใจ มีแหวนวงนี้ สวมไว้แล้วรู้สึกอุ่นใจ ทำให้เราสบายใจ ทำเลย แต่ว่าเราจะเอาทั้งหมดไปตั้งไว้กับความงมงาย ความเชื่อ ผมรู้สึกว่ามันไร้สาระ สำหรับผมแล้วยิ่งกับเด็ก มันควรต้องสอนให้เด็กรู้จักวิเคราะห์ เข้าใจจริงๆ ก่อนที่จะแบบ “ไหว้ไว้ก่อนเดี๋ยวก็รอด” “เฮ้ย กูไหว้ เดี๋ยวกูก็ได้งาน” คือบางทีเราก็ต้องคิดว่าเราจะได้งานเพราะอะไร เก่งพอหรือเปล่า ไม่ใช่แบบเอะอะไปไหว้ๆ ขอพร ซึ่งในมุมนั้นผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่  


นอกจากหลักวิทยาศาสตร์แล้ว อนันดามีอะไรยึดเหนี่ยวจิตใจอีก 

ถ้าความเชื่อส่วนตัวผม ผมเป็น Agnostic (ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า) แต่มีเรื่องตลกเรื่องหนึ่ง ตอนเด็กแม่ผมเป็นพุทธ แล้วก็พ่อผมโตมาที่ออสเตรเลีย เขาเป็นคาทอลิก พอมาอยู่ที่ไทย ทุกวันนี้แม่ผมเป็นบาทหลวง เป็นคริสต์ มีโบสถ์ด้วย บ้านผมมีโบสถ์ แล้วพ่อผมก็นับถือพุทธ 

ก็มีเพื่อนๆ หรือแฟนผม เขาก็จะรู้สึกว่าผมไม่ยึดเหนี่ยว ไม่แคร์อะไรเลยเหรอ ผมคิดว่าทุกอย่างคือธรรมชาติ เราก็เป็นแค่คนเฉยๆ ซึ่งไปๆ มาๆ มันใกล้ศาสนาพุทธที่สุดในความคิดของผม ก็เลยไม่ได้รู้สึกว่ามันจำเป็นที่ต้องยึดเหนี่ยวอะไร 

ถ้าจะให้ลงลึกไปกว่านั้น ผมรู้สึกว่าการยึดเหนี่ยวหรือไม่ได้ยึดเหนี่ยวมันไม่ได้สำคัญ ยึดเหนี่ยวก็ได้ ไม่ยึดเหนี่ยวก็ได้ คนเรากับทุกสิ่งในโลกนี้มันเหมือนกันหมด ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเรามันก็เคยอยู่ในรูปแบบอย่างอื่นมาก่อน ถ้าถอยกลับไป โต๊ะก็เป็นท่อนไม้มาก่อน หมอนก็เป็นนุ่นมาก่อน แล้วในอนาคตมันกลายเป็นอย่างอื่นไป อยากจะยึดเหนี่ยวมันก็ได้ แต่เดี๋ยวมันก็แปลงรูปเป็นอย่างอื่นแล้ว อยากยึดเหนี่ยวกับตัวเอง ความเชื่อ มันก็ไปหมุนไปตามวัฏจักรของธรรมชาติ ก็ไม่รู้จะต้องไปยึดเหนี่ยวอะไร


แล้วเชื่อเรื่องนรก-สวรรค์หรือเปล่า 

อืม…(ครุ่นคิด) ไม่ค่อยนะ แต่อย่าไปบอกแม่ผมนะ (หัวเราะ) ส่วนพ่อผม เขาก็จะมีสวรรค์ในเวอร์ชั่นของเขาที่เขาพยายามอธิบาย แต่ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก ก็โอเคครับพ่อ ตามนั้นเลย (หัวเราะ)


ยังคิดว่าศาสนามีความจำเป็นอยู่หรือเปล่า

ผมว่าส่วนหนึ่งของสังคมก็คือศาสนา และมันอยู่ในทุกสัดส่วนของสังคม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอาหาร เรื่องนิสัยใจคอ สถาปัตยกรรม สิ่งเหล่านี้มันเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกว่ามันเป็นตัวกำหนดสังคม โลกมันจะน่าเบื่อมากถ้ามันไม่มีมุมคิดของความเชื่อพวกนี้เลย ดูอย่างยุคหลัง เหมาเจ๋อตุงเขาไปลบล้างเรื่องศาสนาทั้งหมด แล้วก็ให้ประเทศจีนกลายเป็นประเทศที่เป็น Atheist (เชื่อว่าพระเจ้าไม่มีอยู่จริง) พระเจ้าของเขากลายเป็นเงินในโลกทุนนิยมไปแล้ว ความดีงาม ความสวยงาม ความละเอียดอ่อนในวัฒนธรรมของเขามันเริ่มหายไป ซึ่งศาสนานี่แหละเป็นตัวที่รักษาตรงนี้ไว้ 

คราวนี้ถ้าศาสนาอยู่ในส่วนของศาสนา วิทยาศาสตร์อยู่ในส่วนของวิทยาศาสตร์ มันก็อยู่ด้วยกันได้ ก็แค่บอกว่าศาสนาคือศาสตร์ วิทยาศาสตร์ก็เป็นอีกศาสตร์ มันไม่ต้องเกี่ยวเนื่องกันก็ได้


ผ่านมา 14 ปีแล้วกับหนังเรื่อง ชัตเตอร์ฯ คิดว่าอะไรที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ประสบความสำเร็จได้ขนาดนั้น

ผมว่า ชัตเตอร์ฯ มันสามารถจับจุดอะไรบางอย่างที่มันเป็นความกลัวในแบบสากลได้ เป็นความกลัวที่ทุกคนรู้สึกได้ไม่ว่าคุณจะเป็นคนประเทศไหนก็ตาม แล้วก็เรื่องราวของมันไม่ได้จำเป็นที่จะต้องเข้าใจสังคมไทย เหมือนภาพในหนังมันพาไปเจออะไรบางอย่างในหัวของคนทั่วโลก แล้วกลัวเหมือนกันหมด ซึ่งผมว่ามันเป็นปรากฏการณ์ของหนังเลยนะ เพราะว่ามันไปได้ Box Office แบบสุ่มประเทศมาก ได้ที่ริโอเดอจาเนโร ประเทศบราซิล จำได้ว่าเดินอยู่ในกรุงเทพฯ
มีคนบราซิลเข้ามาขอถ่ายรูปกับผม บอกว่าชอบ ชัตเตอร์ฯ มาก ปวดคอไหม? (หัวเราะ)

 แล้วมุกขี่คอเนี่ยเป็นมุกที่จะเรียกว่าฟลุกก็ได้ เพราะมันไปโดนทุกคน ทุกสังคม ทุกประเทศ จำได้ว่าตอนนั้นทั้งผู้กำกับ ผมกับจ๋านั่งคุยกันว่ามันเวิร์กไหม คือเราก็ไม่มีใครมั่นใจ จนวันฉายลองเอามาดู เฮ้ย…พอมาถึงตอนท้ายทุกคนจะเซอร์ไพรส์ไหม มุกนี้มันจะได้ผลไหม กลายเป็นว่าทุกคนโดนมุกนี้ ทั้งที่เราไม่ได้มั่นใจกันเลยนะ


ในยุคนี้คิดว่าหนังผียังเป็นหนังทำเงินได้อยู่หรือเปล่า 

เคยสังเกตอาการของคนที่ตกใจไหม? เขาทำอะไรกันต่อ…มันมีความสุข หนังผีที่ดูกันแล้วตกใจกรี๊ดๆ กัน มันมีความสุข มันเกิดความตื่นเต้น มันมีการหลั่งอะดรีนาลิน ร่างกายเราก็เสพติดการหลั่งอะดรีนาลินแบบนี้อยู่แล้ว มันเป็นความรู้สึกที่ดีเวลาเดินออกจากโรงภาพยนตร์ แล้วมนุษย์เราขี้สงสัย ก็เลยมีการเล่นกับอะไรที่มันตื่นตาตื่นใจ เล่นกับสิ่งที่เราไม่แน่ใจ พอมันเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ ยังไงหนังผีก็ขายได้ แต่อยู่ที่ว่าหนังจะมีวิธีการนำเสนอความตื่นเต้นออกมาแบบไหนแค่นั้นเอง 


คิดว่าทางออกของภาพยนตร์สยองขวัญในอนาคตจะเป็นไปในทางไหน

ผมมองว่าตอนนี้เรามีคอนเทนต์เยอะมาก วิธีเสพก็เยอะ ผู้ชมก็เลยต้องคัดสรรสิ่งที่เขาจะใช้เวลาส่วนตัวกับหนังเรื่องนั้น จะเรียกว่าคนยุคนี้จะเสียเวลากับอะไร เขาต้องเลือกมาแล้ว ถ้าหนังยังใช้วิธีเจอผีแบบเดิมๆ มุกเดิมๆ คนดูก็คงจะวางไว้ก่อน ผมว่าการใช้เวลาในการคิดเรื่อง คิดคอนเทนต์ มันสำคัญกว่าที่จะมาทำหนังแบบ Spin-Off เรื่องเดียวหลายๆ ภาค มันน่าจะเป็นทางออกที่ดีของหนังผีในยุคนี้ 


จากประสบการณ์ทั้งการเล่นหนังผี ทั้งเจอผีมาเองกับตัว สรุปว่ากลัวอะไรมากกว่ากันระหว่างคนกับผี 

คน!