สำรวจเส้นทางดนตรี 30 ปีของ ‘เอ๊ะ ละอองฟอง’ ครูใหญ่แห่งบ้าน BNK48

11.05.18 3,496 views

30 ปีที่แล้ว เอ๊ะ-พงศ์จักร พิษฐานพร เป็นเพียงเด็กมัธยมฯ คนหนึ่งที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักร้อง แต่ด้วยทักษะทางดนตรีและการทำเพลงที่โดดเด่นไม่แพ้กัน เขาจึงถูกผลักให้ไปปั้นวง ‘ละอองฟอง’ ในฐานะคนทำเพลงและมือเบส ล้มลุกคลุกคลานกันมาหลายปี ก่อนจะกลายเป็นวงที่ประสบความสำเร็จระดับประเทศในปัจจุบัน จากนั้นก็ขยับไปรับงาน ‘ครูใหญ่’ ให้สาวๆ วง BNK48 อยู่พักใหญ่ ถึงตัดสินใจไขกุญแจเปิดลิ้นชักส่วนตัว หยิบความฝันที่เก็บไว้เมื่อ 3 ทศวรรษก่อนออกมาปัดฝุ่น และเริ่มต้นเส้นทางศิลปินเดี่ยวในฐานะ ‘Aeh! Syndrome’ กับเพลง ‘ชู้กะชู้’ ที่ได้สาวๆ BNK48 มาช่วยเล่นเอ็มวีให้อีกด้วย 


ทำไมถึงใช้ชื่อว่า Aeh! Syndrome ในการเป็นศิลปินเดี่ยว 

“(หัวเราะ) เป็นชื่อที่ตั้งตามคาแรกเตอร์เลยครับ เพราะส่วนตัวผมเป็นคนสนุก สบาย มองโลกในแง่บวก ใครอยู่ด้วยแล้วจะได้รับพลังกลับไปได้เสมอ แล้วคำว่า Syndrome ในทางการแพทย์ก็แปลว่า ‘กลุ่มอาการ’ ผมเลยคิดว่าถ้าเอาชื่อตัวเองมาผสมกับคำว่า Syndrome ก็น่าจะดี เพราะผมอยากให้คนที่คิดโรค Aeh! Syndrome ได้รับความสุขและพลังจากผลงานของผม เพื่อนำไปใช้การดำเนินชีวิตในวันต่อไปครับ” 


พูดถึงคาแรกเตอร์แล้วแปลกใจ เพราะภาพลักษณ์ในวงละอองฟองของคุณจะสุขุมมากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ 

“ภาพลักษณ์ตอนนั้นต้องเป็นไปตามคอนเซ็ปท์ของวงละอองฟองที่ต้องอบอุ่นหน่อยๆ แต่ตัวตนจริงๆ ของผมก็จะเป็นแบบที่เห็นกันตอนนี้นี่แหละครับ ไม่ได้สุขุมหรืออบอุ่นแบบที่เห็นในวงละอองฟองสักเท่าไหร่” 


งั้นทำไมถึงวางคาแรกเตอร์ให้ขัดกับตัวตนขนาดนั้นล่ะ 

“ตัวผมไม่ได้เป็นคนที่ยึดติดหรือมีอัตตาในตัวเองสูงนัก จึงไม่คิดจะบอกว่าตัวเองเป็นแบบนี้แล้วจะเป็นแบบนี้ไปตลอด เราสามารถอยู่ตรงไหนก็ได้ ขอแค่มีความสุขกับสิ่งที่ทำก็พอ ณ ตอนนั้นเราทำเรื่องหนึ่งอยู่ ก็ต้องทุ่มลงไปอย่างเต็มที่สิ ถึงเราจะมีสิ่งที่อยากทำอยู่ในใจอยู่แล้ว แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาที่เหมาะสมก็แค่เก็บเอาไว้ก่อน เมื่อถึงเวลาค่อยหยิบออกมาก็ยังไม่สายไปหรอก” 


มีอะไรช่วยปลดล็อกให้กลับไปเป็นตัวของตัวเองหรือเปล่า 

“ผมคิดว่าน่าจะเป็น แดน วรเวช ครับ ผมเคยร่วมงานกับเขาตอนทำวง SanQ-Band ซึ่งเป็นโปรเจ็กท์ภาพยนตร์สารคดีตะเวนเล่นดนตรีที่คิวชู ประเทศญี่ปุ่น ผมบอกกับแดนว่าเคยอยากเป็นนักร้องมาก่อน แต่แค่ได้มาเล่นดนตรีอย่างทุกวันนี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว แต่แดนบอกกับผมว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะฝัน อยากดูถูกความฝันของตัวเอง ไม่แน่ว่าถ้าพี่ตั้งใจทำจริงๆ ก็อาจจะประสบความสำเร็จก็ได้ แล้วแดนก็บอกว่าตัวเขาไม่เคยย่อท้อต่อความฝันของตัวเองเลย ถ้าเขาไม่พยายามแล้วจะมีอย่างวันนี้เหรอ จากนั้นเขาก็ย้ำอีกครั้งว่าเขาเชื่อในตัวผมว่าทำได้แน่นอน แล้วก็ให้ผมนำเสนอความเป็นตัวเองที่ไม่ใช่ เอ๊ะ ละอองฟอง ออกไป รับรองว่าทุกคนจะตอบรับเป็นอย่างดีแน่นอน ผมฟังแล้วรู้สึกเต็มไปด้วยพลังมากจริงๆ แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มลงมือทำ เพราะหลังจากเสร็จโปรเจ็กท์กับแดนแล้ว ผมก็มารับงานปั้นโปรเจ็กท์ BNK48 ที่เป็นเหมือนอีกตัวช่วยให้ผมเริ่มทำตามความฝันของตัวเอง เพราะสิ่งสำคัญในการสอนน้องๆ เหล่านี้คือการปลูกฝังทัศนคติในการทำงาน” 


ทัศนคติที่ว่านั้นเป็นยังไง 

“คล้ายๆ กับที่แดนบอกกับผมนั่นแหละครับ เพราะสิ่งที่ผมพร่ำสอนเด็กๆ อยู่ทุกวันคือ ถ้าเธอมีความฝันก็ต้องขึ้นไปอยู่บนยอดปิระมิดแห่งความฝันของตัวเองสิ จะขึ้นไปยืนบนยอดปิระมิดของคนอื่นทำไมกัน ไม่มีใครเป็นเหมือนใครได้อยู่แล้ว เราต้องเป็นตัวเองให้ได้มากที่สุด พยายามต่อสู้เข้าไปสิ ยิ่งเราพูดแบบนี้กับเด็กๆ ก็เหมือนกับเป็นการตอกย้ำตัวเองว่าเราเดินไปถึงจุดนั้นแล้วหรือยัง บวกกับคำพูดที่แดนแนะนำผมมาตลอด ผมก็เลยรวบรวมพลังฮึดกับตัวเองขึ้นมา แล้วเดินไปบอกกับค่าย Spicy Disc ว่าผมอยากทำอัลบั้มเดี่ยว (หัวเราะ) และอัลบั้มนี้ไม่เหมือนกับที่เคยทำที่ไหนมาก่อนแน่นอน จากนั้นก็เอาเพลงไปเปิดให้ฟังในที่ประชุม ผมก็ได้รับคำตอบมาว่าไม่เห็นน่าตื่นเต้นเลย เหมือนละอองฟองเลย” 


นอยด์ไหม 

“โอ้โห! ก็มีบ้างแหละครับ ถามกับตัวเองเลยว่าชีวิตนี้ต้องเจออีกกี่ดอกกว่าจะได้ออกอัลบั้มเดี่ยวสักที แต่พอกลับมานั่งคิดดีๆ แล้วก็รู้สึกว่าเพลงตอนนั้นยังไม่ดีพอจริงๆ เหมือนผมยังไม่กล้าทำลายกำแพงความสำเร็จเดิมๆ สักเท่าไหร่ ยังไม่กล้าเป็นตัวของตัวเอง เรากลัวไปหมดทุกอย่าง แต่หลังจากเสียใจไป 3 วัน (ยิ้ม) ผมก็กลับสู้ใหม่กับความฝันของตัวเองใหม่อีกครั้ง ด้วยการทำเพลงใหม่ ทำดนตรีใหม่ แล้วพอเอาไปเสมอในที่ประชุมค่ายครั้งนี้ ทุกคนเห็นตรงกันว่านี่แหละคือเพลงที่น่าสนใจ และมีความเป็นตัวตนของผมจริงๆ จึงให้โอกาสผมได้ทำอัลบั้มเดี่ยวอย่างที่ฝันเอาไว้ พร้อมกับเปิดค่าย Butter ค่ายใหม่ในสังกัด Spicy Disc แล้วให้ผมเป็นศิลปินเบอร์แรกของค่ายนี้ไปเลย” 


Spicy Disc เปิดค่ายนี้เพื่อออกอัลบั้มให้คุณเลยหรือเปล่า 

“(หัวเราะ) ไม่ใช่อะไรที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นหรอกครับ (หัวเราะ) ความจริงทางค่ายมีแผนอยู่แล้วว่าจะเปิดค่ายใหม่ เพื่อให้แนวเพลงของทั้งสองค่ายมีความแตกต่างกัน แล้วบังเอิญว่าผมเข้ามาในช่วงนั้นพอดี เลยได้กลายเป็นศิลปินเบอร์แรกของค่าย Butter ไป ความจริงตอน Spicy Disc เปิดค่ายใหม่ๆ ละอองฟองก็เป็นศิลปินเบอร์แรกของค่ายเหมือนกันนะ (หัวเราะ)” 


คุณใช้เวลานานมากเลยนะกว่าจะได้ทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริง 

“ถ้าไม่นับการร้องเพลงในฐานะวงละอองฟองยุคหลังๆ ก็น่าจะประมาณ​ 30 ปีได้แล้วครับ กว่าผมจะมีผลงานเพลงและมีอัลบั้มเป็นของตัวเอง ผมกล้าพูดเลยว่า Aeh! Syndrome และเพลงชู้กะชู้ เป็นผลงานที่สร้างขึ้นมาจากพื้นฐานของความเชื่อและศรัทธาในความฝัน ซึ่งผมคิดว่าทุกคนสามารถทำได้เหมือนกันนะ ไม่ใช่เรื่องเพลงหรือเรื่องการเป็นไอดอล แต่ถ้าคุณมีความฝัน ทุ่มเท และศรัทธากับสิ่งนั้นมากพอ รับรองว่าจะต้องประสบความสำเร็จในสักวันหนึ่งแน่ๆ”